หลังจากได้ข้อตกลงร่วมกันว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะไปที่หอคอยต้องห้ามในวันรุ่งขึ้น ทั้งสองจึงออกจากคฤหาสน์ตระกูลหานและกลับไปยังที่พักชั่วคราวของคณะจากตระกูลเหมยทันที
“ท่านพ่อ ท่านไม่กังวลหรือว่าหานโม่ฉือจะสามารถฝ่าผ่านเข้าไปในหอคอยต้องห้ามได้จริง ๆ ?”
หานซื่อกังวลใจเล็กน้อย เขาทราบความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเป็นอย่างดี แม้ผู้อาวุโสตระกูลหานทั้งสี่คนจะทรงพลังและน่าเกรงขาม แต่เขาก็ยังกังวลใจว่าอาจเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น
“เหอะ เขายังไม่มีพลังอำนาจถึงระดับนั้น”
หานชางยิ้มอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาไม่เชื่อเลยสักนิดว่าหานโม่ฉือจะมีโอกาสบุกเข้าไปในหอคอยได้สำเร็จ
สิ่งที่หานซื่อไม่ทราบเลยก็คือผู้อาวุโสทั้งสี่คนของตระกูลหานมิใช่ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหอคอยต้องห้าม หากแต่เป็นจอมยุทธ์จากพิภพเหนือสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ต่างหากที่เป็นผู้พิทักษ์ที่แท้จริงของหอคอยต้องห้าม
เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงมั่นใจของบิดา ความสงสัยในใจของหานซื่อก็ค่อย ๆ จางหายไป เพราะถึงอย่างไร อย่างมากหานโม่ฉือก็เป็นได้เพียงจอมยุทธ์ที่เพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตนภาเซียนเท่านั้น ในขณะที่ผู้อาวุโสทรงพลังทั้งสี่บรรลุขอบเขตดังกล่าวมานานแล้ว หากเป็นการประจันหน้าตัวต่อตัว บางทีหานโม่ฉือก็อาจจะพอมีโอกาสเอาชนะอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม การที่หานโม่ฉือคิดการใหญ่ถึงขั้นฝ่าผ่านด่านพวกเขาเหล่านั้นเพื่อบุกเข้าไปในหอคอยต้องห้าม นั่นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
ในเวลานี้ หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็กลับถึงคฤหาสน์ที่พักของตระกูลเหมยและบอกเล่าให้เสี่ยวโร่วและเหมยตงอวิ๋นฟังเกี่ยวกับข้อตกลงที่ทำไว้กับหานชาง
“โม่ฉือ อวี้โม่ เจ้าทั้งสองตัดสินใจที่จะบุกเข้าไปในหอคอยต้องห้ามจริง ๆ รึ ?”
เหมยตงอวิ๋นเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ทราบดีว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีความคิดแน่วแน่เป็นของตนเอง เขาและเสี่ยวโร่วก็อดเป็นกังวลไม่ได้ ถึงอย่างไรแล้วผู้อาวุโสตระกูลหานทั้งสี่คนและจอมยุทธ์จากพิภพนอกสวรรค์ก็มิใช่กลุ่มคนที่จะรับมือได้ง่าย ต่อให้คนหนุ่มสาวทั้งสองมีไพ่ตายซ่อนไว้มากมาย มันก็ยากที่จะฝ่าผ่านการป้องกันของคนเหล่านั้นได้
“แน่นอนว่าพวกเราจะไม่พลาดโอกาสทองเช่นนี้ เราเพียงตอบตกลงว่าจะฝ่าผ่านเข้าไปในหอคอยต้องห้ามเท่านั้นและไม่ได้กล่าวว่าจะปะทะฝีมือกับผู้พิทักษ์ของหอคอย เพราะฉะนั้นตราบใดที่เราฝ่าเข้าไปในหอคอยได้ มันก็จะถือเป็นชัยชนะของพวกเรา”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางมีแผนการนี้อยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้วและนางก็มั่นใจเป็นอย่างมาก
การที่หานชางกล้าอนุญาตให้นางและหานโม่ฉือบุกเข้าไปที่หอคอยต้องห้ามก็เป็นเพราะเขาทราบว่าผู้อาวุโสทั้งสี่และคนจากพิภพเหนือสวรรค์ทรงพลังแค่ไหน น่าเสียดายที่พวกนางไม่คิดที่จะประจันหน้ากับคนเหล่านั้นโดยตรงและการฝ่าเข้าไปในหอคอยต้องห้ามให้สำเร็จคือเป้าหมายสูงสุด
เมื่อได้ยินวาจาหนักแน่นและมั่นใจของฉินอวี้โม่ เหมยตงอวิ๋นและเสี่ยวโร่วก็ตระหนักถึงความหมายของมัน ทั้งสองมองหน้ากันและทอดถอนหายใจเบา ๆ ให้กับความเจ้าเล่ห์ของสามีภรรยาคู่นี้
หากไม่ต้องประจันหน้ากับเหล่าผู้อาวุโสโดยตรงและฝ่าผ่านไปถึงหอคอย หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็จะไม่เผชิญกับปัญหาใด ตราบใดที่พวกนางใช้ไพ่ตายของตนเองออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้เราคงต้องขอไปชมด้วยตัวเองเสียแล้ว เมื่อเจ้าทั้งสองฝ่าผ่านไปได้ อยากเห็นนักว่าหานชางจะมีสีหน้าอย่างไร !”
เหมยตงอวิ๋นไม่เคยชอบหน้าหานชางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาหัวเราะเสียงดังอย่างสาแก่ใจและตัดสินใจในทันที เขาตั้งตารอดูสีหน้าของหานชางเมื่อได้เห็นคนทั้งสองฝ่าผ่านไปถึงหอคอยต้องห้ามได้
ในขณะเดียวกันนี้ อีกสองตระกูลก็ได้รับข่าวเรื่องนี้เช่นกัน
“อะไรนะ หานโม่ฉือจากตระกูลหานกลับมาแล้วรึ ?!”
ณ ที่พักของตระกูลหลิว หลิวหนานไห่—ผู้นำตระกูลหลิวเป็นหัวหน้าคณะศิษย์จากตระกูลหลิวในครานี้ เมื่อได้ยินชื่อของหานโม่ฉือ เขาก็ชะงักไปทันทีและอุทานด้วยความตกใจ
แท้ที่จริงแล้ว หลิวหนานไห่ผู้นี้ทราบเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับหานโม่ฉือในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ให้ความร่วมมือกับหานชางและมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ในปีนั้น
เดิมทีเขาคิดว่าทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตล้วนจบสิ้นผ่านไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ หานโม่ฉือจะกลับมาพร้อมกับความแข็งแกร่งในขอบเขตนภาเซียนและต้องการฝ่าเข้าไปในหอคอยต้องห้ามด้วยตนเอง
“เขากลับมาแล้วจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ภรรยาของหานโม่ฉือก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้สืบทอดกายเทพมายาและเป็นเทพมายาคนใหม่—ฉินอวี้โม่”
ผู้อาวุโสตระกูลหลิวคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าตึงเครียด กล่าวได้ว่าตระกูลหลิวและหานชางมีความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกันมาตลอดและพวกเขามีจุดประสงค์ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเหตุนั้น การที่จู่ ๆ หานโม่ฉือปรากฏตัวพร้อมความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ตระกูลหลิวย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง
“พรุ่งนี้เราไปชมกันเถอะ เด็กน้อยที่เกือบชะตาขาดในตอนนั้นเติบโตมาถึงเพียงนี้แล้ว”
หลิวหนานไห่ตัดสินใจในทันทีและตั้งใจจะไปชมเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ เขาก็ควรไปรับชมพลังอำนาจที่แท้จริงของหานโม่ฉือด้วยตัวเองและหารือการตอบโต้ขั้นต่อไปกับหานชาง
ณ ที่พักชั่วคราวของตระกูลไป่หลี่ ไป่หลี่ชิงโร่วและไป่หลี่อู๋ซวง—ผู้นำตระกูลไป่หลี่กำลังหารือกันอยู่ในห้องหนังสือ
“โร่วเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าหลานโม่ฉือของข้ากลับมาแล้วงั้นรึ ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป่หลี่อู๋ซวงได้ยินเรื่องนี้และอดเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจไม่ได้ หานโม่ฉือเป็นหลานชายของเขา แม้เคยพบกันตั้งแต่สมัยทารกเพียงไม่กี่ครั้งและไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากนักก็ตาม ในอดีตครานั้น หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วตัดสินใจส่งหานโม่ฉือมาให้ตระกูลไป่หลี่ช่วยเลี้ยงดู ทว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้น้องสาวและน้องเขยของเขาตกอยู่ในชะตากรรมอันเลวร้ายจนถึงทุกวันนี้
ความรู้สึกผิดยังคงติดอยู่ในหัวใจของไป่หลี่อู่ซวงมาเสมอ และเขารู้สึกติดค้างต่อหลานชายหานโม่ฉือของเขามากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของเขาซึ่งก็คือท่านยายของหานโม่ฉือเฝ้าโหยหาคิดถึงหลานชายที่พลัดพรากจากกันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากได้ทราบว่าหานโม่ฉือกลับมาแล้วและยังมีความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม นางจะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อ โม่ฉือกลับมาแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ ในตอนนี้เขาก็แต่งงานและมีลูกถึงสองคน อันที่จริงข้าได้พบกับเขาก่อนหน้านี้แล้วและเขารับปากว่าจะไปที่จวนตระกูลไป่หลี่หลังจากนี้เพื่อไปพบกับท่านย่า”
ไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวอย่างใจเย็นและไม่ประหลาดใจกับข่าวนี้ นี่เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น และแน่นอนว่านางตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
“เจ้าได้พบกับเขาแล้วรึ ?”
ไป่หลี่อู่ซวงขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที อย่างไรก็ตาม การที่หานโม่ฉือแต่งงานมีภรรยาและมีบุตรแล้วนั้น เขาก็ไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว หากหลานชายที่พลัดพรากผู้นั้นแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“เจ้าค่ะ ข้าไปพบเขาที่นครล่าฝันก่อนหน้านี้ เขาและภรรยารักกันมากและไม่สนใจเรื่องข้อตกลงการแต่งงานระหว่างเราเลยสักนิด”
ไป่หลี่ชิงโร่วพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่อาจทราบได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ?”
ในความคิดของไป่หลี่อู่ซวง สัญญาการแต่งงานจากครั้งอดีตเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับเขา ในเมื่อตอนนี้หานโม่ฉือแต่งงานมีภรรยาและมีบุตรแล้ว ข้อตกลงนั้นก็สามารถยกเลิกไปได้โดยปริยาย
เพียงแต่เขารู้จักนิสัยใจคอของบุตรสาวเป็นอย่างดี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางเฝ้ารอหานโม่ฉือมาโดยตลอดและไม่ยอมฟังผู้ใด นางรักคู่หมั้นคู่หมายคนนี้อย่างแท้จริง เวลานี้เขาจึงไม่มั่นใจว่าไป่หลี่ชิงโร่วจะตัดสินใจทำอย่างไรต่อไป
“ท่านพ่อ ข้ายังไม่ยอมแพ้ เห็นอยู่ว่าเรามีสัญญาการแต่งงานกันก่อน ทว่านางเพียงโชคดีกว่าข้าและได้พบหานโม่ฉือก่อนก็เท่านั้น อีกอย่าง…นางเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อทีเดียว ข้าอยากลองดูสักตั้ง”
ไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวด้วยน้ำเสียงดื้อรั้นหัวแข็ง นางไม่ยินยอมที่จะปล่อยหานโม่ฉือไปง่าย ๆ
นางต้องการประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่ให้รู้กัน ต่อให้ไม่มีโอกาสชนะ นางก็ไม่สนใจ
“แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน ทว่าอย่าทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเราเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของเจ้า อาและอาเขยของเจ้าทุกข์ทรมานมามาก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่อาของเจ้าจะได้ออกมาและทวงคืนทุกอย่างที่ควรเป็นของพวกนางเสียที !”
ไป่หลี่อู๋ซวงจนปัญญากับการตัดสินใจของบุตรสาวทว่าไม่อยากเอ่ยสิ่งใดให้มากความและเพียงเอ่ยเตือนนางเท่านั้น เขาจะปล่อยให้เป็นเรื่องที่คนรุ่นเยาว์จัดการกันเอง ส่วนผู้ใหญ่อย่างเขาไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“พรุ่งนี้เราไปรับชมเหตุการณ์กันเถอะ เห็นทีลูกพี่ลูกน้องของเจ้าคงจะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นอย่างยิ่งและสามารถพัฒนามาจนถึงระดับนี้ได้จากในดินแดนหวนหลิง หากอาและอาเขยของเจ้าทราบเรื่องนี้ ทั้งสองจะต้องสบายใจมากแน่ ๆ”
ไป่หลี่อู๋ซวงตัดสินใจเช่นเดียวกันและต้องการเห็นถึงความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ด้วยตาตัวเอง
“เจ้าเด็กนั่น มาถึงดินแดนเทพมายาทั้งทีแต่กลับไม่ไปพบข้าที่จวนตระกูลไป่หลี่ก่อน เมื่อได้พบกับน้องจิ่นซิ่ว ข้าจะให้นางลงโทษเขาอย่างสาสม”
ไป่หลี่อู๋ซวงพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ไป่หลี่ชิงโร่วก็ลุกขึ้นบอกลาบิดาและยกยิ้มมุมปากเบา ๆ ขณะแววตาฉายประกายความคาดหวังอย่างชัดเจน นางตั้งตารอดูว่าลูกพี่ลูกน้องของตนจะแสดงฝีมืออย่างไรในวันพรุ่งนี้
เช้าตรู่วันต่อมา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือรวมถึงสมาชิกตระกูลเหมยอีกหลายคนก็ปรากฏตัวใกล้บริเวณหอคอยต้องห้าม
คนจากตระกูลหานและตระกูลหลิวมารอกันอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อคนทั้งกลุ่มใกล้เข้ามา พวกเขาก็ไม่กล่าวทักทายแม้แต่น้อย
เวลานี้คนจากตระกูลไป่หลี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ ไป่หลี่อู๋ซวงก็เดินตรงเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม
“โม่ฉือ มาถึงดินแดนเทพมายาทั้งทีแต่เจ้าไม่คิดจะมาเยี่ยมลุงและท่านยายของเจ้าเลยรึ หากเราไม่ได้รับข่าว เจ้าคิดจะไปเยี่ยมเยือนเราเมื่อใดกัน ?”
เขาตบไหล่หานโม่ฉืออย่างแรงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ แววตาของเขาแสดงถึงความรักที่มีต่อหลานชายอย่างชัดเจน
“ท่านลุง ข้าไม่มีเวลาเลยขอรับ”
หานโม่ฉือเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน เขาไม่มีความสัมพันธ์หรือความสนิทชิดเชื้อกับท่านลุงผู้นี้ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ารักและเอ็นดูตนอย่างจริงใจ
“เด็กเวรเอ๋ย คิดว่าข้าจะไม่รู้สินะ เมื่อได้พบแม่ของเจ้า ข้าจะบอกให้นางจัดการกับเจ้าอย่างแน่นอน”
ไป่หลี่อู๋ซวงกล่าวอย่างจนปัญญา แม้เพิ่งได้พบกัน เขาก็รู้สึกถูกชะตากับหลานชายผู้นี้เป็นอย่างมาก
“นี่คงจะเป็นฉินอวี้โม่ ภรรยาของโม่ฉือสินะ”
ขณะพยักศีรษะทักทายฉินอวี้โม่ ไป่หลี่อู๋ซวงก็ไม่แสดงท่าทีกระตือรือร้นใด ๆ และไม่วางท่าห่างเหินจนเกินไปเช่นกัน เขาเพียงกล่าวเพื่อยืนยันตัวตนของนางเท่านั้น
“เจ้าค่ะ ท่านลุง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวทักทาย ‘ท่านลุง’ ของหานโม่ฉือ
“ลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง”
ไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะทักทายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“ลูกพี่ลูกน้อง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวทักทายตอบกลับ อย่างไรก็ตาม สีหน้าอ่อนโยนของไป่หลี่ชิงโร่วในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ชักจะลึกลับซับซ้อนเกินเข้าใจมากขึ้นทุกที นี่มิใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้ง่ายเลย
“โม่ฉือ อวี้โม่ หลังจากเสร็จเรื่องที่นี่ กลับไปที่จวนตระกูลไป่หลี่กับข้าเถอะ ท่านยายของเจ้าเฝ้าคิดถึงเจ้ามานานเหลือเกิน”
ไป่หลี่อู๋ซวงยิ้มและกล่าวเชื้อเชิญคนทั้งสองโดยตรง
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงโดยไม่ลังเล
เวลานี้สีหน้าของไป่หลี่ชิงโร่วก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย นางเพียงยิ้มบาง ๆ ด้วยความยินดี
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว เตรียมตัวฝ่าเข้าไปในหอคอยได้เลย !”
หานชางกล่าววาจาเสียงดังฉะฉานออกมาเพื่อกระตุ้นให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเริ่มต้นได้
.