บทที่ 219 สำรวจจิตใจของผู้คน

เมืองซีจิ๋น

สถานที่ : เสี่ยวเจี้ยแมนชั่น

ห้อง : โถงแมนชั่น

เสี่ยวยี่นั้นดูอ่อนแอลงไปมาก ใบหน้าของเขาดูขาวซีดแถมยังต้องนั่งอยู่บนวีลแชร์ด้วย ข้างหนึ่งก็ห้อยน้ำไว้

สองสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขานั้นคือภรรยาทั้งสอง ชูหนานและหยูฉีที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ทั้งสองนั้นกังวลเกี่ยวกับบริษัท ความกังวลที่ไร้ที่สิ้นสุดปรากฎบนใบหน้าสวยนั้นอย่างชัดเจน

ถัดไปหน่อย มีอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานี เขาคือถังหวู่ฉัว ผู้ที่กำลังดื่มด่ำกับชาร้อนในมืออยู่ ในวันนี้เขามีบางอย่างแปลกไปซึ่งยากที่จะรู้หากไม่สังเกตุให้ดี

“พี่ใหญ่เสี่ยว สถานการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่มากๆ ฉันว่าพี่ใหญ่ถอยออกจากเรื่องนี้น่าจะดีกว่า” ภายในของถังหวู่ฉัวนั้นดิ้นรนอยู่ไม่น้อยเลย เสี่ยวยี่นั้นดีกับเขามากๆ แต่เพื่อผลประโยชน์ของทั้งตระกูลแล้ว เรื่องพวกนั้นถือเป็นเหตุผลส่วนตัว

ถ้าเสี่ยวยี่ยังถือครองกระบี่เซวียนหยวนอยู่แบบนี้ มันจะเป็นการดีกว่าหากเขาหลีกเลี่ยงการปะทะได้

ตัวเขาเองหวังได้แค่ว่าเสี่ยวยี่จะยอมเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน

“ตระกูลพวกนั้นตัดสินใจยังไงกันบ้าง?” เสี่ยวยี่ถามอย่างอ่อนแรง นัยน์ตาของเขาแสดงออกถึงความรู้แจ้งและโศกเศร้า เขารู้ว่าน้องชายของเขาจะมาทำไม

ถังหวู่ฉัวถอนหายใจอย่างโล่งอกและวางแก้วชาลง “ตอนนี้มี 3 คนจากฟากเหนือเข้ามาเพื่อจะชิงมัน ส่วนทางฟากใต้ก็จะใช้เรื่องนี้ไปเป็นข้อมูลในชั้นศาลเพื่อจะโค่นฟากเหนือลงให้ได้ แล้วก็ 2 ยักษ์ใหญ่จะฟากใต้จะสนับสนุนการกระทำนี้ แต่ยังไม่มีการตอบสนองอะไรจากฟากเหนือ ฉันเกรงว่าพวกเขาจะเพิกเฉยเรื่องนี้กัน”

“แล้วก็นะ การที่จะเลี่ยงไม่ให้เกิดความสูญเสียเยอะๆน่ะ จำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงกัน”

“ข้อตกลงอะไรงั้นหรือ?” เสี่ยวยี่เอ่ยถามเงียบๆ

เอาเข้าจริงถังหวู่ฉัวเองก็ยากที่จะอธิบาย หลังจากที่ผ่านมาครู่ใหญ่ๆเขาจึงค่อยพูดขึ้น “ทางฟากใต้ตัดสินใจจะเลือกเจ้าบ้าน 3 คนเพื่อเข้าไปยังแดนเหนือเพื่อที่จะจัดการเรื่องนี้ซะ แต่พวกเขายังเลือกไม่ได้! พี่ใหญ่เองพอจะมีความคิดเห็นเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า ว่า 3 คนนั้นควรจะเป็นใคร?”

“แล้วอะไรคือความต้องการของพวกแดนเหนือล่ะ?”

ถังหวู่ฉัวส่ายหน้าและไม่ได้นั่งต่อ

ในความจริงแล้วเรื่องที่เกิดอยู่นี้ไม่ค่อยมีผลกระทบกับตระกูลเขาซักเท่าไหร่ ส่วนสำหรับแดนใต้นั้นก็เพื่อให้เป็นหน้าเป็นตา เขาทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีใครมาช่วงชิงความใสสะอาดและสดใสนี้ไปได้ พวกแดนเหนือนั้นเป็นพวกไม่มีกฏระเบียบ เพราะงั้นเขาจำเป็นต้องดูแลสิ่งนี้ไว้

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายถึงการปกป้องตระกูลเสี่ยว แต่เป็นการปกป้องเทพบรรพกาล เพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของพวกฟากใต้ ไม่งั้นล่ะก็ หากเทพบรรพกาลถูกพวกชาวใต้แย่งไปได้ล่ะก็ ได้ขายหน้าไปจนตายแน่

ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกดูแลรักษาของมีดีแหง

เขานั่งฟังโดยไม่ได้พูดอะไรและแน่นอนว่าเขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงกระบี่เซวียนหยวนของเขาเอง ทุกๆคนรู้ว่าเสี่ยวยี่บาดเจ็บอยู่ และมันทำให้พวกคนอื่นที่รู้เรื่องต่างพากันทำตัวไม่ปกติ

มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องแห่กันไปปล้นที่ฝากเหนือ ที่นั่นมีไป๋ฉีอยู่ แถมยังมีราชาแห่งความโชคดีอย่างหวังต้าเป่าอยู่ด้วย

เสี่ยวยี่ค่อยๆปิดตาลงช้าๆ “ดูเหมือนว่าพวกนั้นวางแผนจะกำจัดตระกูลเสี่ยวสินะ!”

“พี่ใหญ่ ตอนนี้น่ะกระบี่เซวียนหยวนนั้นก็เหมือนมันฝรั่งร้อน เมื่อใดก็ตามที่กระบี่ไม่อยู่กับพี่ เมื่อนั้นพวกมันก็จะไม่มา เพราะงั้นแล้วเป้าหมายของมันไม่ได้อยู่ที่พี่ใหญ่ แต่อยู่ที่เทพบรรพกาลต่างหาก”

เสี่ยวยี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะเงียบไปครู่ใหญ่ “เยี่ยมยอดจริงๆ แล้วนายคิดว่าพี่ใหญ่อย่างฉันนี่ควรทำอะไรดีล่ะ?”

นี่แหละที่ฉันต้องการ!

ถังหวู่ฉัวเอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขามีความกระตือรือร้นในเรื่องนี้ขนาดไหน การขยับเพียงเล็กน้อยนั้นก็มากพอที่จะให้เสี่ยวยี่รับรู้ได้ชัดเจนแล้ว

“พี่ใหญ่ ตอนนี้ตระกูลเล็กๆและพวกนักธุรกิจที่กระเป๋าหนักต่างประกาศออกมาแล้วว่าจะตีตัวออกห่างจากพวกเรา สถานการณ์มันเรียกได้ว่าแย่มากๆแล้วก็ได้ ถ้าพี่ยังเชื่อว่าไม่มีใครดูแลดาบได้ดีเท่าพี่แล้ว พี่ก็ทำต่อไป ดูแลมันให้ดีที่สุดส่วนผู้ที่จะดูแลปกป้องพี่ได้ดีที่สุดยกให้เป็นหน้าที่ของซวงอันหยงได้เลย!” ถังหวู่ฉัวนั้นคิดไว้หลากหลายทางว่าจะทำยังไงเพื่อให้ได้มาซึ่งกระบี่เซวียนหยวน แต่ทางนั้นต้องไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาด้วย

วิธีนี้ทำได้แค่ลองเท่านั้น ถึงมันจะถูกสอนมาโดยปรมาจารย์ก็ตาม

ถ้าเป็นเมื่อ 10 วันที่แล้ว เสี่ยวยี่คงจะเป็นผู้ถือครองกระบี่เซวียนหยวนได้โดยไม่มีข้อบังคับอะไร แต่ตอนนี้…

มันเป็นไปไม่ได้ ถึงมันจะเป็นความตั้งใจของเขาที่เป็นพี่น้องกับเสี่ยวยี่ด้วยก็ตาม

กระบี่เซวียนหยวนเป็นเทพบรรพกาลที่ใครก็ต้องอยากครอบครองมัน ยิ่งสำหรับพวกที่ไม่มีกฎตระกูลถึงจำนวนเทพบรรพกาลที่ครอบครองได้ ฉันล่ะกลัวจริงๆว่าพวกนั้นจะมาแย่งไป!

ผู้ถือครองมันนั้นจะเป็นราชา แถมมันยังเป็นเทพบรรพกาลที่ตระกูลเขาต้องการเสียด้วย

คำพูดของถังหวู่ฉัวนั้นน่าสนใจ ถ้าให้คนอื่นรักษาเจ้านี่ไว้ชั่วคราว เขาก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย

เสี่ยวยี่อุทานออกมา “ไม่มีใครเทียบฉันได้หรอกน่า เมื่อไหร่ที่ฉันได้จับกระบี่เซวียนหยวนนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่มีคนอย่างนายคอยอยู่ช่วยกำจัดพวกศัตรูน่ะ”

เมื่อได้ยินเสียวยี่พูดเช่นนี้ หัวใจของถังหวู่ฉัวก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมา

“แต่! กระบี่เซวียนหยวนนั้นเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเสี่ยว ถ้ากระบี่นี้ไม่อยู่แล้ว นั่นก็หมายถึงไม่มีตระกูลเสี่ยวอยู่อีกต่อไปแล้ว! ไม่เหมาะสมมากๆ นายคงจะเข้าใจสิ่งที่ฉันจะบอกสินะ” เสี่ยวยี่เองก็ไม่ได้อยากจะขัดหรอก แต่ว่าอยากจะให้น้องของเขาคิดไอเดียที่ดีและปราดเปรื่องกว่านี้ออกมา ซึ่งในกรณีแบบนี้ เขาเชื่อว่าน้องเขาทำได้อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ตัวถังหวู่ฉัวนั้นไม่ได้คิดเช่นเดียวกับพี่ชายเขา แต่ถ้าคุณไม่เอาตัวเองให้รอดก่อน คุณก็คงจะไปหวังสิ่งอื่นอย่างกระบี่เซวียนหยวนไม่ได้

นี่คือเวลาของสิ่งนั้น เขาต้องปกป้องพี่ชายของเขา ต่อให้ไม่เข้าใจตัวเองก็ต้องทำ!

เมื่อคิดเกี่ยวกับถังหวู่ฉัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่เต็มใจมากขึ้นเท่านั้น โดยดั้งเดิมแล้วตระกูลเสี่ยวและตระกูลถังเกิดมาบนจุดกำเนิดเดียวกัน แต่เพราะตระกูลเสี่ยวสามารถขโมยกระบี่เซวียนหยวนมาได้ และนั่นทำให้ตระกูลถังถูกตระกูลเสี่ยวบดบังรัศมีไปเลย

ทุกๆคนต่างก็มองว่าเสี่ยวยี่นั้นเก่งและฉลาด

ความทุกข์ใจนี้คือสิ่งที่ถังหวู่ฉัวต้องกล้ำกลืนมันลงมาตลอด ถึงแม้ว่าเสี่ยวยี่จะช่วยเขามาตลอดก็ตาม แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องปกป้องดาบแล้ว!

ตอนนี้ถังหวู่ฉัวกำลังโกรธสุดๆ!

เขาคิดว่าปรมาจารย์นั้นพูดถูกแล้ว ผู้ที่สนใจเท่านั้นจึงจะเดินทางสายนี้ได้!

“พี่ใหญ่ ถ้าพี่ยังไม่ตัดสินใจตอนนี้และรอให้พวกมันเข้ามา ต่อให้ไร้เทียมทานแค่ไหนก็ช่วยพี่ไม่ได้แล้วนะ!” ถังหวู่ฉัวขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาเหมือนจะข่มขู่ขึ้นมาแล้ว

นี่มันทำให้เสี่ยวยี่เจ็บปวดมากๆ โลกนี้เต็มไปด้วยความหลงไหลและลุ่มหลงอยู่มากมาย เขาคิดว่าถังหวู่ฉัวนั้นจะไปกับเขาจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ถังหวู่ฉัวไม่สามารถต้านทานความลุ่มหลงในกระบี่เซวียนหยวนได้แล้ว

“หัวใจของนายนั้นถูกชักจูงไปทางอื่นแล้วสินะ! เขาทำอะไรกับนาย ทำไมนายถึงทำแบบนี้!” เสี่ยวยี่ถอนหายใจ วันนี้คงจะเป็นวันที่พี่น้องได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่!

“เฮ้ ถังเช่า~ ฉันมาแล้ว พอดีไม่อยากให้น้องชายไปด้วยกันน่ะ“

เขามองไปยังชายหนุ่มที่อยู่นอกประตู คนๆนั้นสวมเสื้อกล้ามสีขาวอวดกล้ามเนื้อแน่นบนตัวที่ทำให้เขาดูเซ็กซี่ไม่น้อยเลย

ใบหน้าที่แสดงออกถึงความหนุ่มแน่นมันเป็นที่น่าสนใจ และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ก็ดูตอบสนองฉับไวด้วย

คนๆนี้คือ หลิงเทียน เป็นผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหลิงที่อยู่ฟากเหนือ จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาถึงนี่ก็ดูจะชัดเจนอยู่แล้ว

กระบี่เซวียนหยวน!

คงจะเอาไปยกระดับตระกูลตัวเองล่ะสิ!

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่เดิมหลิงเทียนและเสี่ยวยี่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกันในแต่ละปี แต่เมื่อไม่ได้อยู่ในเมือง ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นมีช่องว่างมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่ลงหรอก เรียกว่ากลับไปเป็นแบบทั่วๆไปดีกว่า

“น่าประหลาดใจที่หลิงเทียนมาถึงที่นี่ มานั่งก่อนเร็ว ชูหนาน ขอชาหน่อย” ถึงแม้ว่าใบหน้าของเสี่ยวยี่กำลังยิ้มอยู่ หากแต่ในใจนั้นก็ไม่ได้สบายใจซักเท่าไหร่ ยิ่งตอนนี้ถังหวู่ฉัวกับหลิงเทียนก็ยังเป็นเพื่อนกันอีก

แต่เขาเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นหายนะหรอก ก็แค่เพื่อนทั่วๆไป น้องดี เพื่อนดี เพราะงั้นวางใจได้แหละ ทุกคนต่างก็มีสิ่งล่อตาล่อใจเป็นของตัวเอง เป็นธรรมชาติและรสชาติของความเป็นมนุษย์แหละนะ

“สวัสดี เสี่ยวยี่” หลิงเทียนโค้งให้แต่ก็ดูจะไม่ได้ละทิ้งจุดประสงค์ที่มาเยี่ยมหรอก

ชูหนานยิ้มรับแทนแล้วเอ่ยขึ้น “หลิงเทียน นั่งลงก่อนสิ”

“สวัสดีคนสวย” หลิงเทียนนั้นดูโดดเด่น อาจจะเพราะบุคลิกของเขาเองด้วย ซึ่งในขณะที่ถังหวู่ฉัวนั้นคนละขั้วกับเขาโดยสิ้นเชิง

เมื่อได้ดื่มชาแห่งฟากใต้ที่ชูหนานนำมาให้ หลิงเทียนก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “ชานี่ดีจริงๆ ดีกว่าชาในตระกูลฉันอีก”

หยูฉียิ้มและพูดเสริม “ถ้ามันดีเดี๋ยวฉันจะให้ไปซักแพ็ํค 2 แพ็คนะ”

“เปลือง ไม่ต้องหรอก ฉันมันคนหยาบคาย เอาไว้ดื่มที่นี่แหละ คือจริงๆจะบอกว่ามันเสียเวลา” หลิงเทียนหัวเราะเสียงดัง และปล่อยให้บรรยากาศที่ชวนปวดหัวนี้ค่อยๆจางหายไปเองทีละนิด

หลังจากที่พักกันไปครู่หนึ่ง หลิงเทียนก็เริ่มถามต่อ “อยากจะเจ็บแผลนี่เพิ่มหรือเปล่า?”

ฮ่า…ยังซื่อตรงต่อจุดมุงหมายตัวเองไม่เปลี่ยน…