GGS:บทที่ 814 ธุรกิจด้านการเกษตร

 

ในตอนนี้ก็เป็นเวลา 1 ทุ่มเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เป็นเวลาที่วัดได้ปิดรับผู้สักการะ

ซูจิ้งได้ขับรถมาจอดยังหน้าประตูวัดโดยมีเสี่ยวไจ๋ออกมารอต้อนรับเขา

หลังจากที่เสี่ยวไจ๋ใช้ยาพอกของซูจิ้งเข้าไปแล้วทำให้บาดแผลของเขาหายไปอย่างปลิดทิ้ง

 

หลังจากที่ซูจิ้งได้แนะนำเพลงหมัดวัวคลั่งแก่เขาเพิ่มเติม ความเข้าใจของเสี่ยวไจ๋ที่มีต่อเพลงหมัดเพิ่มขึ้นอย่างมาก และนั่นย่อมทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นด้วย ตอนนี้สายตาเป็นประกายในทันทีหลังจากรับรู้ว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน

พลางคิดไปว่าในเมื่อทางวัดก็อนุมัติให้เขาไปประลองกับสำนักต่างๆได้ ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะประจันหน้ากับเหล่านักศิลปะการต่อสู้ต่างประเทศที่กล้ามาหาเรื่องเขาด้วยไฟที่ลุกโชน

และแน่นอนว่าครั้งนี้เขาจะไม่พลาดเจ็บตัวอีกอย่างแน่นอน

 

“เอ้อ…เสี่ยวไจ๋ แล้วคุณเตียนที่ว่านั่นอยู่ไหนกัน” ซูจิ้งถามออกมา

“เรียนท่านอาจารย์ เขากำลังนั่งรออยู่ที่หอพระอจละครับ” เสี่ยวไจ๋ได้ตอบออกไปด้วยความเคารพ แต่นั่นทำให้เขาเผลอเรียกซูจิ้งว่าอาจารย์ออกไป แต่เมื่อเขาพบว่าซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจอะไร นั่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของเขาจริงๆและเขาก็รู้สึกมีจิตใจที่ปลอดโปล่งโล่งมากกว่าเดิม พลางคิดไปว่าในที่สุดก็ยอมรับเขาเป็นศิษย์ซักที

 

“เอาล่ะไปกันเถอะ” ซูจิ้งดึงกระเป๋าลูกหนึ่งออกมาจากรถ แล้วรีบเดินไปพร้อมกับเสี่ยวไจ๋มุ่งหน้าไปยังหอพระอจละ

ภายในหอยังคงเปิดไฟส่องสว่าง ข้างในตอนนี้มีเจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน และพระจำวัดรูปอื่นๆ นั่งรายรอบองค์พระอจละด้วยท่าทีอันเคารพนอบน้อมต่อองค์พระ

“สวัสดีคุณซู” ชายรูปร่างเตี้ยแต่ดูสันทัดพร้อมผิวกายที่ค่อนข้างคล้ำได้ยืนขึ้นและตรงเข้ามาจับมือซูจิ้ง

“สวัสดีครับคุณเตียน” ซูจิ้งจับมือของเขาตอบพร้อมรอยยิ้ม

ในตอนนี้เหล่าพระที่อยู่ในหอต่างก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมจ้องไปยังพวกเขาทั้งสอง นั่นทำให้ซูจิ้งต้องยกมือขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เชิงขอโทษ ก่อนที่เขาจะผายมือเพื่อให้คุณเตียนผู้นี้ออกไปคุยกันข้างในหอ

 

“คุณซู พระเสี่ยวไจ๋รูปนั้นน่าจะบอกคุณไปแล้วใช่รึเปล่าว่าผมนั้นชอบองค์พระอจละองค์นี้มาก

ถ้าคุณซูไม่ต้องการจะขายจริงๆผมก็เข้าใจนะ แต่ยังไงซะผมก็ขอมานั่งที่นี่วันละ 1 ชั่วโมงได้รึเปล่าล่ะ

ผมสัญญาว่าจะนั่งเงียบๆไม่รบกวนใครอย่างแน่นอน

หากคุณว่าเงินสำหรับหนึ่งแสนหยวนต่อชั่วโมงต่อวันยังไม่พอล่ะก็ คุณสามารถเสนอราคามาได้เลย” คุณเตียนได้พูดออกมาอย่างตั้งใจ

ซูจิ้งเองก็ได้ใช้พลังจิตของเขาจับออร่าของคุณเตียนคนนี้ในขณะที่พูด ซึ่งเขาก็ดูๆไปแล้วว่าเขานั้นพูดออกมาด้วยใจจริง

 

ซูจิ้งเลยตอบกลับไปว่า “คุณเตียน ผมขอบอกคุณจริงๆเลยนะว่าผมไม่ได้ใส่ใจกับเงินหนึ่งแสนที่คุณว่าเลยซักนิด

แต่สิ่งที่ผมสนก็คือการได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณมากกว่า

คุณเตียน ถ้าคุณยอมร่วมงานกับผมล่ะก็คุณสามารถนั่งที่นี่ได้หนึ่งชั่วโมงต่อวันโดยที่ผมจะไม่เก็บเงินคุณซักหยวนเดียว”

“ผมไม่รู้เหมือนกันนะว่าธุรกิจของผมธุรกิจไหนที่พอจะทำให้เราร่วมมือกันได้บ้าง” คุณเตียนได้แสดงออกท่าทีว่างงกับสิ่งที่ซูจิ้งพูดเล็กน้อย

ในจริงของเขานั้นอยากจะจ่ายเงินเพื่อที่จะได้นั่งอยู่หน้าองค์พระอจละทุกวันซะมากกว่า

แต่ในเมื่อซูจิ้งมีความสนใจทำธุรกิจร่วมกับเขามันเป็นเรื่องที่ดีก็จริง แต่ว่าเขานั้นมีความถนัดทางธุรกิจด้านการเกษตรเท่านั้น เขาจึงสงสัยว่าซูจิ้งต้องการลงทุนกับเขาในงานอะไรกันน่า เพราะระดับซูจิ้งไม่น่าจะมีสนใจเรื่องนี้

“ด้านการเกษตรน่ะ” ซูจิ้งมองเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณเตียนคนนี้ก่อนที่จะพูดสิ่งที่คุณเตียนเพิ่งจะคิดออกมา

 

คุณเตียนคนนี้มีชื่อเต็มว่า เตียนจงยี่ เกิดในแถบชนบท ด้วยการที่บ้านของเขานั้นยากจนและมีพี่น้องทั้งชายและหญิงอยู่หลายคน

ทำให้เขานั้นต้องออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำงานในสวนที่บ้านตั้งแต่สมัยม.ต้น ซึ่งเขาเองก็รู้สึกแย่อย่างมาก

ในตอนหลังเขาได้ทำงานหนักและขยันขันแข็งจนสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานสวนของเขาด้วยการปลูกพืชแบบผสมผสาน และได้ลงทุนในการปลูกผักจนทำให้ได้รับกำไลมากกว่า 500,000 หยวนต่อปี

หลังจากนั้นธุรกิจของเขาก็ใหญ่โตขึ้นจนการเป็นกลุ่มทุนวงจรอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีรายได้มากกว่า 1 ร้อยล้านหยวนต่อปี

จึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าเตียนจงยี่ผู้นี้คือคนที่ประสบความสำเร็จจากการทำงานหนักและขยันขันแข็งอย่างแท้จริง

 

สำหรับงานด้านการเกษตรนั้น หากพูดถึงเรื่องต่างๆที่อยู่ในกระบวนการตั้งแต่เริ่มวงจรของพืชตั้งแต่เมล็ด    ต้นอ่อน ต้นแก่ การเก็บเกี่ยว การแปรรูป ไม่มีส่วนใดเลยที่เขาจะไม่รู้จักแถมยังรู้ในเชิงลึกของแต่ละกระบวนการอีกด้วย

 

พอคิดว่าเขานั้นโดยพื้นฐานมาจากครอบครัวยากจน ไม่มีทรัพย์สินเงินทองคอบสนับสนุน ไม่มีคนคอยให้ความเกื้อหนุน แม้แต่ซูจิ้งเองก็ให้เกียรติคนประเภทนี้อย่างมาก

ซูจิ้งได้พูดต่อว่า “ผมต้องการปลูกต้นไม้สามชนิดในพื้นที่จำนวนมากเพื่อต้องการผลผลิตที่พอต่อการจำหน่ายและแปรรูป

ทั้งสามชนิดนั้นประกอบด้วย ดอกกุหลาบสีน้ำเงิน มะละกอเกล็ดงู และมะละกอหวาน

สิ่งที่ผมต้องการร่วมงานจากคุณเตียนก็คือผมอยากขอให้คุณยอมให้ผมใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานแรมปีและทรัพยากรที่ดินอันมากมายของคุณ นี่คือสิ่งที่ผมหวังว่าจะทำให้เราร่วมงานกันได้”

 

“คุณซูต้องการพื้นที่ในการปลูกเท่าไหร่กัน” เตียนจองยี่ถามออกมาอย่างสงสัย

ตัวเขาเองนั้นก็พอจะได้ยินชื่อมะละกอเกล็ดงูมาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่กับอีกสองอย่างนั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่น้อย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจำนวนพื้นที่ที่ซูจิ้งต้องการจะปลูก

“กุหลาบสีน้ำเงินนั้นยังไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ มะละกอเกล็ดงูนั้นอย่างน้อยๆต้องอยู่ที่ 300 ไร่

ซึ่งในอนาคตอาจมีการขยายพื้นที่ปลูกขึ้น และอาจมีมะละกอพันธุ์อื่นอีกในอนาคตซึ่งสามารถปลูกปนกันได้ไม่มีปัญหา

 

ถ้าให้ผมแนะนำก็คือคุณสามารถคุยสัญญากับแปลงอื่นล่วงหน้าไว้ได้เลย เสร็จแล้วคุณติดต่อผมก็พอ ผมจะส่งต้นพันธุ์ให้คุณเพิ่มเติม”

เตียนจงยี่ถึงกับทำหน้าเหรอหราไม่น้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมา วันนี้เป็นวันโกหกสากลรึไงกันเขาถึงกล้าเรื่องแบบนี้ออกมา

หากเขาเชื่อคำพูดของซูจิ้งได้ล่ะก็และหากซูจิ้งต้องการจะเริ่มงานเลย นั่นหมายความว่าเขานั้นจะต้องละทิ้งผลผลิตกว่าครึ่งที่เกือบจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว นั่นทำให้เขาค่อนข้างหนักใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่

 

“คุณซู คุณล้อผมเล่นรึเปล่า” เตียนจงยี่นั้นถึงแม้ไม่อยากจะเชื่อซักเท่าไหร่

แต่เขาเองก็ต้องการที่จะได้สิทธิ์ในการนั่งสักการะองค์พระอจละองค์นี้จนทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจนต้องถามออกมา เพราะเอาจริงหากซูจิ้งโกหกถือว่าเขานั้นจะเสียมากกว่าได้

“ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นหรอกครับ ผมการันตีได้เลยว่าพืชทั้งสามนี้ให้ผลกำไรเยอะอย่างมาก และผมเองก็ได้นำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของผมมาด้วย คุณสามารถนำไปประเมินก่อนได้เลย”

ซูจิ้งพูดเสร็จก็ได้นำกุหลาบสีน้ำเงินที่มีเป็นช่อออกมาจากในกระเป๋ายื่นให้เตียนจงยี่ก่อนจะพูดออกมาว่า

“นี่คือพืชชนิดแรกที่ผมจะให้คุณปลูกนั่นคือกุหลาบสีน้ำเงินธรรมชาติ มันปลูกได้ยากยิ่งพอกับกล้วยไม้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามราคาของมันเองก็สูงกว่ากล้วยไม้หลายเท่าตัว

หากว่าเป็นงานเทศกาลล่ะก็ผมมั่นใจได้เลยว่าอย่างต่ำๆต้องได้ไม่น้อยกว่าสิบเท่า ที่สำคัญที่สุดคือเราจะเป็นเจ้าเดียวในโลกทีมีกุหลายสีน้ำเงินนี้ นั่นหมายความว่าเราจะกลายเป็นเจ้าของตลอดเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

 

“นี่มัน…คุณหมายความว่ามันคือกุหลาบสีน้ำเงินแท้ๆไม่ผ่านการย้อม!!!”

เตียนจงยี่ตกตะลึงในทันที เขาเองก็มีความรู้เรื่องกุหลาบพอสมควรและยังรู้มาอีกว่ากุหลาบสีน้ำเงินธรรมชาติหมายความว่ายังไง

เขาได้ทำการพิจารณากุหลายนี้อย่างถี่ถ้วนและละเอียดยิบ เขาทดสอบด้วยวิธีทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับการทดสอบสีกุหลาบแท้

ยิ่งเขาทดสอบมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น และเขาค่อนข้างมั่นใจได้แล้วว่ากุหลาบช่อนี้ไม่ได้ถูกย้อมสีมาจริงๆ

เขาเองก็เคยได้ยินมาอยู่ว่ามีใครบางนำกุหลาบสีน้ำเงินธรรมชาติออกมาให้ทุกคนเห็นมาก่อนแต่เขาก็ไม่ได้เชื่อแต่อย่างใดเลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องนั้นจะเป็นจริง

 

เขาถึงขนาดยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรถามฝ่ายข่าวของเขาให้ช่วยตรวจสอบดู

และเขาก็ได้รับการยืนยันจากฝ่ายข้อมูลของเขามาว่าผู้ที่เคยน้ำกุหลาบสีน้ำเงินออกมาให้โลกได้ประจักษ์ในครั้งนั้นนั่นคือซูจิ้งนี่เอง

โดยราคาที่มีการซื้อขายในตอนนี้ก็ถือได้ว่าดีมาก ถึงแม้ราคาจะผันผวนอยู่บ้างต่อราคาก็ยังมากกว่ากุหลาบปกติอยู่หลายเท่าเลยทีเดียว

เตียนจงยี่ได้หันไปถามซูจิ้งในทันทีว่า “แล้วอีกสองพันธุ์ที่ว่านั่นล่ะครับ”

“งั้นเรามาดูชิ้นที่สองกันก่อนแล้วกันครับ นี่มะละกอที่ว่า”

ซูจิ้งได้หยิบเอามะละกอหวานออกมา เขานั้นได้พันธุ์มะละกอนี้มาจากห้วงเวลาฯตำนานเทพแห่งความชั่วร้าย

เมื่อเขายื่นให้เตียนจงยี่แล้วก็ได้พูดขึ้นมาว่า “วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์นี้ไม่ได้แตกต่างจากมะละกอทั่วไปมากนัก”

“แล้ว…มะละกอนี้มีความพิเศษยังไงครับ” เตียนจงยี่เองเมื่อหยิบขึ้นมาดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา เพระว่าเขานั้นไม่เห็นความแตกต่างจากมะละกอปกติตรงไหน

“เรื่องนี้คุณมองไม่ออกหรอก คุณต้องลองชิมดูหลังจากนำมันไปประกอบอาหารแล้วเท่านั้น”

ซูจิ้งพูดพร้อมสั่งให้เสี่ยวไจ๋นำมะละกอไปทำโจ๊กจากหม้อที่เขาเตรียมเอามา

เสี่ยวไจ๋ทำโจ๊กอย่างง่ายด้วยหม้อความดันทำให้ไม่นานโจ๊กก็ถูกปรุงเสร็จพร้อมกลิ่นหอมเย้ายวนไปทั่วห้อง จนเล็ดรอดออกไปจากห้องเลยทีเดียว

“อร่อยยยยย!!!!!!!!” เสี่ยวไจ๋และเตียนจงยี่อุทานออกมาพร้อมกันแทบจะทันทีที่ตักโจ๊กเข้าปาก

“รสชาติไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ…” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังจ้วงโจ๊กจากชามกินอย่างเมามันส์ด้วยสายตาตื่นตะลึงทุกครั้งที่ได้สัมผัสรสชาติในแต่ละคำ

 

หลังจากหมดแล้วพวกเขายังตักเติมอีกสามสี่ครั้งโดยไม่สนใจว่าความร้อนของโจ๊กจะลวกปากแต่อย่างใด

“พระคุณเจ้า ทำไมมันถึงได้อร่อยขนาดนี้กัน” เตียนจงยี่ตกตะลึงในทันทีที่เขารู้ตัวว่าซัดเข้าไปหลายชามแล้ว

เขาเองก็รู้มาบ้างว่าซูจิ้งคือเทพแห่งพ่อครัวด้วยเช่นกัน หากซูจิ้งเป็นคนทำโจ๊กหม้อนี้เขาจะไม่แปลกใจเลย

แต่นี่เพียงแค่เพิ่มมะละกอลงไปในอาหารเท่านั้นโดยไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรเลยกลับทำให้อาหารอร่อยได้มากมายขนาดนี้

นี่สามารถบ่งบอกได้เลยว่ามะละกอนี้หวานมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่ามะละกอหวาน มันหวานสมชื่อของมันจริงๆ