ตอนที่ 600 ฝ่าเข้าสู่หอคอยต้องห้าม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากพักอยู่ในตระกูลหานนานหลายวัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตระกูลหานได้บางส่วนแล้ว

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลหานตอนนี้คือผู้อาวุโสสี่คนของตระกูลที่ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ พวกเขาทั้งสี่มีสถานะสูงส่งในตระกูลหานจนแม้แต่ผู้นำตระกูลอย่างหานชางก็ยังต้องแสดงความเคารพนับถือต่อพวกเขา และผู้อาวุโสทั้งสี่คนนี้ก็มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ร้ายเกี่ยวกับครอบครัวของหานโม่ฉือในตอนนั้น

ผู้ที่แข็งแกร่งเป็นรองจากผู้อาวุโสทรงพลังทั้งสี่คนก็คือหานชางและกลุ่มผู้อาวุโสหลายคนที่ฝึกวิชากับหานชางมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็แข็งแกร่งมากเช่นกันและอย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตนภาเซียน เห็นได้ชัดว่าตระกูลหานเป็นตระกูลที่มีภูมิหลังและรากฐานที่มั่นคงอย่างยิ่ง

ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหานและตระกูลเหมยไม่เคยเข้ากันได้ด้วยดีมาตั้งแต่ต้น หานซื่อ—คุณชายรองแห่งตระกูลหานมักจะถูกมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลเรื่องของตระกูลเหมยมาเสมอ ทว่าเขาก็ยินดีเอาอกเอาใจเสี่ยวโร่วและต้องการที่จะผูกมิตรไมตรีกับตระกูลเหมย เสี่ยวโร่วเองก็ผูกมิตรกับหานซื่อจนสืบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลหานได้มากพอสมควรเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้รับมาล้วนเป็นสิ่งที่สามารถสืบได้ง่ายและมิใช่ความลับสำคัญแต่อย่างใด เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าหานซื่อเป็นคนฉลาดมีไหวพริบมากทีเดียว

หานหยวน—นายใหญ่คนรองของตระกูลหานซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายของหานชางก็แวะเวียนไปที่ตระกูลเหมยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาเพียงเข้าพบเหมยตงอวิ๋นซึ่งเป็นผู้นำของคณะตระกูลเหมยในครานี้และเพียงกล่าวทักทายสั้น ๆ โดยที่ไม่ได้เดินทางมาอีกเลย หานหยวนมักเก็บตัวและแทบไม่มีส่วนร่วมในกิจการเรื่องต่าง ๆ ของตระกูล อย่างไรก็ตาม หากผู้ใดหลงคิดไปกว่าเขาเป็นเพียงบุคคลธรรมดาไม่มีพิษภัย…คนผู้นั้นก็คิดผิดถนัด

การที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหานได้อย่างสบายใจภายใต้แรงกดดันของหานชาง เห็นได้ชัดว่าหานหยวนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม บุตรและบุตรีของเขาก็ไม่เคยปรากฏขึ้นมาให้ใครเห็น ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่มากนักซึ่งด้อยกว่าทั้งหานเฟยและหานซื่อ อีกทั้งพวกเขาก็เก็บตัวไม่สุงสิงและยากที่ผู้ใดจะเข้าใจพวกเขาได้

เช้าตรู่ของวันนี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพูดคุยกับเสี่ยวโร่วครู่หนึ่งก่อนมุ่งหน้าออกจากที่พัก ทั้งสองใช้เวลาหลายวันอยู่ที่นี่และตัดสินใจจะไปสำรวจหอคอยต้องห้ามเพื่อหาทางบุกเข้าไป หากได้ทราบสถานการณ์ในตอนนี้ของบิดามารดาของหานโม่ฉือ มันก็คงจะดีไม่น้อย หากไม่สามารถฝ่าผ่านผนึกและข่ายอาคมมากมายโดยรอบ อย่างน้อยทั้งสองก็จะได้สำรวจและศึกษามันอย่างจริงจังเพื่อหาทางบุกเข้าไปอีกครั้งในอนาคต

เสี่ยวโร่วเพียงกล่าวเตือนให้ทั้งสองระวังตัวให้มากในขณะที่ตัวนางก็รับคำเชิญของหานซื่อและพูดคุยกับเขาเพื่อสืบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลหานต่อไป

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือออกจากที่พักชั่วคราวของตนก่อนมุ่งหน้าไปในทิศทางของหอคอยต้องห้ามอย่างไม่รีบร้อน ทั้งสองได้พบผู้คนมากหน้าหลายตาระหว่างทางโดยบางส่วนเป็นคนตระกูลหานและบางส่วนมาจากตระกูลอื่น เนื่องจากงานรวมพลกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เป็นไปได้ว่าตัวแทนจากทั้งสี่ตระกูลมาถึงที่นี่แล้ว

ถนนหนทางในเมืองหานคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คน เมืองนี้เป็นเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไปที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างเตรียมพร้อมไม่ว่าจะเป็นภัตตาคาร โรงประมูล ศูนย์การค้าแลกเปลี่ยนและสถานที่อื่น ๆ

หอคอยต้องห้ามของตระกูลหานตั้งอยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหานและอยู่ถัดจากที่ตั้งของคฤหาสน์ผู้นำตระกูล

ทั้งสองมุ่งหน้าไปตามทางและใช้เวลาสองก้านธูปจนกระทั่งมาถึงใกล้บริเวณของหอคอยต้องห้าม

“ช้าก่อน พวกเจ้าเป็นใคร ?”

ทันใดนั้น น้ำเสียงเคร่งขรึมเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูส่งผลให้ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหยุดฝีเท้าทันที

เมื่อหันหลังกลับไป ทั้งสองก็พบว่ามีบุรุษสตรีคู่หนึ่งยืนอยู่เบื้องหลังและมองตรงมาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

บุรุษเจ้าของเสียงเมื่อครู่มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหานเฟยที่เคยประจันหน้ากันก่อนหน้านี้ และข้างกายของเขาก็คือโฉมนารีงามซึ่งก็คือไป่หลี่ชิงโร่วนั่นเอง

สมาชิกของทั้งสี่ตระกูลลับต่างก็ทราบโดยทั่วกันว่าหานเฟยพยายามเกี้ยวพานไป่หลี่ชิงโร่วเสมอมา การได้เห็นทั้งสองเดินชมเมืองเคียงคู่กันจึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

“พวกเจ้าเป็นใคร ?”

หานเฟยคุ้นตากับแผ่นหลังของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจึงได้กล่าวเรียกคนทั้งสองไว้เมื่อครู่ ทว่าเมื่อหันกลับมาและพบว่าทั้งสองเป็นคนแปลกหน้าที่เขาไม่เคยพบหน้ามาก่อน หานเฟยก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“คุณชายหาน คุณหนูไป่หลี่”

ฉินอวี้โม่โค้งคำนับทั้งสองและแสร้งทำเป็นนอบน้อมทันที “เราคือศิษย์ของตระกูลเหมย เป็นเพราะไม่มีอะไรทำ พวกเราจึงออกมาเที่ยวชมรอบเมือง”

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของตระกูลเหมยนี่เอง…”

เมื่อได้ยินว่าคนแปลกหน้าทั้งสองคือศิษย์ของตระกูลเหมย ความสงสัยของหานเฟยก็จางหายไปอย่างสิ้นเชิง

“พื้นที่บางแห่งในตระกูลหานเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ ข้าเชื่อว่าผู้นำตระกูลของพวกเจ้าก็น่าจะกำชับเรื่องนี้ไว้แล้ว พวกเจ้าสามารถเดินชมไปรอบ ๆ เมืองได้ ทว่าหากคิดจะละเมิดกฎระเบียบของตระกูลหานละก็ จงระวังตัวไว้ให้ดี !”

หานเฟยกล่าววาจาข่มขู่คนทั้งสองก่อนเมินเฉยไม่สนใจอีกต่อไป

“ชิงโร่ว ข้าจะพาเจ้าไปชมสถานที่ฝึกยุทธ์ของข้า”

ไป่หลี่ชิงโร่วมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือขณะยิ้มอย่างใช้ความคิด จากนั้นนางก็พยักศีรษะตอบตกลงข้อเสนอของหานเฟย

ทั้งสองเดินต่อไปในทิศทางตรงข้ามโดยไม่เสียเวลาสนใจฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออีกต่อไป

“ดูเหมือนนางจะรู้ว่าเราเป็นใคร”

เมื่อนึกถึงอากัปกิริยาของไป่หลี่ชิงโร่วเมื่อครู่นี้ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ

“แล้วอย่างไรเล่า ?”

หานโม่ฉือเพียงกล่าวอย่างไม่แยแส ตัวตนของเขาและฉินอวี้โม่จะถูกเปิดเผยในไม่ช้าก็เร็ว หากไป่หลี่ชิงโร่วจำทั้งสองได้ตอนนี้ เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย

“ไปกันเถอะ ใกล้ถึงหอคอยต้องห้ามแล้ว”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าต่อไปในทิศทางของหอคอยต้องห้าม สำหรับความคิดของไป่หลี่ชิงโร่วเมื่อครู่ ฉินอวี้โม่ก็ไม่สนใจเช่นกัน คุณหนูตระกูลไป่หลี่ผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นมิตรหรือว่าศัตรู

หลังจากเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแรงกล้ามาจากข้างหน้า ทั้งสองจึงค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าลง

เมื่อเงยหน้ามองไปข้างหน้า หอคอยเจ็ดชั้นก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้าทั้งสอง หอคอยแห่งนี้ดูเก่าแก่โบราณยิ่งนักและมันมีแรงกดดันที่แกร่งกล้ารอบตัวซึ่งทำให้ยากที่ผู้ใดจะเข้าไปใกล้ได้

“โอ๊ะ ประหลาดจริง ๆ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ในเวลานี้ทักษะการวางข่ายอาคมของนางพัฒนาขึ้นมากแล้วและนางสัมผัสได้ถึงข่ายอาคมหลากหลายประเภทอยู่ใกล้ ๆ นี้ ยิ่งไปกว่านั้น ข่ายอาคมเหล่านี้ก็ทับซ้อนกันในแต่ละชั้นซึ่งกลายเป็นข่ายอาคมที่อันตรายย่างยิ่ง หากไม่ระวังตัว ทั้งสองก็อาจติดอยู่ในข่ายอาคมและไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

“โม่เอ๋อร์ ข้าจะลองฝ่าทะลวงเข้าไปก่อน เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ”

หานโม่ฉือกล่าวพร้อมพยักหน้าให้กับฉินอวี้โม่โดยวางแผนที่จะล่วงหน้าเข้าไปเพียงลำพัง ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ต่อให้ฝ่าผ่านไปไม่สำเร็จ เขาก็สามารถล่าถอยออกมาอย่างปลอดภัยได้

“ไม่ ข้าจะไปกับเจ้า ข้ามีความรู้ในศาสตร์การวางข่ายอาคมเป็นอย่างดี หากเราเข้าไปด้วยกัน เราจะมั่นใจได้มากขึ้น”

ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยไป นางเข้าใจความคิดของคนรักเป็นอย่างดีและทราบว่าเขากังวลเกี่ยวกับภยันตรายที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มิได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อยและต้องการเผชิญอุปสรรคด่านนี้ไปด้วยกัน

“เข้าใจแล้ว”

หานโม่ฉือไม่กล่าวสิ่งใดอีกขณะพยักศีรษะตอบตกลง

หอคอยต้องห้ามอยู่ไม่ไกลจากทั้งสองมากนักทว่าต้องใช้พลังงานมากพอสมควรในการเข้าไปใกล้ได้

ทั้งสองเพียงเดินตรงไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นและสิ่งแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนไปทันที เวลานี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือตกอยู่ในการห้อมล้อมของอสูรมายาจำนวนมาก

อสูรมายาเหล่านั้นล้วนทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ พวกมันก็ส่งเสียงคำรามออกมาโดยที่มีแสงประกายหม่นหมองฉายอยู่ในแววตาขณะเข้ามาใกล้พวกนางอย่างรวดเร็ว

“นายหญิง นี่คือข่ายอาคมอสูร อสูรพวกนี้ล้วนก่อตัวขึ้นมาจากพลังมายารอบตัว หากต้องการทำลายมัน ท่านเพียงต้องกำจัดอสูรจ่าฝูงในหมู่พวกมันและนั่นจะเป็นการทำลายข่ายอาคมนี้ได้อย่างสิ้นซาก”

เสียงของมารยาดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ อสูรสาวเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมระดับสูง แน่นอนว่าข่ายอาคมธรรมดา ๆ เช่นนี้มิได้อยู่ในสายตาของมันแม้แต่น้อย

ฉินอวี้โม่กล่าวบอกหานโม่ฉือในทันทีและทั้งสองพยายามมองหาอสูรจ่าฝูงที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์มากที่สุดในหมู่อสูรที่ดูเหมือนกันอย่างกับแกะ

“โฮกกก !”

อสูรตัวหนึ่งคำรามเสียงดังและอสูรตัวอื่น ๆ ก็กระโจนตรงเข้าหาทั้งสองทันที

หานโม่ฉือโบกมือออกไปและกระบี่ที่ควบแน่นขึ้นมาจากพลังมายาก็ฟาดฟันอสูรตัวหนึ่งจนกลายเป็นสองส่วนในทันที ทว่าภายในพริบตาเดียว อสูรตัวนั้นก็หลอมกลับเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งและกลับคืนร่างเดิมพร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น

อสูรมายาหลายตัวที่ถูกสังหารโดยฝีมือของฉินอวี้โม่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในแบบเดียวกัน จากนั้นทั้งสองคนก็มองหน้ากันและไม่ลังเลอีกต่อไป

อึดใจต่อมา หานโม่ฉือก็ทำหน้าที่ล่ออสูรทั้งหมดเหล่านี้ในขณะที่ฉินอวี้โม่ตามหาจ่าฝูงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเมื่อมองเห็นอสูรตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลังและไม่ขยับเขยื้อน ร่างของนางก็พุ่งตรงไปปรากฏข้างกายมันทันที

กลุ่มเพลิงลุกโชนปรากฏในมือของนางและแผ่ออกไปแผดเผาท่วมร่างอสูรตัวนั้นทันที

อสูรจ่าฝูงส่งเสียงร้องโหยหวนเล็กน้อยและหายวับไปกลางอากาศในพริบตา จากนั้นข่ายอาคมรอบตัวก็เริ่มแหลกสลายโดยที่อสูรตัวอื่น ๆ ก็หายไปเช่นกัน ข่ายอาคมแรกถูกทำลายโดยฝีมือของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้สำเร็จ

หลังจากทำลายข่ายอาคมแรกได้สำเร็จ แสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นและทั้งสองก็ปรากฏกายในทุ่งหิมะที่ดูไร้จุดจบ

“ข่ายอาคมทุ่งหิมะ เราจะต้องหาแกนหลักที่ซ่อนอยู่ในทุ่งหิมะนี้และทำลายมันเสีย นั่นคือการทำลายข่ายอาคมนี้”

ฉินอวี้โม่มองเพียงแวบเดียวก็ทราบได้ทันทีว่าข่ายอาคมตรงหน้าคือข่ายอาคมประเภทใดพร้อมกับคิดหาวิธีทำลายมันได้อย่างรวดเร็ว

หานโม่ฉือพยักศีรษะและพลังวิญญาณของเขาก็แผ่ออกไปรอบตัวอย่างรวดเร็วจนครอบคลุมพื้นที่ทุ่งหิมะทั้งหมด

ทว่าในชั่วขณะหนึ่ง ร่างของหานโม่ฉือก็กะพริบหายไปและปรากฏกายขึ้นมาอยู่ข้างกายของฉินอวี้โม่อีกครั้งภายในอึดใจต่อมา จากนั้นทุ่งหิมะที่ดูกว้างขวางไร้ขอบเขตก็ค่อย ๆ สลายหายไปก่อนที่ทั้งสองจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าหอคอยต้องห้ามอีกครั้ง

หากเป็นคนอื่น การเผชิญกับข่ายอาคมเหล่านี้จะเป็นปัญหาใหญ่พอสมควร ทว่าสำหรับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ทั้งสองไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใด ๆ หากไม่มีข่ายอาคมที่ทรงพลังมากกว่านี้ละก็ คาดการณ์ได้ว่าทั้งสองคงจะฝ่าผ่านข่ายอาคมทั้งหมดได้ในเวลาเพียงไม่นาน

ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปต่อมา ทั้งสองก็ทำลายข่ายอาคมไปกว่าหลายสิบประเภทแล้วและค่อย ๆ เข้าใกล้ตัวหอคอยต้องห้ามมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนี่ก็ทำให้ทั้งสองรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ซึ่งกดทับลงมาจนทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง

“ดูเหมือนว่าหานชางจะลงทุนไปอย่างมหาศาลกับการสร้างผนึกและข่ายอาคมหลายชั้นรอบหอคอยต้องห้ามนี้”

หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาและแผ่จิตสังหารแรงกล้าเมื่อกล่าวถึงคนผู้นั้น ด้วยผนึกป้องกันหลายชั้นเช่นนี้ ต่อให้บิดามารดาของหานโม่ฉือฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้สมบูรณ์ก็ยากที่ทั้งสองจะออกมาได้

“ไม่เป็นไร สุดท้ายเขาจะต้องชดใช้ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา !”

สีหน้าของฉินอวี้โม่ในตอนนี้เยือกเย็นเล็กน้อยและแผ่จิตสังหารที่รุนแรงไม่แพ้กัน

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดพวกเจ้าก็มาที่นี่”

เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินหน้าต่อไป จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาและยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองด้วยแววตาเรียบเฉย