GGS:บทที่ 813 เลื่องลือ

 

ซูจิ้งนำหนังสือสัญญามาให้เจ้าวาสซูหยุนลงนาม ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เจ้าอาวาสสามารถประดิษฐานพระอจละไว้ที่นี่ได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าสัญญานี้มีเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของเขากับทางวัดอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งซูจิ้งยังคงให้ทางวัดยืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธต่อไปได้

 

หนึ่งวันผ่านไป ข่าวที่ว่าพระอจละได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดหลานเล่อนั้นได้แพร่กระจายออกไปอย่างเป็นทางการ

แน่นอนว่าเรื่องนี้ลือเลื่องยิ่งกว่าเสียยิ่งกว่ารูปภาพหัวใจพระสูตรและพระพุทธเคยลงไว้ในไม่โครบลอกของเขาซะอีก

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกันระหว่างซูจิ้ง เจ้าอาวาสซูหยุน และปรมาจารย์เชิงหยาน

ตอนนี้การมาที่วัดหลานเล่อนั้นหาใช่เป็นแค่การท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ผู้คนที่หลั่งไหลมายังวัดแห่งนี้ในตอนนี้โดยปกติจะมีประมาณ 700-800 คนต่อวัน

สำหรับวันนี้ที่ถือว่าเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้นมีผู้เข้าสักการะอยู่ที่ 1500 คนโดยประมาณ

 

ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวผู้โชคดีที่มาวันแรกที่เผอิญเจอซูจิ้งอัญเชิญพระอจละมายังที่นี่ก็ตาม

ถึงแม้พวกเขาจะพลาดโอกาสในการเจอซูจิ้งอีกครั้ง เพราะซูจิ้งนั้นหลังจากเสร็จเรื่องแล้วเขาก็ได้จากไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน

แต่ยังไงซะวันนี้พวกเขาไม่ได้มาเพียงลำพังแต่ยังพาญาติสนิทมิตรสหายมาด้วย

ทุกคนที่มาสักการะต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นองค์พระอจละ

พวกเขารู้ได้โดยทันทีว่าการมาที่นี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่าแต่อย่างใดออกจะคุ้มค่าเสียมากกว่า

พวกเขานั้นก่อนหน้านี้หัวใจเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลอยู่เต็มหัวใจ

แต่หลังจากที่พวกเขาได้เห็นองค์อจละพวกเขาก็ไม่สามารถจะปลีกตัวไปไหนได้

กลับกันพวกเขากลับแสดงอีกถึงความสงบสุขในใจ

และเมื่อเขารู้สึกตัวก็พบว่าจิตใจของพวกเขาสงบสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ชื่อเสียงของวัดหลานเล่อและพระอจละได้เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“ลูกเอ้ย ถึงคิวของเราแล้ว รีบเข้าไปและไหว้พระพุทธเจ้าซะ” ณ ข้างหน้าหอที่ตั้งองค์พระอจละที่มีแถวยาวมาก ที่ด้านหน้าของแถวนั้นมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังจับมือกึ่งลากเด็กผู้ชายอายุประมาณ 15 ปี เอาไว้

“ผมไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลพันธุ์นี้หรอกนะ เสียเวลาเปล่าจริงที่ต้องบึ่งมาถึงนี่แถมยังต้องเข้าคิวรออีกตั้งนาน” เด็กผู้ชายแสดงออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับบ่นอุบไปในอากาศ

“เอ็งน่ะสิที่ไร้สาระ รีบมานี่เดี๋ยวนี้เร็วๆเข้า” หญิงวัยกลางคนเหลืออดจึงได้โบกไปที่ลูกชายหนึ่งทีก่อนที่จะถีบเขาเข้าไปจนเด็กชายเซถลาไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าองค์พระอจละ

 

ทันทีที่เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าขององค์พระอจละนั้นเขาก็หยุดอึ้งไปในทันใด

ตัวเขาก่อนหน้านี้จิตใจว้าวุ่นอย่างมากเนื่องด้วยเขานั้นมีความกังวลในการสอบ

ไหนจะเรื่องพวกเด็กเกเรในโรงเรียนที่คอยรังควานเขา

ไหนจะเรื่องเด็กผู้หญืงที่เขาชอบ หรือแม้แต่เรื่องที่พ่อแม่ยังเห็นเขาเป็นเด็กทั้งๆที่โตจนป่านนี้แล้ว

 

ทำให้เขานั้นดูกลายเป็นเด็กกร้าวร้าวต่อหน้าพ่อแม่ แต่เป็นเด็กขี้แหยในสายตาคนอื่น

แต่ในทันทีที่เขาเห็นองค์พระองค์อจละ

ด้วยพุทธานุภาพขององค์พระองค์นี้ ความว้าวุ่นทั้งหมดนี้หายไปในบัดดล

ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งความรู้สึกก้าวร้าวที่มีต่อพ่อแม่ แม้แต่ความรู้สึกเหยาะแหยะต่อหน้าคนอื่นเองก็เช่นเดียวกัน

เขารู้สึกได้ทันทีเลยว่าหัวใจของเขามีความกล้าหาญและมีความมั่นใจในตัวเองประหนึ่งดังทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้ว รอแต่เขาจะถึงเวลารู้ตัวและเฉิดฉายออกไปจากก้นบึ้งในหัวใจของเขา

 

“ผู้แสวงบุญครับ ผู้แสวงบุญท่านนั้นถึงตาท่านแล้วครับ” พระองค์หนึ่งที่ทำหน้าที่ในการจัดการแถวได้ตะโกนเรียกชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนคอยอยู่ที่หน้าประตู

“โอ้ ตาฉันแล้วรึ” ชายวัยกลางคนท่าทางมึนๆได้เดินเข้ามา ในระหว่างที่เดินเข้ามา ดวงตาของเขาช่างดูว่างเปล่า พร้อมใบหน้าที่เบื่อหน่ายชีวิตเหมือนกับว่าเขานั้นได้สูญเสียความตั้งใจในการใช้ชีวิตไปหมดแล้ว

เขานั้นเคยเป็นที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม เรียนจบจากมหาวิทยาลัยดีๆ ทำธุรกิจจนมีเงินมากมาย

อีกทั้งยังได้แต่งงานก็ภรรยาแสนสวยที่เรียกได้ว่าสวยดั่งดอกไม้และนุ่มนวลประดุจดั่งหยดน้ำ

 

นอกจากนี้เขายังมีลูกแฝดด้วยอีกคู่หนึ่ง แต่ไม่กี่ปีถัดมาเขาบริหารธุรกิจขาดทุนย่อยยับจนทำให้ธุรกิจของเขาเกือบเจ๊งไม่เป็นท่า เขาสูญเสียเงินไปมากมายจนะเหลือเงินเพียงน้อยนิดติดตัวไว้

เมื่อปีก่อนเขาพยายามที่จะนำทุกอย่างกลับมาให้เป็นเหมือนเดิม แต่กลายเป็นตัดสินใจช้าเกินไป

แทนที่จะทำเงินได้กลับกลายเป็นสูญเงินไปจนหมดตัว แถมยังเพิ่มหนี้สินมาอีกนับล้านหยวน

จนสุดท้ายความสัมพันธ์ที่มีต่อภรรยาก็แย่ลงเรื่อยๆ ทะเลาะกันทุกวัน

จนคืนก่อนภรรยาของเขาได้ไล่เขาออกจากบ้านและไม่ต้องให้เธอกลับไปให้เห็นหน้าอีกต่อไป

 

ชายวัยกลางคนคนนี้ได้สูญเสียความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับอนาคตอีกต่อไปแล้ว

 

ความจริงนั้นตัวเขาเตรียมตัวที่จะละทิ้งตัวเองโดยต้องการปลิดชีพลงเรียบร้อยแล้ว

แต่เขานั้นได้ยินมาว่าพระพุทธรูปที่นี่มีมนต์ขลังอย่างมาก

เขาผู้ที่เปรียบได้ดั่งคนตายเดินดินผู้นี้ก็เกิดมีความรู้สึกอยากจะเห็นของแบบนี้สักครั้งในชีวิตก่อนที่จะลาลับโลกนี้ไปจึงได้มาที่นี่

 

แต่ทันทีที่เขามองเห็นใบหน้าของพระอจละทำให้ตัวเขายืนนิ่งอึ้งไม่ขยับไปไหน จนหลายนาทีเขานั้นได้ทรุดลงไปคุกเข่าลงในทันทีและไม่ใช่บนเบาะอย่างที่คนอื่นคุกเข่ากันแต่เป็นพื้นหินแข็งๆจนมีเสียงดังปึกจนพระผู้ดูแลแถวตั้งหันมามอง

เขาได้จ้องมองไปยังพระอจละด้วยสายตานิ่งสงบ จิตใจของเขาได้ย้อนคือนนึกถึงภรรยาผู้แสนดีของเขา คิดถึงลูกที่แสนน่ารัก ประหนึ่งดั่งเขาได้ปลุกความกล้าหาญในการที่จะต้องใช้ชีวิตลงไปในหัวใจ

ใช่แล้วเขานั้นมีหนี้ และไม่ใช่เพียงหนี้ที่เป็นเงินแต่ยังมีหนี้ชีวิตอีกด้วย

เขายังติดหนี้ภรรยาที่แสนดีที่คอยอยู่สู้เคียงข้างไม่ว่าจะเป็นยามมีหรือยามยาก คอยปลอบใจเวลาเขาท้อแท้

คอยดูแลเวลาป่วยไข้ คอยห่วงใยเวลาเขาเหนื่อย คอยโกรธเวลาเขาเอาหน้าไปแนบชิดใกล้ๆ

 

คอยเตือนเวลาเขาทำผิดซ้ำๆ เขาเองที่ผิดพลาดแล้วไปพาลใส่เธออย่างไร้เหตุผล และเขายังติดค้างลูกๆที่แสนน่ารักและฉลาดหลักแหลมที่เขายังไม่ได้เลี้ยงดูให้โตเสียอีก

ชายวัยกลางคนได้ร้องไห้ออกมาจากกลายเป็นสายน้ำร้อนนองอยู่บนใบหน้า แต่ปากของเขากลับยิ้มออกด้วยความปิติ

“ท่านผู้แสวงบุญครับ ครบเวลาแล้วครบ โปรดรีบทำการสักการะด้วย” พระผู้จัดการแถวเตือนเขาที่หน้าประตู

“ได้ครับ” ชายวัยกลางคนได้ยืนขึ้นพร้อมทั้งควักเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋ากางเกงทั้งหมดกว่า 300 หยวน

มอบให้แก่เพราะผู้ดูแล หลังจากนั้นพระได้ยื่นธูปให้เขาสามดอก เขาจุดธูปและทำการปักไปที่กระถาง

ก่อนที่จะเดินออกไปด้วยท่าทีมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

วันถัดมาได้มีผู้เข้ามาแสวงบุญมากกว่า 5,000 คน

 

วันที่สามได้มีผู้เข้ามาแสวงบุญมากกว่า 8,000 คน

 

วันที่สี่ได้มีผู้เข้ามาแสวงบุญมากกว่า 10,000 คน

 

หลังจากนั้นผู้ที่เข้ามาแสวงบุญขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 10,000 คนต่อวัน และไม่มากไปกว่านี้ได้ นั่นก็เพราะว่าจำนวน 10,000 คนเป็นจำนวนที่วัดสามารถจัดการได้เต็มที่แล้ว

การที่มีผู้เข้ามาแสวงบุญกว่า 10,000 คนต่อวันนั้นทำให้วัดอื่นๆและเหล่าคนที่รู้เรื่องต่างก็ประหลาดใจกันไม่น้อย 10,000 คนนี่ถือได้ว่ามากมายเกินจะจินตนาการได้แล้ว

แม้แต่โลกอินเตอร์เนตก็ยังโจษจันกันถึงเรื่องนี้

“พระพุทธรูปมีชีวิตอย่างนั้นหรอ ไม่ใช่ว่าเป็นพระภิกษุแก่พรรษาหรอกรึ”

“ไม่ไม่เขาหมายถึงพระอจละต่างห่าง เพียงแต่เป็นพระที่ดูเหมือนมีชีวิตเท่านั้น”

“โม้หรือเปล่า ฟังดูน่าเหลือเชื่อยังไงไม่รู้”

“ถ้านายได้เห็นก็รู้เองว่าน่าเหลือเชื่อขนาดไหน”

“ฉันไม่เชื่อหรอก แต่ยังไงก็จะลองไปดูสักครั้ง”

“เห็นเขาบอกต่อๆกันมาว่าพระอจละองค์นี้ถูกอัญเชิญมาโดยซูจิ้งนะ”

“ห้ะ ซูจิ้งอีกแล้วหรอ”

“ช่ายย แล้วเขายังว่ากันอีกว่าพระเสี่ยวไจ๋ที่ไปประลองกับพวกเทควันโดกับยูโดตอนนั้นน่ะถือว่าเป็นการผิดกฎของวัดเลยจะถูกลงโทษ ซูจิ้งเลยไปช่วยเขาพร้อมอัญเชิญพระอจละองค์นี้ไปด้วย”

“หมอนี่มีสมบัติอยู่แค่ไหนกันเนี่ย”

 

พระอจละและวัดหลานเล่อในตอนนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก พวกเขาเคยคำนวนกันเล่นๆว่าเงินที่ได้การขายธูปบูชานั้นเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก

ต่อให้ไม่นับส่วนที่แบ่งให้ซูจิ้งไป 70 % ก็ยังถือว่าได้กว่าเมื่อก่อนอยู่สอง-สามเท่าเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ทางวัดนั้นวุ่นอย่างมากและขาดกำลังพระในการช่วยงาน

หากว่าทางวัดยังต้องการปฏิบัติกิจสงฆ์ได้อย่างปกติจำเป็นต้องขยายวัดและรับพระจำวัดเพิ่มอีกด้วย

 

แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนถึงกับพูดไม่ออกมาที่สุดก็คืออันดับรายการดารานั่นเอง

ตอนนี้อันดับของซูจิ้งได้เพิ่มสูงขึ้นอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เพิ่มอย่างก้าวกระโดดแบบตอนที่พระเสี่ยวไจ๋จัดการเหล่านักคาราเต้และนักยูโดก็ตาม

แต่ก็ถือได้ว่าเพิ่มมากพอที่จะทำให้คนที่อยู่ในวงการบันเทิงอดไม่ได้ที่จะออกมาโวยวายเลยทีเดียว

 

ในวันที่ห้าหลังจากที่ซูจิ้งรับสายโทรศัพท์ของเสี่ยวไจ๋ผู้ที่เป็นศิษย์แบบทึกทักไปเองของเขา เขาได้พูดผ่านทางโทรศัพท์ว่า “อาจารย์มีใครบางคนต้องการซื้อพระอจละองค์นี้ในราคาที่สูงมาก พอผมบอกว่าไม่สามารถขายได้ เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขายอมจ่าย 100,000 หยวนต่อวันเพียงเพื่อที่จะมานั่งหน้าพระอจละเป็นการส่วนตัว 1 ชั่วโมงต่อวัน อาจารย์คิดว่าผมควรอนุญาตหรือไม่ครับ”

 

“ใครกันล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมา เขานั้นรู้สึกว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย แต่ยังไงก็ตามเขาก็ต้องดูก่อนว่าคนๆนั้นเป็นใครน่าเชื่อถือพอรึเปล่า

“เดี๋ยวผมจะส่งข้อมูลไปให้อาจารย์ดูนะครับ” เสี่ยวไจ๋ได้ส่งข้อมูลมาให้ซูจิ้ง

ซูจิ้งค่อยเลื่อนดูข้อมูล หลังจากนั้นเขาก็อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเลื่อนกลับไปดูที่หน้าของเจ้าของข้อมูล ไม่นานนักเขาก็หัวเราะออกมายกใหญ่ ก่อนที่จะบอกเสี่ยวไจ๋ไปว่า “คนๆนี้ฉันกำลังรอเขาอยู่เลย บอกเขาให้รอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับเขาเอง”