ตอนที่ 602 เปิดเผยตัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หอคอยต้องห้ามรายล้อมไปด้วยยอดฝีมือที่แกร่งกล้าหลายคน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือตระหนักถึงสิ่งนี้เป็นอย่างดี ทั้งสองมีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง เพียงก้าวเข้าไปใกล้ตัวอาคารหอคอย ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังจำนวนหนึ่ง

เพียงแต่ทั้งสองมั่นใจว่าต่อให้จะต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเหล่านั้น พวกเขาก็ยังสามารถหลบหนีออกมาได้ เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงกล้ามุ่งหน้าเข้าสู่หอคอยโดยไม่ลังเล

“ท่านอาสาม คนผู้นั้นคือใครรึเจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่มองหานหยวนและคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นคือตัวการหลักที่เกือบจะทำให้หานโม่ฉือต้องตายเมื่อหลายสิบปีก่อน

“ข้าก็ไม่ทราบอย่างแน่ชัด ข้าพยายามแอบสืบหาเกี่ยวกับตัวตนของคนผู้นี้มานาน ทว่าไม่เคยได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์เลย ข้าทราบเพียงว่าเขามิใช่คนของดินแดนเทพมายาและไม่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่นี่ เขาเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นยอดฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวก็คือศาสตร์ด้านโหราศาสตร์และการพยากรณ์ของเขา ราวกับว่าเขามีความสามารถในการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า เพราะเหตุนั้น วาจาของเขาจึงน่าเชื่อถือสำหรับคนตระกูลหาน และมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้หานโม่ฉือต้องทนทุกข์ทรมานตลอดหลายปีมานี้”

หานหยวนส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างจนปัญญาและไม่ทราบตัวตนของคนผู้นั้น โดยทราบเพียงว่านอกเหนือจากความแข็งแกร่งของเขา สิ่งที่เหนือชั้นยิ่งกว่าก็คือความสามารถด้านโหราศาสตร์การทำนายดวงของเขา

“หานชางพบคนผู้นั้นจากที่ใดรึขอรับ ?”

หานโม่ฉือเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อได้ทราบว่าบิดามารดาสบายดี เขาก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย แม้พยายามเก็บงำไม่แสดงออกมา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน

“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ตอนที่เจ้ากำลังจะกำเนิดออกมา เขาก็หายไปจากจวนตระกูลเป็นระยะเวลาหนึ่ง ไม่มีใครทราบว่าเขาไปที่ใด ทว่าเมื่อกลับมา เขาก็พาคนผู้นั้นกลับมาด้วยและนั่นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในตระกูลหาน”

หานหยวนยังคงส่ายศีรษะเช่นเดิม หานชางเก็บความลับได้อย่างแนบเนียน แม้ตัวเขาพยายามสืบข้อมูลก็ไม่เคยได้เบาะแสเหล่านี้แม้แต่น้อย

“อย่างไรก็ตาม หานชางเคารพความคิดเห็นของคนผู้นั้นเป็นอย่างมากและเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หานชางก็ไม่กล้าใช้สถานะผู้นำตระกูลในการวางท่ายโสโอหังแม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น ข้าจึงสงสัยว่าจะต้องมีขุมกำลังทรงพลังอยู่เบื้องหลังคนผู้นั้นอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันพร้อมพยักศีรษะอย่างรู้กัน

“เดิมทีเราคาดเดาว่าคนผู้นั้นน่าจะเป็นสมาชิกของฝ่ายมาร ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมิใช่เช่นนั้น แม้ขุมกำลังมารร้ายจะทรงพลังอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขาก็มิได้มีสมาชิกที่ลึกลับเช่นนั้น คนผู้นั้นมีทั้งตัวตนที่เป็นปริศนาและความแข็งแกร่งอันทรงพลัง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยทักษะการพยากรณ์ทำนายดวงชะตาที่ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากขุมกำลังแห่งหนึ่งที่ข้าเคยได้เห็นในตำรา”

ฉินอวี้โม่ก็เหมือนจะคาดเดาได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นั้น การที่เขาชำนาญด้านวิชาโหราศาสตร์และมีความแข็งแกร่งที่ยากเกินหยั่งถึง เห็นทีตัวตนของคนผู้นั้นอาจคาดเดาได้ไม่ยากอย่างที่คิด

“เจ้าหมายถึง…พิภพเหนือสวรรค์งั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา เขากล่าวด้วยความประหลาดใจและรู้สึกทันทีว่าข้อคาดเดาของฉินอวี้โม่มีความเป็นไปได้มากทีเดียว

“ใช่แล้วล่ะ ข้าคิดว่าเขามาจากพิภพเหนือสวรรค์”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ นางกำลังกล่าวถึงขุมกำลังที่มีชื่อเรียกกันว่า ‘พิภพเหนือสวรรค์’

‘พิภพเหนือสวรรค์’ คือขุมกำลังลึกลับที่สุดในดินแดนเทพมายา กล่าวกันว่านอกเหนือจากบันทึกในตำราบางส่วนและบรรพบุรุษบางคนที่ดำรงอยู่มานานหลายร้อยปี มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ทราบเกี่ยวกับมัน

ขุมกำลังดังกล่าวมีสมาชิกเพียงไม่มากนักและอาจจะมีสมาชิกไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ทว่าทุกคนล้วนทรงพลังและมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง

พวกเขาแต่ละคนล้วนมีความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาและชำนาญด้านโหราศาสตร์การทำนายดวง เมื่อนับพันปีก่อน พวกเขาก็ได้ทำนายสงครามครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในดินแดนเทพมายา รวมถึงการล่มสลายของราชินีเหมันต์ เทพมายาและยอดฝีมือทรงพลังคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผู้คนสับสนและสงสัยก็คือพวกเขาไม่เคยเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามครั้งใหญ่ของดินแดน แม้เมื่อพันปีก่อนก็ไม่มีผู้ใดแสดงตัวออกมา หากมิใช่เพราะการทำนายล่วงหน้าที่แม่นยำก็คงไม่มีใครทราบด้วยซ้ำว่ามีขุมกำลังดังกล่าวอยู่จริง

ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาอยู่ที่ใดในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ หรือว่าคนเหล่านั้นมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นเช่นไร

หากยอดฝีมือที่หานชางนำกลับมาที่ตระกูลคือคนจากพิภพเหนือสวรรค์จริง มันก็คงจะน่าสงสัยไม่น้อย สมาชิกของขุมกำลังพิภพเหนือสวรรค์ไม่เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้ในดินแดน แล้วเหตุใดจู่ ๆ พวกเขาจึงเปิดเผยตัวในดินแดนเทพมายาเช่นนี้ ? อีกทั้งยังมาที่ตระกูลหานเพื่อช่วยเหลือในแผนการร้ายของหานชาง…พวกเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ?

เมื่อได้ยินข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ  สีหน้าของหานหยวนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับขุมกำลังลึกลับนี้มาบ้างเช่นกัน หากเป็นคนจากพิภพเหนือสวรรค์จริง เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตระกูลหานก็ถือว่าสมเหตุสมผลมากทีเดียว

ตอนที่คนผู้นั้นพยากรณ์ว่าหานโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณีที่จะมาพร้อมกับความหายนะ ผู้นำตระกูลหานคนก่อนซึ่งก็คือบิดาของเขาก็มิได้เชื่อเช่นนั้น ทว่าในภายหลัง เมื่อคนผู้นั้นเข้าไปพูดคุยกับผู้นำตระกูลด้วยตนเอง จู่ ๆ เขาก็เริ่มคล้อยตามและเชื่อขึ้นมา หากมิใช่เพราะสถานะของพิภพเหนือสวรรค์ เกรงว่าคงไม่มีทางที่เขาจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้นำตระกูลหานได้

“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้ชักจะสนุกมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ เดิมทีก็มีฝ่ายมารที่พร้อมจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทว่าตอนนี้ก็ยังมีพิภพเหนือสวรรค์เพิ่มเข้ามาอีก ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าขุมกำลังพิภพเหนือสวรรค์ที่กล่าวกันว่าลึกลับนัก แท้จริงแล้วจะมีความสามารถอย่างไร ?”

ฉินอวี้โม่หัวเราะอย่างเยือกเย็นและไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใด ๆ ในเมื่อคนเหล่านั้นสมคบคิดกันทำให้หานโม่ฉือต้องเผชิญกับอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต รวมถึงบิดามารดาของเขายังถูกนำไปกักขัง พวกเขาย่อมมิใช่คนดีอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพันปีก่อน พวกเขาสามารถพยากรณ์สงครามล้างดินแดนได้อย่างแม่นยำทว่ากลับไม่เข้ามามีส่วนร่วม ผู้ที่ทนนิ่งดูดายทั้ง ๆ ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นย่อมไม่คู่ควรแก่ความเคารพใด ๆ ทั้งสิ้น

ฉินอวี้โม่เชื่อว่าคนเหล่านั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และในทางกลับกัน พวกเขาอาจมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่บางอย่างที่ยังไม่อาจคาดเดาได้ในตอนนี้

“โม่เอ๋อร์ เห็นทีว่าเราจะต้องเปิดเผยตัวให้ชัดเจนเสียแล้ว”

หานโม่ฉือยิ้มเย็นไม่ต่างกันและตัดสินใจในทันที ในเมื่อทราบว่าคนจากพิภพเหนือสวรรค์มีส่วนเกี่ยวข้องและมีบทบาทสำคัญในชะตากรรมอันเลวร้ายของเขา งานรวมพลของสี่ตระกูลลับจะต้องมีเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้น เขาก็อยากเห็นนักว่าคนจากพิภพเหนือสวรรค์จะต้องการทำสิ่งใด !

หลังจากพูดคุยหารือกับหานหยวนอีกพักใหญ่ ทั้งสองก็แยกตัวกลับไปยังที่พักของศิษย์ตระกูลเหมย

เสี่ยวโร่วได้สืบถามข้อมูลจากหานซื่อด้วยเช่นกันและเวลานี้เหมยตงอวิ๋นกำลังรอฉินอวี้โม่อยู่ที่ห้องรับรอง

ในบรรดาคณะศิษย์ของตระกูลเหมยครานี้ เสี่ยวโร่วและเหมยตงอวิ๋นเป็นเพียงสองคนจากตระกูลที่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ และทั้งสองเป็นคนที่ไว้วางใจได้

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกลับมา ทั้งสองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที หอคอยต้องห้ามของตระกูลหานเป็นที่ที่อันตรายอย่างมาก แม้ทราบดีว่าคนทั้งคู่ไม่ได้อ่อนแอ แต่สมาชิกทั้งสองของตระกูลเหมยก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้

“เป็นอย่างไรบ้าง พวกท่านได้เข้าไปหรือไม่ ?”

เสี่ยวโร่วปรี่ออกมาต้อนรับทันทีพร้อมเอ่ยถามด้วยความกังวล

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงยิ้มบาง ๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในการเดินทางไปหอคอยต้องห้ามครานี้ให้เสี่ยวโร่วและเหมยตงอวิ๋นได้ทราบ

“ขุมกำลังพิภพเหนือสวรรค์ ! ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย !”

เมื่อได้ยินเกี่ยวกับพิภพเหนือสวรรค์ เหมยตงอวิ๋นก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโร่วสับสนงุนงงเป็นที่สุด นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับขุมกำลังลึกลับนี้มาก่อน

“พิภพเหนือสวรรค์ที่มักเมินเฉยต่อความเป็นไปของบ้านเมืองมาตลอดกลับมีส่วนร่วมอยู่เบื้องหลังและมีส่วนชักใยให้เกิดความวุ่นวายในตระกูลหาน หากข้อมูลเหล่านี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของพิภพเหนือสวรรค์จะเลวร้ายลงกว่าก่อนอย่างแน่นอน”

เหมยตงอวิ๋นกล่าวอย่างใช้ความคิด เขามีความรู้รอบด้านและมากประสบการณ์ ทว่าจู่ ๆ เขาก็ชะงักไปราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้

“ไม่ เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด คนจากพิภพเหนือสวรรค์ไม่ธรรมดาเลย และไม่ว่ายอดฝีมือที่อยู่ในตระกูลหานเป็นคนจากขุมกำลังนั่นรึไม่ เราก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันไม่เพียงแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นเท่านั้นทว่าผลที่ได้จะไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เราก็ไม่ทราบว่าเขามาที่จวนตระกูลหานในนามของพิภพเหนือสวรรค์หรือมาเพราะจุดประสงค์ของตนเอง หากเขาได้รับคำสั่งมาก็หมายความว่าเขาเป็นตัวแทนของขุมกำลังนั้น และหากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าการกำจัดเขาคงไม่ง่ายแน่ อย่างไรก็ตาม หากเราหาทางกำจัดเขาอย่างลับ ๆ ต่อให้รู้ไปถึงพิภพเหนือสวรรค์ พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับกับความสูญเสียเท่านั้น”

หานโม่ฉือกล่าวอย่างเยือกเย็นและน้ำเสียงแสดงถึงจิตสังหารอันแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นคนจากพิภพเหนือสวรรค์หรือไม่ ทว่าก็เป็นเพราะคำพูดของคนผู้นั้นที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายและยังคงต้องทุกข์ทนกับผลของมันมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้เขากลับมาที่นี่แล้ว คนผู้นั้นจะต้องชดใช้อย่างสาสม

เมื่อได้ยินวาจาเยือกเย็นจนน่าขนลุกของหานโม่ฉือและจิตสังหารน่าสะพรึงกลัวของเขาที่แผ่ออกมา ความจำนนบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจของเหมยตงอวิ๋น ในช่วงเวลาปกติ บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็ดูจะเป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสบาย ๆ ทว่าเมื่อถูกสะกิดเกล็ดใต้คอมังกร เขาก็กลายเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง !

* 逆鳞 เกล็ดใต้คอมังกร ซึ่งหันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดในบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากใครไปแตะเกล็ดนี้ มังกรจะโกรธจัดและฆ่าคนผู้นั้น ในอดีตจักรพรรดิเปรียบเสมือนพญามังกร สำนวนนี้จึงหมายถึงการทำให้จักรพรรดิทรงพิโรธ  ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบการทำให้ผู้มีอำนาจโกรธ หรือเรียกว่าเป็นต่อมโมโห

“คุณหนู แล้วตอนนี้ท่านจะทำอย่างไรต่อไปรึเจ้าคะ ?”

เสี่ยวโร่วเอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยความเป็นห่วง ก่อนหน้านี้นางคิดว่าการช่วยบิดาและมารดาของหานโม่ฉือออกมาจากหอคอยต้องห้ามอาจเป็นเรื่องง่าย ทว่าบัดนี้นางตระหนักได้แล้วว่ายังมีปัจจัยอื่นที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีฝ่ายมารที่คอยจับตาดูสถานการณ์อยู่ไม่ห่าง งานรวมพลสี่ตระกูลลับครานี้จะต้องมีเรื่องที่น่าสนใจมากมายอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อบุกเข้าไปง่าย ๆ ไม่ได้ เราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันโดยตรง หานชางต้องการให้หานโม่ฉือเดินทางมาที่นี่มาโดยตลอดมิใช่รึ ? ตอนนี้โม่ฉือก็กลับมาอย่างเปิดเผยแล้ว หากเขาอยากพบกับบิดามารดา ข้าก็อยากเห็นนักว่าหานชางจะปฏิเสธอย่างไร !”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมแสยะยิ้มมุมปากและหานโม่ฉือก็คิดถึงวิธีการตอบโต้อยู่ในหัวแล้ว ในเมื่อหานชางถึงขั้นลงทุนเตรียมผนึกและข่ายอาคมป้องกันหอคอยต้องห้ามหลายชั้นเพื่อให้หานโม่ฉือเข้าไปติดกับ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากทั้งสองเป็นฝ่ายแสดงตัวอย่างเปิดเผยซะเอง หานชางจะต้องคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน

หลังจากหารือกับเหมยตงอวิ๋นและคนอื่น ๆ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มุ่งหน้าออกจากคฤหาสน์ที่พักชั่วคราวของคนตระกูลเหมยอีกครั้งเพื่อตรงไปยังคฤหาสน์ของผู้นำตระกูลหาน

ภายในคฤหาสน์หลักของตระกูลหาน หานชางกำลังหารือกับหานเฟย หานซื่อและผู้อาวุโสหลายคน

“ท่านพ่อ ข้าลองสังเกตดูแล้ว องครักษ์สองคนที่อยู่ข้างกายของเหมยเสี่ยวโร่วดูน่าสงสัยยิ่งนัก เป็นไปได้ว่าสองคนนั้นคือหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ ก่อนหน้านี้ข้าก็พยายามสืบเบาะแสจากเสี่ยวโร่ว ทว่าแม่นางผู้นั้นก็ปิดปากเงียบสนิท ข้าจึงไม่ได้ข้อมูลยืนยันเลย”

หานซื่อกล่าวขณะรู้สึกได้แล้วว่าเสี่ยวโร่วไม่ธรรมดาใสซื่ออย่างที่เห็น เขาสงสัยว่าองครักษ์ทั้งสองของเสี่ยวโร่วคือหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันก็เท่านั้น

“ท่านพ่อ ฝ่ายตระกูลไป่หลี่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ทราบเกี่ยวกับหานโม่ฉือด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น คนจากตระกูลไป่หลี่ที่มาในครานี้ก็ล้วนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่คงจะไม่ได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มของพวกเขา”

หานเฟยกล่าวบอกข้อมูลที่ตนเองรวบรวมมาเช่นกัน

“เอาล่ะ พวกเจ้าทำงานกันได้ดีมาก จงจับตาดูต่อไป ทันทีที่มีเบาะแส…”

ก่อนที่เขาจะได้กล่าวจนจบประโยค เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งโร่หน้าตั้งเข้ามา

“ท่านผู้นำขอรับ มีสตรีและบุรุษคู่หนึ่งมารออยู่ข้างหน้าโดยกล่าวอ้างว่าตนคือหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ พวกเขาต้องการเข้าพบท่านขอรับ !”

เมื่อได้ยินวาจาของเด็กหนุ่ม หานชางก็ลุกพรวดจากบัลลังก์ที่นั่งโดยไม่รู้ตัว

.