ด้านนอกหอคอยต้องห้าม ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่แปลกใจแม้แต่น้อยเมื่อเห็นผู้มาใหม่ที่ปรากฏกายตรงหน้าอย่างกะทันหัน การปรากฏตัวของ ‘เขา’ ถือเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่า ‘เขา’ จะโผล่มาในเวลานี้
“นายคนรองของตระกูลหานคงจะว่างจริง ๆ จึงได้มีเวลามาที่หอคอยต้องห้ามเช่นนี้”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชาโดยที่ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด ๆ
ผู้ที่ปรากฏกายตรงหน้าทั้งสองในเวลานี้ก็คือนายคนรองของตระกูลหานผู้ซึ่งเป็นน้องชายของหานชางและเป็นบุรุษที่เก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร—หานหยวน
หานหยวนมิใช่น้องชายแท้ ๆ ของหานชาง หากแต่เป็นต้องชายต่างมารดา เขามักไม่สุงสิงกับผู้ใด แม้ว่าเขาจะไม่ผูกพันและไม่ถูกชะตากับหานชางเท่าใดนัก เขาก็ยังอาศัยอยู่ในตระกูลหานได้อย่างสบายใจไร้อุปสรรคและมีสถานะที่สูงพอสมควร
บุตรและบุตรีของเขาก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีและตระกูลหานก็ไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บุตรทั้งหมดของหานหยวนไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดเช่นเดียวกับบิดาและมีพรสวรรค์ที่มิได้โดดเด่นนัก หากเทียบกับหานเฟยผู้ทรงพลังและหานซื่อผู้มีไหวพริบดี พวกเขาจึงไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่
“โม่ฉือ บุคคลที่จริงใจย่อมไม่คิดปิดบังสิ่งใด ข้ามาที่นี่เพื่อมารอเจ้า”
หานหยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างเปิดเผยและกล่าวตอบตามตรง เขาตั้งใจมารอหานโม่ฉืออยู่ที่นี่และทราบว่าหานโม่ฉือจะมาอย่างแน่นอน
“ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าจะมาที่นี่ ?”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยความสงสัยไม่น้อย ต่อให้ทราบมาก่อนว่าหานหยวนผู้นี้น่าจะไม่ธรรมดา ทว่าการที่เขาคาดการณ์การมาถึงของตนได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ช่างน่าแปลกใจอย่างมาก
“เพราะเจ้าเป็นลูกของเขา”
หานหยวนดูสงบนิ่งใจเย็น เพียงแค่การที่หานโม่ฉือเป็นบุตรชายของหานซวนหยวน เขาก็มีความมั่นใจในตัวของบุรุษหนุ่มผู้นี้มากแล้ว
หานซวนหยวน—บุรุษผู้แกร่งกล้าและโดดเด่นของตระกูลหานในอดีตเป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ เขาให้ความสำคัญกับความรักและความยุติธรรม เขาไม่เคยดูแคลนหานหยวนเพียงเพราะเป็นบุตรของอนุภรรยา ในทางกลับกัน เขาดีกับหานหยวนอย่างยิ่งและปฏิบัติต่อน้องชายต่างมารดาผู้นี้ดั่งพี่น้องแท้ ๆ
ในเมื่อหานโม่ฉือเป็นบุตรชายของเขา บุรุษหนุ่มก็ต้องสืบทอดคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมต่าง ๆ จากผู้เป็นบิดามาไม่ผิดแน่ เพราะเหตุนั้น หานหยวนจึงมั่นใจว่าหานโม่ฉือจะมาที่นี่เป็นแน่ ถึงอย่างไรบิดามารดาของเขาก็ยังถูกกักขังไว้ข้างในหอคอยและไม่อาจทราบถึงสถานการณ์ของทั้งสองได้
เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งของหานหยวน หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็มองหน้ากันเล็กน้อยโดยสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ความคิดของหานหยวนช่างลึกลับจนยากที่จะเข้าใจ
“หากเจ้าอยากรู้สิ่งใดมากกว่านี้ ก็จงตามข้ามา”
หานหยวนยิ้มให้ทั้งสองก่อนหันหลังมุ่งหน้าไปในทิศทางหนึ่ง แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ลังเลขณะเดินตามฝีเท้าของหานหยวนไปทันที
ทั้งสองสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าหานหยวนคิดจะทำสิ่งใด
หลังจากนำทางคนหนุ่มสาวทั้งคู่ออกมาจากบริเวณหอคอยต้องห้าม หานหยวนก็พาทั้งสองไปยังคฤหาสน์หลังงามข้างหลังหอคอยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขานั่นเอง
แม้หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จะต้องการเข้าไปในหอคอยต้องห้ามในทันที ทว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหานหยวนจะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ทั้งสองจึงพักแผนการบุกหอคอยของตนไว้ชั่วคราวและต้องการทราบว่าเหตุใดนายคนรองของตระกูลหานจึงมาดักรอตนเช่นนี้ ?
หานหยวนนำทางทั้งสองไปยังสวนร่มรื่นของคฤหาสน์ ภายในสวนที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามมีสระน้ำแห่งหนึ่งและมีศาลากระโจมตั้งอยู่ตรงกลาง ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าในเวลานี้งดงามราวกับภาพในความฝัน
“นี่คือคฤหาสน์ที่พี่ใหญ่และพี่สะใภ้เคยอาศัยอยู่”
หานหยวนผายมือเชิญทั้งสองนั่งลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก
พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ที่เขากล่าวถึงมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว—บิดามารดาของหานโม่ฉือ
“ทั้งสองไม่เคยสนใจอำนาจหรือสิทธิพิเศษใด ๆ นับประสาอะไรกับตำแหน่งผู้นำตระกูล พวกเขาเพียงต้องการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเรียบง่ายอยู่ที่นี่ ทุกคนที่แยกแยะความผิดชอบชั่วดีได้ก็ควรจะทราบถึงบุคลิกนิสัยของทั้งสอง”
จากน้ำเสียงของหานหยวน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยของความรักใคร่รวมถึงความเคารพที่เขามีต่อหานซวนหยวน ทั้งสองอดสงสัยไม่ได้ว่ามีสิ่งใดที่พวกเขายังไม่ได้ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนั้นอีกหรือไม่
“อันที่จริง ในอดีตพี่ใหญ่ดีกับข้ามากและปฏิบัติต่อข้าดั่งน้องชายแท้ ๆ คนหนึ่ง เขาก็ดีกับหานชางเช่นกันและไม่เคยมองหานชางในแง่ลบ ตอนที่เจ้าเกิดมา ทั้งพี่ใหญ่ พี่สะใภ้และท่านพ่อต่างก็มีความสุขยิ่งนัก ในตอนนั้นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ตัดสินใจจะใช้ชีวิตอย่างสงบในคฤหาสน์แห่งนี้ดังครอบครัวของเทพบุตรและเทพธิดา”
เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต จู่ ๆ ใบหน้าของหานหยวนก็ประดับด้วยรอยยิ้ม
หานซวนหยวนเป็นคนที่เขาเคารพมากที่สุดและเป็นเพียงคนเดียวที่เขารู้สึกชื่นชมจากใจจริง
คนผู้นั้นแกร่งกล้าสามารถ มีจิตใจดีและรักความยุติธรรม เขาปฏิบัติต่อญาติสนิทมิตรสหายเป็นอย่างดีมาเสมอและเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วทั้งตระกูลหาน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในตอนนั้นตำแหน่งผู้นำของตระกูลหานก็จะต้องตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม หลังจากหานโม่ฉือกำเนิดมา แผนการสมคบคิดที่ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าก็เกิดขึ้น
หานชางทราบดีว่าหานซวนหยวนเป็นคนอย่างไร อีกทั้งยังทราบดีว่าคนผู้นั้นรักและห่วงสิ่งใดมากที่สุด เพราะเหตุนั้นเขาจึงวางแผนโดยใช้หานโม่ฉือเป็นเหยื่อโดยตรง
สำหรับสิ่งที่หานชางทำกับหานโม่ฉือในตอนนั้น หานหยวนไม่ทราบอย่างแน่ชัด อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่าเป็นเพราะการกระทำของหานชางจึงทำให้หานโม่ฉือมีนัยน์ตาสีแดงฉานราวกับปีศาจร้าย ในตอนนั้นหานชางได้ติดต่อกับผู้ทรงพลังผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ทราบว่ามาจากขุมกำลังใด
ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นอย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด เขายืนกรานอย่างหนักแน่นว่าทารกหานโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณีของตระกูลและหากหานโม่ฉือยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ตระกูลหานจะต้องถึงคราวล่มสลาย
เพราะเหตุนั้น หานชางจึงใช้โอกาสนั้นเสนอให้สังหารหานโม่ฉือ เพื่อที่เด็กน้อยกาลกิณีจะได้ไม่นำพาเคราะห์ร้ายมาสู่วงศ์ตระกูลของพวกเขา
แน่นอนว่าบิดาอย่างหานซวนหยวนไม่มีทางยินยอม และผู้นำตระกูลหานคนก่อนก็ไม่ยอมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็ไม่ได้ราบรื่น เนื่องจากผู้อาวุโสทรงพลังหลายคนของตระกูลหานและอีกหลาย ๆ คนก็ร่วมมือกันเพื่อบีบบังคับให้ผู้นำตระกูลตัดสินใจ
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังและอับจนปัญญานั้น ผู้นำตระกูลหานคนก่อนและหานซวนหยวนจึงตัดสินใจที่จะส่งหานโม่ฉือไปยังตระกูลไป่หลี่เพื่อวานให้พวกเขาช่วยเลี้ยงดู
แม้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจะไม่เต็มใจทอดทิ้งบุตรชาย แต่ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วและได้แค่หวังว่าหานโม่ฉือจะสะสางเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองเมื่อเขาเติบโต ในขณะที่พวกเขาจะสืบหาความจริงว่าตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้คือผู้ใด
อย่างไรก็ตาม ขณะที่กำลังจะส่งตัวหานโม่ฉือไป จู่ ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เดิมทีหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วต้องการนำตัวหานโม่ฉือไปส่งด้วยตัวเอง ทว่าพวกเขาก็ออกจากตระกูลหานได้เพียงไม่นานเท่านั้นก่อนที่จะถูกโจมตีโดยขุมกำลังลึกลับในป่าแห่งหนึ่งภายในดินแดนเทพมายา
สองสามีภรรยามีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและมิได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่อศัตรูลึกลับเหล่านั้น หากพวกเขาต้องการหลบหนี พวกเขาก็สามารถหลบหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่ในช่วงเวลานั้น จู่ ๆ หานชางก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เขาแสร้งทำเป็นว่าเข้ามาช่วยเหลือหานซวนหยวนและภรรยา ทว่าเขากลับถูกกลุ่มศัตรูลึกลับเหล่านั้นจับตัวไว้ได้ง่าย ๆ คนเหล่านั้นจึงใช้ชีวิตของหานชางเพื่อข่มขู่หานซวนหยวนส่งผลให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกมัดมือชก ถึงแม้ว่าหานซวนหยวนจะทรงพลังมาก ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในเวลานั้น หานซวนหยวนก็นึกถึงหานปิ่งเซียน—สหายในดินแดนหวนหลิงที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาจึงใช้ความแข็งแกร่งที่หลงเหลือเสี้ยวสุดท้ายในตอนนั้นส่งตัวหานโม่ฉือไปยังดินแดนหวนหลิง
หลังจากนั้น หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็ถูกจับตัวกลับไปที่จวนตระกูลหานและถูกกักขังไว้ในหอคอยต้องห้ามตั้งแต่นั้นมา
ในเวลานั้น ผู้นำตระกูลหานคนก่อนก็ถูกวางยาพิษโดยหานชางและไม่สามารถช่วยเหลือคนทั้งสองได้ สิ่งเดียวที่ทุกคนทราบคือสองสามีภรรยาถูกขังไว้ในหอคอยต้องห้ามและกลายเป็นคนไร้ความสามารถที่มิอาจฝึกยุทธ์ได้
หานหยวนและหานซวนหยวนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าเขาต้องการช่วยพี่ชายต่างมารดาตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ตาม ภายใต้การควบคุมของหานชาง เขาก็ทำได้เพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หานหยวนก็พยายามเก็บตัวเงียบเพียงเพื่อสืบหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตและหาทางช่วยหานซวนหยวน
เพียงแต่หานชางวางมาตรการป้องกันอย่างแน่นหนาทั้งผนึกและข่ายอาคมหลายประเภท ต่อให้พยายามเพียงใด เขาก็ยังไม่สามารถทำได้สำเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลจึงสนับสนุนการกระทำของหานชางและคอยคุ้มกันอยู่รอบนอกหอคอยต้องห้ามเพื่อป้องกันมิให้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วหนีออกมาได้
เมื่อเวลาผ่านไป หานหยวนก็ไม่เคยประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งใจ เขาทำได้เพียงพยายามคิดหาหนทางต่อไปเรื่อย ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หานชางไม่เคยอนุญาตให้เขาเข้าไปในหอคอยเพียงลำพัง คราก่อนหน้านี้ที่เขามีโอกาสได้เข้าไปก็เพียงเพราะติดตามหานชางไปเท่านั้น
แม้รากฐานฝึกยุทธ์ของหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจะถูกทำลายไป เขาก็ทราบดีว่าทั้งสองยังสบายดีและมีชีวิตอยู่ ความกังวลเพียงอย่างเดียวก็คือเรื่องของหานโม่ฉือ หานหยวนพยายามสืบหาข่าวเกี่ยวกับหานโม่ฉือมาโดยตลอดทว่าไม่เคยพบเบาะแสใด ๆ
ทว่าในตอนนั้นเอง หานซื่อได้กลับมาที่จวนตระกูลหานและรายงานกับหานชางว่าหานโม่ฉือปรากฏกายในดินแดนเทพมายา เขาจึงคาดการณ์ได้ว่าหานโม่ฉือจะเดินทางมาที่นี่ในเร็ว ๆ นี้
และโอกาสที่ดีที่สุดของเขาคืองานรวมพลสี่ตระกูลลับที่กำลังจะมาถึง
หลังจากนั้นหานหยวนก็สืบหาข้อมูลอย่างจริงจังและทราบว่าหานโม่ฉือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหมยเสี่ยวโร่ว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงคาดเดาได้ว่าหานโม่ฉือน่าจะแฝงตัวมากับคณะศิษย์ของตระกูลเหมย
หลังจากคำนวณเวลาที่หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่น่าจะมาที่หอคอยต้องห้าม เขาจึงมาดักรอทั้งสองอยู่ที่นั่นด้วยความหวังว่าจะได้พบกัน
หลังจากฟังเรื่องราวจากหานหยวน หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็หันมองหน้ากันทันที
“แล้วท่านมีจุดประสงค์ใดจึงบอกพวกเราเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ?”
หานโม่ฉือหันกลับไปมองบุรุษตรงหน้าและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง
“หากข้าบอกว่าข้าเพียงต้องการช่วยพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ?”
หานหยวนมองบุรุษหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นหลานชายด้วยแววตาจริงใจ เขาทราบดีว่าการโน้มน้าวใจให้หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เชื่อวาจาของตนอาจมิใช่เรื่องง่าย ทว่านี่ก็เป็นความคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกในหัวใจของเขา
“เราเชื่อท่าน”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักศีรษะเบา ๆ เพื่อแสดงถึงทัศนคติของตน
หากลองสลับที่กับหานหยวนและคิดไตร่ตรองดู ทั้งสองก็คงเลือกทำในสิ่งเดียวกันกับบุรุษผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น หานหยวนก็แสดงความจริงใจออกมาอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองก็ไม่สงสัยในตัวหานหยวนอีกต่อไป
เมื่อได้ยินคำตอบของทั้งสอง หานหยวนถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะเชื่อเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้จนไม่อาจสรรหาคำพูดใดตอบกลับได้
“ท่านอาสาม ข้ารู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายทรงพลังบางอย่างรอบ ๆ หอคอยต้องห้ามและคิดว่าน่าจะเป็นกลิ่นอายของผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลหาน”
หานโม่ฉือกล่าวเรียกหานหยวนว่า ‘อาสาม’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขายอมรับและเชื่อวาจาของหานหยวนอย่างแท้จริง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาแห่งความตื้นตันก็แทบจะหยดลงมาจากดวงตาของหานหยวน เดิมทีเขาคิดว่าหานโม่ฉืออาจไม่เชื่อวาจาของตนและจะถือโทษโกรธเคืองเขา ไม่คิดเลยว่าบุรุษหนุ่มจะเชื่อและยอมรับตัวตนของเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
“เจ้าคิดถูกแล้ว ทว่านอกเหนือจากผู้อาวุโสทั้งสี่ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่หานชางนำมาที่นี่ คนผู้นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าผู้อาวุโสเสียอีกและเขาก็คือผู้ที่กล่าวหาว่าเจ้าเป็นตัวกาลกิณี เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ควรวู่วามบุกเข้าไปในหอคอย มิฉะนั้นผลลัพธ์อาจจะเลวร้ายกว่าที่คิดได้”
หลังจากทำใจให้เย็นลง หานหยวนก็กล่าวเตือนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล