บทที่ 220 ยืนยันด้วยสายตา

 

เสี่ยวยี่ที่นั่งอยู่เฉยๆนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเค้นรอยยิ้มออกมา “ของคุณที่เป็นห่วงนะ หลิงเทียน ก็จริงที่ฉันยังเจ็บแผลอยู่ แต่เดี๋ยวก็หายดีเองแหละ”

 

หลิงเทียนที่ได้ฟังก็ถอนหายใจหนักๆเช่นกัน “พี่เสี่ยว นี่มันไม่โอเคเลยนะ ฉันได้ยินข่าวมาว่าสำนักเมฆา, ฝ่ายพันธมิตรโพ้นทะเลแล้วก็ตระกูลกวงนั้นกำลังมาทางนี้!”

 

หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวยี่ก็พูดเบาๆ “เจ้าสำนักเมฆาคือซุนฟ่าง ส่วนหัวหน้าพันธมิตรโพ้นทะเลคือไฺฮ่ไต่ซี่ ผู้นำตระกูลกวงคือ กวงเทียนลู่ ฉันจะต้องปกป้องตระกูลจากพวกนี้ให้ได้!”

 

หลิงเทียนยิ้มน้อยๆ เสี่ยวยี่นั้นยังไม่รู้ข้อมูลปัจจุบันจริงๆด้วย “พี่เสี่ยว เจ้าสำนักเมฆานั้นเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เป็นซุนยี่”

 

“ซุนยี่?” เสี่ยวยี่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย พอได้ฟังแล้วรู้สึกอยากจะเอาเวลาไปหาข้อมูลของฟากใต้มาเพิ่มเลยแฮะ

 

หลิงเทียนพยักหน้าแล้วพูดต่อ “เขาล่ำลือกันมาว่าตอนที่จะแย่งชิงเทพบรรพกาลชิ้นหนึ่งกัน เจ้าสำนักคนเก่าอย่างซุนฟ่างพลาดท่าตายไปพร้อมกับเจ้าผ้าคลุมดำแล้ว

 

“ผ้าคลุมดำตายแล้วเหรอ!?” เสี่ยวยี่ประหลาดใจสุดๆ เขาจำได้ว่าเสื้อคลุมดำนั้นเป็นโครงกระดูกทั้งร่างส่วนซุนฟ่างก็เป็นคนที่ยังมีเนื้อหนัง แถมเธอยังเป็นผู้หญิงที่หยิ่งผยองและสูงส่งประจำฟากใต้อีกด้วย แล้วไหงถึงถูกล่อลวงโดยไอ้หน้าแมลงสาปกระดูกนั่นได้…

 

หรือว่ามันจะมีอะไรพิเศษ?

 

“ข่าวนี้กระจายและถูกโหมหนักมากๆ ตั้งแต่วันที่เทพบรรพกาลถูกขโมยไป วันนั้นที่ทั้งสองได้โผล่ออกมา พวกเขาทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายใต้ แน่นอนว่าผ้าคลุมดำนั่นก็ฝีมือดีแหละ รวมถึงซุนฟ่างก็ด้วย” หลิงเทียนลึกๆแล้วก็อิจฉาผ้าคลุมดำอยู่เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าซุนฟ่างนั้นเป็นสตรีที่นับว่าเหนือสตรีไปอีกขั้น

 

อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินมาอย่างหนาหูว่าผ้าคลุมดำนั้นน่ากลัว แต่ทางซุนฟ่างเองก็สมองไม่ดีซักเท่าไหร่…

 

เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ซุนฟ่างนั้นเพลิดเพลินและมีความสุขดี เธอสนุกกับการเล่นเกมกับพ่อหนุ่มกระโหลกของเธอ คิดๆดูแล้วเหมือนว่าเธอจะมีความสุขกว่าตอนได้เป็นเจ้าสำนักเสียอีก

 

แน่นอนว่าเธอนั้นรับได้กับสถานะปัจจุบันที่เย่ฮั่วแต่งตั้งให้ไปแล้ว

 

ในตอนนั้นจุดเปลี่ยนของชะตากรรมของเธอมันอยู่ที่ว่าเธอจะรับมันหรือจะส่งคืนให้เขาไป

 

เหมือนกับสิ่งที่เย่ฮั่วมอบให้เสี่ยวยี่ สิ่งนั้นคือชีวิต และเขาหวังว่าเย่ฮั่วจะไม่เอามันกลับไปเร็วเหมือนข้าวกลางวัน นี่มันคงจะเป็นการทำทานแน่ๆ นี่คือ…สิ่งที่เย่ฮั่วพยายามทำความเข้าใจในความเป็นมนุษย์อยู่

 

ในเมื่อเป็นแบบนี้ มันก็น่าจะเป็นการทำทานแหละ

 

ชีวิตที่เย่ฮั่วให้มานั้นจะถูกส่งคืนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเสี่ยวยี่เองแล้ว ว่าตัวเขานั้นจะสามารถฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่

 

ชูหนานและหยูฉีนั้นตกใจไม่น้อยเลย เพราะพวกเธอต่างก็ได้เจอผ้าคลุมดำในวันเดียวกัน คนๆนั้นน่ากลัวมากๆ และเมื่อได้ยินว่าผ้าคลุมดำและหญิงผู้หยิ่งผยองจากฟากใต้เสียชีวิตไปแล้วมันก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า อะไรกันที่ทำได้ขนาดนั้น

 

เจ้ากระดูกประทะคนแล้วให้หญิงสาวไปเจอกับสัตว์เหรอ?

 

ณ ตอนนี้ถังหวูฉัวนั้นไม่รู้จะพูดอะไร เขารู้ว่าผ้าคลุมดำนั้นแข็งแกร่งมากๆ แต่อาจารย์ของเขาบอกเองว่าเขากำจัดผ้าคลุมดำไปแล้ว เพราะงั้นคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเจ้านั่น

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายเรื่องที่ถังหวู่ฉัวยังไม่รู้ และหนึ่งในนั้นคือเขายังไม่รู้แน่ๆว่าใครคือศัตรูของเขาจริงๆ

 

กระบี่เซวียนหยวนงั้นเหรอ?

 

ไม่หรอก นี่น่ะเป็นแค่เหยื่อล่อ

 

เจดีย์ 9 อสูรเหรอ?

 

ในสายตาเย่ฮั่วมันก็เป็นแค่เหล็กสีดำๆชิ้นหนึ่ง แต่เพราะหวังต้าเป่าเองก็มีเครดิตอยู่บ้างและจุดประสงค์หลักๆของเย่ฮั่วนั้นก็แค่อยากจะขจัดปัญหาเฉยๆ เพราะงั้นเขาจึงให้มันกับหวังต้าเป่าไปซึ่งนั่นทำให้ตัวหวังต้าเป่าดีใจมากๆและให้ความสนใจกับเจ้าสิ่งนี้แบบสุดๆ

 

ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การดูแลของเย่ฮั่วหมดแล้ว เพราะงั้นถ้าไม่ติดข้อพิพาทระหว่างตระกูล เสี่ยวยี่เองก็อยากจะขอบคุณกระบวนการนี้ของเขามากๆ

 

อย่างไรก็ตาม งานนี้ฉันเป็นคนดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วถ้าเกิดฉันรู้สึกไม่โอเคกับมันล่ะ?

 

เสี่ยวเย่นั้นเงียบไปและทันใดนั้นผู้ที่มาจากฟากใต้ทั้ง 3 ก็โผล่มา!

 

ความรู้สึกที่รับรู้ได้มันค่อนข้างจะเบาบาง มันทำให้เขาไม่รู้ว่าพวกที่มานั้นยกลูกน้องมาด้วยหรือเปล่า แต่ยังไงก็ตาม ดูท่าวันนี้เขาจะต้องต่อสู้จริงๆสินะ!

 

ในตอนนี้ ที่รู้สึกได้คือมี 3 คนอยู่บนฟากฟ้า กำลังเร่งรุจบินมายังที่แห่งนี้

 

ชัดแล้ว!

 

สามคนที่มานั้นคือซุนยี่จากสำนักเมฆา ไฮ่ไต่ซี่แห่งพันธมิตรโพ้นทะเล และกวงเทียนลู่!

 

พวกเขาดูไม่มีความเกรงกลัวอยู่ในจิตใจเลย และเหนือสิ่งที่ว่าไว้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้อยากจะโจมตีพวกผู้ใช้เทพบรรพกาลด้วยกันหรอกหากเป็นไปได้!

 

ถึงแม้ว่าจะได้รับมรดกตกทอดมาจากครอบครัวทางฟากเหนือ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดการส่งต่อกันแบบนี้ เพราะงั้นทางฝั่งใต้ที่ยังลังเลในการตัดสินใจ บางคนก็กล้าที่จะเสี่ยงเพื่อที่ไขว่คว้ามาซึ่งมรดกของทางฟากเหนือ

 

แต่ไม่ว่าจะยังไงทั้งสามที่มานั้นก็ยังคงมีความเมตตาและสุภาพในระดับหนึ่ง เข้าโค้งให้เสี่ยวยี่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตระกูลเสี่ยว รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

 

เสี่ยวยี่ยิ้มตอบรับ “อ่า…แขกมาเยือนซะแล้วสิ ชูหนาน ขอชาหน่อย”

 

ทั้งสามนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงไปและสังเกตุการณ์ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดื่มชาเพราะเกรงว่าจะมียาพิษอยู่ภายใน

 

ไฮ่ไต่ซี่นั้นไม่อยากจะวางใจจึงพูดไปตรงๆ “คนจากตระกูลเสี่ยว ฉันรู้ว่าพวกนายรู้แล้วว่าพวกเรามาเพื่อนอะไร ส่งกระบี่เซวียนหยวนมาแล้วเราจะกลับไปแต่โดยดี”

 

“พูดได้ดี แต่ว่าการที่ฉันยังครอบครองกระบี่เซวียนหยวนอยู่นั้นเป็นทางเลือกของฉัน เพราะงั้นแล้ว…ฉันอยากจะสู้” เสี่ยวยี่โบกมือ นั่นทำให้ชูหนานและหยูฉีถอยกลับไป ทั้งสองดูกังวล

 

ซุนฉีดูเย้ยหยั่นเมื่อเห็นว่าเสี่ยวยี่ยังต้องหิ้วขวดน้ำเกลือไปไหนมาไหนด้วย “งั้นถ้าพูดแบบนั้นก็อย่ามาว่าพวกเราทีหลังล่ะ!”

 

เสี่ยวยี่ค่อยๆดึงเข็มออกและยืนขึ้น

 

พี่น้องของเขาต่างรู้ดีว่าเสี่ยวยี่อ่อนแอขนาดไหนในตอนนี้ ดีไม่ดีแค่ดีดนิ้วก็ตายแล้วด้วย

 

“ถ้าสู้กันที่นี่คงไม่สะดวกซักเท่าไหร่ มากับฉันเถอะ” เสี่ยวยี่พูดเบาๆและค่อยๆลอยออกไปจากแมนชั่น

 

ทุกคนนั้นตามออกไปโดยไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เพราะไม่ว่าจะยังไง คนพวกนี้ก็มาเพื่อแย่งชิงเทพบรรพกาล หาใช่การทำลายตระกูลไม่

 

เสี่ยวยี่นั้นพาพวกคนที่เหลือไปยังพื้นที่เปิดโล่งๆ ที่ๆซึ่งถูกล้างบาปโดยระเบิดอะตอมมิค มันเป็นภูเขาหัวโล้นและตรงกลางมีบ่อวงกลมขนาดใหญ่ที่เส้นผ่าศูนย์กลางนั้นกินระยะเป็นไมล์

 

“ทีนี่…คือที่ที่ฉันและผ้าคลุมดำเจอกันคืนนั้น”

 

คำพูดของเขานั้นทำให้หลายๆคนหายใจสะดุด เรื่องที่ได้ยินก็อีกเรื่องแต่พอได้เห็นภาพเหล่านี้ด้วยตามันก้รู้สึกต่างออกไป

 

ไม่มีใครในที่นี้ที่จะทำแบบผ้าคลุมดำได้ ถึงจะทำได้ก็แทบตาย เว้นซะแต่วันนี้จะเป็นวันตายของเสี่ยวยี่ เขาทำเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะใช้พลังสูงสุดของกระบี่เซวียนหยวนให้เป็นที่ประจักษ์

 

ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้อยากให้เกิดการฆ่าฟันกันหรอก มันก็เป็นแค่กุศโลบายกดดันให้เขายอมทำตามดีๆเฉยๆ

 

โรคดื้อของเขานั้นสามารถรักษาให้หายได้…

 

ทั้งสามนั้นโชคดีที่เสี่ยวยี่ยังป่วยอยู่ ไม่งั้นเขาคงจะเจอกับปัญหามากกว่านี้แน่ๆ

 

มือของเสี่ยวยี่นั้นปรากฏกระบี่เซวียนหยวนสีทองออกมาในทันทีพร้อมๆกับปลดปล่อยบรรยากาศที่ทรงพลังออกมาด้วย

 

มองกระบี่สีทองอร่ามในมืออีกฝ่ายมันทำให้พวกเขาทั้งสามรู้สึกได้เลยว่าเมื่อเทียบกับเจดีย์ 9 อสูรแล้วยังไงกระบี่เซวียนหยวนก็น่าสนใจกว่ามากๆ

 

ถังหวู่ฉัวหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินเข้าไปเงียบๆเพื่อแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของเขา

 

หลิงเทียนเองก็ลังเลกับสิ่งนี้ มันหนักหน่วงมากๆ ราวกับกำลังจะต้องสู้กับปีศาจที่อยู่ด้านในเลย

 

“หลิงเทียน ฉันไม่เคยเสียใจที่เป็นเพื่อนกับนายเลย นี่คือ…เวลาที่จะตัดสินแล้ว” เสี่ยวยี่ใช้กระบี่เซวียนหยวนเพื่อซัพพอร์ตตัวเขาเองและน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแอของเขาเหมือนพยายามจะหลอกล่อให้คนอื่นติดกับ

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เวลานั้นมาถึงแล้ว!

 

ซุนยี่สะบัดมือและทันใดนั้นดาบคู่กายก็ปรากฏออกมา ตัวเขาเองและดาบพุ่งเข้าหาเสี่ยวยี่ด้วยความเร็วสูง

 

จิตวิญญาณของเจ้าสำนักเมฆาในตัวเขานั้นหาใช่ดวงประทีบที่ริบหรี่ไม่!

 

เสี่ยวยี่มองท่าทีนั้นด้วยความสงบก่อนจะสร้างพายุลมกรรโชกแรงขึ้นมา ลมหวนเหล่านั้นทำให้เสื้อผ้าของเสี่ยวยี่เข้าบาดตามใบหน้าเขาเต็มไปหมด

 

มือที่ถือกระบี่เซวียนหยวนไว้นั้นจับด้ามให้แน่นขึ้น ใช่แล้ว เขาพยายามจะสงบจิตสงบใจให้ได้นานที่สุด

 

ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความทุกข์จากการช่วยเหลือผู้อื่น กำลังถาโถมขึ้นมา มันทรมานตัวเขาเองทุกวินาที มหาจักรพรรดิวนเวียนกับปัญหาเหล่านี้มาหลายพันปี ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่แบบนี้ แต่เพราะแบบนี้แหละ จึงอยากจะแสดงให้เห็น ถึงความโกระเกรี้ยวของตัวเขาเอง ผู้ที่แบกความเจ็บปวดมาเนิ่นนาน!!

 

เสี่ยวยี่นั้นเตรียมพร้อมที่จะใช้ดาบโจมตีแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกมือขนาดใหญ่มาขัดความใบดาบไม่ให้ฟาดฟัดลงมาเสียก่อน

 

เฮอร์ริเคนอีกลูกก่อตัวขึ้น พร้อมๆกับการปรากฏตัวของหลิงเทียนผู้ที่ซึ่งทั้งร่างกายเป็นอาวุธ

 

เสี่ยวยี่มองดูหลิงเทียนในขณะที่ตัวหลิงเทียนเองก็มองเสี่ยวยี่ด้วยรอยยิ้ม

 

ยืนยันแล้วด้วยตาคู่นี้…