ตอนที่ 603 การเผชิญหน้าโดยตรง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินตรงเข้าไปในห้องโถงกว้างด้วยการนำทางของเด็กหนุ่มรับใช้ เพียงแวบแรก ทั้งสองก็มองเห็นหานชางซึ่งยืนนิ่งอยู่ที่บัลลังก์หลัก รวมถึงหานเฟยและหานซื่อซึ่งยืนอยู่ทางซ้ายและทางขวาของเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

เว้นเพียงแต่ผู้อาวุโสทรงพลังเลื่องชื่อทั้งสี่คนของตระกูลหาน เวลานี้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่เหลือก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่โดยนั่งเรียงรายทั้งสองฝั่งด้วยสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย

“เหอะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนอยู่กันพร้อมหน้ามากมายเช่นนี้ ดูเหมือนเราคงจะมาขัดจังหวะการหารือของทุกคนสินะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ขณะจับมือหานโม่ฉือเดินไปนั่งลง

เวลานี้ ทั้งสองมิได้อำพรางตัวอีกต่อไปและเปลี่ยนอาภรณ์กลับเป็นตนเองตามปกติ เรียกได้ว่าบุรุษหนุ่มรูปงามหล่อเหลาชวนมอง ส่วนสตรีก็งดงามดุจดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ทั้งสองดูงดงามราวเทพปั้นที่โดดเด่นและดึงดูดสายตาทุกคนจนเหมือนต้องมนต์สะกด

เมื่อหานซื่อได้เห็นฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน ดวงตาของเขาก็ฉายประกายเล็กน้อย แม้จะเคยพบสตรีงามมาแล้วนับไม่ถ้วน ต้องกล่าวเลยว่าไม่เคยมีผู้ใดทัดเทียมกับฉินอวี้โม่ผู้นี้จนแม้แต่เขาก็ยังตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติ เรือนร่างสมบูรณ์แบบชวนสะกดหรือกลิ่นอายสง่างามดังเทพธิดาผู้สูงส่ง คุณสมบัติทุกอย่างของสตรีผู้นี้ล้วนเหนือกว่าสตรีคนอื่น ๆ แม้แต่สตรีงดงามอย่างไป่หลี่ชิงโร่วจากตระกูลไป่หลี่และเสี่ยวโร่วจากตระกูลเหมยก็เทียบนางไม่ได้

หานชางและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างมองเห็นหานโม่ฉือที่อยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ก่อนหันไปสบตากันด้วยแววตาที่ซับซ้อนยากเกินคาดเดา

ต้องกล่าวเลยว่าบุรุษหนุ่มดูคล้ายกับหานซวนหยวน—บิดาของเขามาก อย่างไรก็ตาม เขาดูเย็นชาและเข้าถึงยากกว่าหานซวนหยวนมากทีเดียว

หากหานซวนหยวนเปรียบดั่งภูเขาไฟระอุ หานโม่ฉือก็เป็นธารน้ำแข็งที่สุดแสนเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ บิดาและบุตรชายมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันอย่างชัดเจน ทว่าลักษณะนิสัยของทั้งสองกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“หานโม่ฉือ เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?!”

หานเฟยตะโกนกร้าวออกไปเป็นคนแรกด้วยความไม่พอใจเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหานโม่ฉือและไป่หลี่ชิงโร่ว คราก่อนที่เขาพ่ายแพ้ต่อหานโม่ฉืออย่างราบคาบในนครเวหา ความโกรธแค้นครานั้นยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ หานเฟยถือว่าตนเป็นยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหานมาตลอด ทว่าการปรากฏตัวของหานโม่ฉือในตอนนี้บดบังรัศมีความโดดเด่นของตัวเขาไปอย่างสิ้นเชิงและทำให้แสงสว่างจากตัวเขากลายเป็นแสงสลัวในทันที

“หึหึ ข้ามาทำอะไรที่นี่งั้นรึ ? เรื่องนี้ผู้นำหานน่าจะทราบดีกว่าใคร”

หานโม่ฉือหัวเราะในลำคอก่อนชำเลืองมองไปที่หานชางด้วยสีหน้าแววตาที่ดูเรียบเฉยจนผู้นำตระกูลหานไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้เลย

หานชางขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยขณะแผ่แรงกดดันออกไปอย่างช้า ๆ เพื่อกดข่มหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่

แน่นอนว่าทั้งสองรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็ว สีหน้าของหานโม่ฉือยังคงไม่เปลี่ยนแปลงทว่าคลื่นพลังจากร่างของเขาก็แผ่ออกไปเช่นกันและต้านทานแรงกดดันจากหานชางไว้

โครมมม !

ทันใดนั้น ภายในห้องโถงที่เงียบสงัดก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาเมื่อเก้าอี้ใต้ร่างของหานโม่ฉือพังทลายลงเพราะแรงกดดันอันทรงพลังของทั้งสองฝ่ายจนกลายเป็นฝุ่นผงสลายไปในอากาศ

“ดูเหมือนว่าช่วงนี้ตระกูลหานคงจะยากจนมากสินะ เก้าอี้ตัวนี้ถึงได้เปราะบางเสียเหลือเกิน”

หานโม่ฉือกล่าวเสียงเรียบอย่างไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

“มันเปราะบางอย่างที่เจ้าว่าจริง ๆ !”

เมื่อสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ สีหน้าของหานชางก็เหยเกอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามสงบอารมณ์และแสยะยิ้มประหลาดพร้อมกล่าวออกไป “หานโม่ฉือ เจ้าถูกเนรเทศออกจากตระกูลหานไปนานแล้ว เจ้ามิใช่สมาชิกตระกูลเราอีกต่อไป งานรวมพลสี่ตระกูลมีกฎชัดเจนว่ามิให้คนภายนอกเข้าร่วม หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เจ้าจงกลับไปเสียเถอะ”

พลังของหานโม่ฉือน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีฉินอวี้โม่ที่ทรงพลังอย่างไม่ธรรมดาอยู่ข้างกาย เมื่อเผชิญหน้ากับคนทั้งสอง หานชางก็เกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาในใจ ในงานรวมพลสี่ตระกูลลับที่กำลังจะมาถึง เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างเพราะสองคนนี้เป็นแน่

ด้วยเหตุนั้น เขาจึงออกคำสั่งขับไล่ด้วยเสียงแข็งทันทีและต้องการให้คนทั้งสองออกไปจากที่นี่โดยเร็ว เมื่อเป็นเช่นนั้น หากเกิดอะไรขึ้นมา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็จะไม่สามารถขัดขวางหรือเข้ามาแทรกแซงได้  และเมื่อแผนการทุกอย่างประสบผลสำเร็จ เขาและคนอื่น ๆ ก็จะหาทางจำกัดคนทั้งสองในภายหลังอย่างแน่นอน

“หานชาง บุคคลที่จริงใจย่อมไม่คิดปิดบังสิ่งใด เจ้าก็เป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้นเจ้าก็น่าจะทราบดีว่าข้าต้องการสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าถูกเนรเทศออกจากตระกูล ข้าเพียงทราบว่าผู้นำตระกูลในตอนนั้นต้องการส่งข้าไปที่ตระกูลไป่หลี่เพื่อให้พวกเขาเลี้ยงดูข้า และตอนนี้หลังจากที่ข้าเติบโตเป็นบุรุษเต็มตัวแล้ว แน่นอนว่าข้าสามารถกลับมาที่นี่ได้”

หานโม่ฉือไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับหานชางในเวลานี้ หากเขาต้องการทำเช่นนั้น การต่อสู้ก็คงเกิดขึ้นไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้หานชางยังมีประโยชน์สำหรับเขา ถึงอย่างไรแล้วเขาก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าหานชางผู้นี้มีจุดประสงค์ใดในงานรวมพลสี่ตระกูลลับครานี้

วาจาของหานโม่ฉือทำให้หานชางกังวลใจมากกว่าเดิม ผู้นำตระกูลคนก่อนมีความตั้งใจเช่นนั้นจริง ทว่าหลังจากตัวเขารับช่วงต่อในตำแหน่งนี้ เขาก็ได้ออกคำสั่งเนรเทศหานโม่ฉือออกจากตระกูลหานด้วยตัวเอง

เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่ทราบว่าหานโม่ฉือถูกส่งตัวไปที่ดินแดนหวนหลิง หานชางก็เชื่อมั่นมาเสมอว่าไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์เพียงใด หานโม่ฉือก็ไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะพัฒนาและกลายเป็นภัยต่อเขาและตระกูลหานได้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่ส่งคนไปตามล่าเพื่อกำจัดหานโม่ฉืออีกต่อไป ไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจครานั้นจะเป็นภัยที่ย้อนกลับมาทำร้ายตนเองและส่งผลให้หานโม่ฉือกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้

“หานโม่ฉือ ข้าจะให้เจ้าได้พบกับพ่อแม่ของเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกเขาละเมิดกฎของตระกูลหานและถูกขังไว้ในหอคอยต้องห้ามตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเป็นการไถ่บาป หลังจากจบงานรวมพลสี่ตระกูลลับ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าได้พบกับพวกเขา”

น้ำเสียงของหานชางผ่อนคลายลงเล็กน้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการให้เกิดปัญหาใด หานโม่ฉือผู้นี้ทำให้เขาหวั่นใจอย่างแท้จริง เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ต้องการโต้ตอบหานโม่ฉือแบบตาต่อตาฟันต่อฟันทว่าต้องการถ่วงเวลาบุรุษหนุ่มต่อไปสักระยะ

คำพูดและน้ำเสียงของหานชางทำให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่างานรวมพลครานี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ ในเมื่อผู้นำตระกูลหานรู้สึกหวาดหวั่นและไม่ต้องการให้ทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นก็หมายความว่าหานชางและคนอื่น ๆ จะต้องกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดบางอย่างกับแผนการของพวกเขาเป็นแน่

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองจะไม่ยอมประนีประนอมอย่างแน่นอน

“หานชาง ข้าต้องการพบท่านพ่อและท่านแม่เดี๋ยวนี้ หากให้ข้าพบพวกเขาในตอนนี้ ข้ารับประกันเลยว่าข้าและโม่เอ๋อร์จะไปจากที่นี่ทันที”

หานโม่ฉือกล่าวอย่างจงใจลองเชิงหานชาง เขากังวลว่างานรวมพลครานี้อาจจะมีการวางแผนสมคบคิดต่อบิดามารดาของตน

“ไม่ได้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการรวมพลของศิษย์ทั้งสี่ตระกูลและมีผู้อาวุโสหลายคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันหอคอยต้องห้ามอยู่ โดยปกติแล้วไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไปใกล้ แม้แต่ตัวข้าเองที่ต้องการเข้าไปที่นั่น ข้าก็ยังต้องแจ้งเหล่าผู้อาวุโสเป็นการล่วงหน้า การที่เจ้าทั้งสองปรากฏตัวที่นี่อย่างกะทันหัน เราย่อมไม่ได้เตรียมความพร้อมไว้ เพราะฉะนั้น ให้เวลาข้าได้แจ้งข่าวให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นทราบก่อนและหลังจากจบงาน เจ้าจะได้เข้าไปที่หอคอยต้องห้ามและพบกับพ่อแม่ของเจ้า”

หานชางส่ายศีรษะและปฏิเสธด้วยวาจาหนักแน่นทันที เขาไม่ต้องการให้หานโม่ฉือเข้าไปพบกับหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจริง ๆ

“ทำไมรึ ? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของข้า ?”

เมื่อฟังวาจาของหานชาง ในที่สุดหานโม่ฉือก็ยืนยันข้อสันนิษฐานของตน เขากล่าวออกไปอย่างไม่คิดยอมแพ้ หากมีแผนการร้ายที่เพ่งเล็งไปที่บิดามารดาของเขาจริง หานโม่ฉือจะต้องขัดขวางมันให้ได้

เมื่อเห็นสีหน้าของหานโม่ฉือที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน หานชางก็ตระหนักได้ว่าตนกล่าวปฏิเสธอย่างรวดเร็วเกินไปและดูไม่เป็นธรรมชาติ เขาปรับสีหน้าและอารมณ์อย่างรวดเร็วก่อนคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า นั่นคือพี่ชายและพี่สะใภ้ของข้า แม้พวกเขาจะถูกขังไว้ในหอคอยต้องห้าม ทั้งสองก็กินอิ่มนอนหลับและไม่ได้รับอันตรายใด ๆ”

หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “โม่ฉือ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมิใช่ความต้องการของข้า อย่างที่เจ้าก็น่าจะทราบดี เราทุกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกตระกูลหาน ท่านจอมยุทธ์ผู้นั้นกล่าวว่าเจ้าเป็นตัวกาลกิณีที่จะนำหายนะมาสู่วงศ์ตระกูล เราไม่มีทางอื่นจึงจำต้องส่งเจ้าออกไป ส่วนพ่อแม่ของเจ้าที่ถูกขังไว้ที่หอคอยต้องห้ามก็เป็นเพราะพวกเขาปกป้องเจ้าและละเมิดกฎของตระกูล เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าคิดถือโทษโกรธเคืองพวกเขาเลย”

หานชางแสร้งแสดงสีหน้าจิตใจดีและกล่าวออกไป

หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต พวกเขาก็อาจถูกตบตาโดยการแสดงละครบังหน้าของหานชางก็เป็นได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ทั้งสองทราบทุกอย่างมาก่อนแล้ว

“หานชาง ข้าทราบหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ไม่ต้องเสแสร้งตีสองหน้าหรอก ข้าขอถามอีกครั้ง…เจ้าจะให้ข้าพบท่านพ่อและท่านแม่รึไม่ ?”

หานโม่ฉือไม่ต้องการเสียเวลาเสวนากับหานชางและกล่าวออกไปอย่างเด็ดขาด หากหานชางไม่ให้เขาไปที่นั่น เขาก็ไม่รังเกียจที่จะบุกเข้าไปด้วยตัวเอง เพียงแต่เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับยอดฝีมือจากพิภพเหนือสวรรค์ผู้นั้น วาจาของคนผู้นั้นเกือบตัดสินความตายให้กับเขา ไม่มีทางเลยที่คนผู้นั้นจะเป็นคนดีไปได้

“โม่ฉือ ใช่ว่าข้าไม่อยากให้เจ้าไปที่นั่น เพียงแต่มันเป็นกฎของตระกูลหานที่จะละเมิดฝ่าฝืนไม่ได้ ให้เวลาข้าสักหน่อยและข้าจะจัดการให้เจ้าได้พบกับพ่อแม่หลังจากงานรวมพลอย่างแน่นอน”

หานชางส่ายศีรษะและยังคงปฏิเสธมิให้หานโม่ฉือเข้าไปพบกับหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว

“ผู้นำหาน ท่านกล่าวว่ามีผู้อาวุโสหลายคนที่คุ้มกันหอคอยต้องห้ามและยากที่จะเข้าไปได้ นั่นหมายความว่าหากเราสองคนสามารถฝ่าผ่านด่านผู้อาวุโสเหล่านั้นไปได้ เราก็เข้าไปพบท่านพ่อและท่านแม่ข้างในนั้นได้ใช่หรือไม่ ?”

จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวด้วยวาจาสุภาพ ในเมื่อหานชางเน้นย้ำประเด็นนี้ นางก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรครานี้ทั้งสองก็ต้องพบหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วให้จงได้

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หานชางก็หันไปมองนางและพยักศีรษะโดยที่มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

“ใช่ เป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า หากเจ้าฝ่าผ่านการคุ้มกันของเหล่าผู้อาวุโสได้ เจ้าทั้งสองก็จะได้เข้าไปในหอคอยต้องห้าม เพียงแต่ผู้อาวุโสเหล่านั้นทรงพลังยิ่งนัก ด้วยความแข็งแกร่งของคนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้า เกรงว่ามันคงยากเกินไปที่พวกเจ้าทั้งสองจะฝ่าผ่านไปได้ เพราะฉะนั้นสุดท้ายมันก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น”

แม้ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือจะถือว่าไม่ธรรมดาและอาจจะถึงขั้นเท่าเทียมกับตัวเขา หานชางก็ทราบถึงพลังของยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าที่คุ้มกันรอบหอคอยต้องห้ามดีกว่าใคร แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถฝ่าผ่านมันได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับหานโม่ฉือเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากเหล่าผู้อาวุโสก็ยังมีบุคคลลึกลับผู้นั้นอยู่ เขาเชื่อว่าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ไม่สามารถผ่านไปได้อย่างแน่นอน

“หากเป็นเช่นนั้น โม่ฉือและข้าจะลองฝ่าเข้าไปดู หากเราทำสำเร็จ ผู้นำหานจะขัดขวางเราไม่ได้อีก !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าววาจาที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน

“เจ้าคิดจะบุกเข้าไปในหอคอยจริง ๆ รึ ?”

หานชางขมวดคิ้วมุ่นและความกังวลเริ่มผุดขึ้นในใจ

“ทำไมกัน ข้าทำไม่ได้รึ ?”

ฉินอวี้โม่แสดงสีหน้าใสซื่อและเอ่ยถามด้วยแววตาสงสัย

“โอ้ ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ที่นั่นมีอันตรายมากมาย หากพวกเจ้าพลาดพลั้งและตายไป อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”

หานชางยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น  เป็นดังที่คิดไว้ไม่มีผิด สตรีมักที่จะหลงกลได้ง่าย ๆ เขาอยากเห็นยิ่งนักว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะต้องพบกับจุดจบอย่างไร !