หลังจากที่เมิ่งจงจวี่ไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขอร้องเมิ่งชื่อให้ไปอยู่ด้วยกันที่จวนอ๋องฉี

 

 

แต่เมิ่งชื่อไม่ได้ตอบรับ “พี่รองกับซ้อใหญ่ของเจ้ายังอยู่ที่บ้าน แม่ไม่สามารถไปได้ แต่แม่จะไปอยู่กับเจ้าทุกวัน แล้วค่ำค่อยกลับมา”

 

 

เห็นว่าเมิ่งชื่อไม่ยอมท่าเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ดึงอันอะไร จึงกลับจวนอ๋องไปกับหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

เมื่อทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในจวน จวนก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง พระชายาฉีไม่เพียงแต่รู้สึกไม่คุ้นชิน ขนาดอ๋องฉีก็ไม่ชินตามไปด้วย เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ถึงแม้จะไม่ได้ดีใจเหมือนพระชายาฉี แต่ริมฝีปากที่ยกขึ้นก็แสดงให้เห็นถึงความอารมณ์ดีของเขา

 

 

ไม่กี่วันมานี้หวงฝู่อวี้ไปที่โรงงาน ในทุกวันก็ไปเช้ากลับสาย รอให้ท่านอ๋องฉีไปที่ห้องหนังสือก่อน พระชายาฉีก็กดเสียงต่ำ แล้วจึงคุยกับทั้งสองคนอย่างแอบๆ ว่า “สองวันมานี้อวี้เอ๋อร์ดูแปลกๆ ไป เอาแต่เหม่อลอยอยู่เสียบ่อย ข้าถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่พูด พวกเจ้าว่า จะเกี่ยวกับเยียนเอ๋อร์หรือไม่”

 

 

ทั้งสองคนแม้ว่าจะไปที่หนานเฉิง แต่ก็สั่งให้โจวอันจัดคนไปคอยติดตามหวงฝู่อวี้ในทุกๆ ฝีก้าว หลินหันเยียนส่งคนมาหาหวงฝู่อวี้ เรื่องที่ส่งจดหมายให้กับเขาทั้งสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหหน้า “เสด็จแม่พูดถูก คุณหนูหลินส่งคนให้มาส่งจดหมายแก่อวี้เอ๋อร์จริงๆ เนื้อความโดยรวมว่าอย่างไร พวกเรายังไม่รู้แน่ชัด”

 

 

“งั้นรึ ว่าแล้วเชียวว่าทำไมสองวันนี้อารมณ์ของเขาถึงได้ผิดปกติ” พูดจบ ก็ถามด้วยความดีใจว่า “พวกเจ้าว่า พวกเราจะเพิ่มเชื้อไฟให้เขาดีหรือไม่ เพราะจากข้าดูแล้วอวี้เอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกกับเยียนเอ๋อร์เหมือนแต่ก่อนแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จะต้องเติมเชื้อให้เขาหน่อยจริงๆ ข้ากับอี้เซวียนปรึกษากันแล้ว วันพรุ่งก็จะประกาศว่าหาหญิงสาวที่เหมาะสมกับอี้เซวียนได้แล้ว รอให้พวกเราเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ก็จะไปขอแต่งงาน”

 

 

สายตาของพระชายาฉีปลื้มปีติเป็นอย่างมาก “ต้องการให้แม่ช่วยอะไรหรือไม่”

 

 

ตอนดึก หวงฝู่อวี้นั่งรถม้ากลับมาจากโรงงานด้วยท่าทางไร้ชีวิตชีวา เมื่อเข้าประตูจวนมา หลิงหลงก็เข้ามาคำนับ “องค์ชายรอง พระชายาให้ท่านไปพบนางที่ตำหนักเจ้าค่ะ”

 

 

“เสด็จแม่เรียกข้ามีเรื่องอันใดงั้นรึ” หวงฝู่อวี้เปลี่ยนทิศทาง แล้วเดินไปถามไป

 

 

หลิงหลงตอบ “ข้าน้อยมิทราบ”

 

 

หวงฝู่อวี้ถามไปเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้นางตอบแต่อย่างใด ไม่นานก็เดินมาที่ห้องของพระชายาฉี ยังไม่ทันทักทาย พระชายาฉีก็กวักมือเรียกด้วยความดีใจ “อวี้เอ๋อร์ มานี่เร็ว วันนี้ข้ากับซ้อใหญ่ของเจ้าได้ทำการปรึกษากันมาทั้งวันแล้ว หาหญิงสาวให้เจ้าได้แล้ว เจ้ามาดูเร็วเข้า ถูกใจหรือไม่ ถ้าหากว่าถูกใจ วันพรุ่งข้าจะจัดคนมาดูดวงของพวกเจ้า”

 

 

หวงฝู่อวี้หยุดเดิน ดูก็ไม่ได้ดู พูดว่า “ท่านแม่ว่าดีก็ดีขอรับ ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวแบบไหนก็ถูกใจทั้งนั้น”

 

 

สีหน้าดีใจของพระชายาฉีก็หายไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองไปที่เขาด้วยความสงสัย “อวี้เอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องหนักใจอันใดหรือไม่ แม่เห็นว่าเจ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองวันแล้ว”

 

 

ท่าทางของหวงฝู่อวี้ชะงักไป แล้วจึงยิ้มออกมา “เสด็จแม่คิดมากไปแล้ว ลูกมีความสุขดีขอรับ”

 

 

พระชายาฉีก็ไม่ได้พูดอะไร มองจ้องไปที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง จ้องเสียจนหวงฝู่อวี้เกิดความกลัว แล้วจึงถอนหายใจเฮือกยาวออกมา “อวี้เอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้อยากแต่งงาน ถ้าหากว่าเจ้ายังเด็ก แม่ก็จะไม่บังคับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าสิบแปดแล้ว อย่าไปพูดถึงตระกูลขุนนางต่างๆ ในเมืองหลวงเลย ลูกของบ้านประชาชนธรรมดาก็น้อยมากที่จะยังไม่แต่งงาน เมื่อก่อนพี่ชายของเจ้าก็คอยกดเจ้าไว้ตลอด ถ้าหากว่าไม่ได้ซ้อใหญ่ของเจ้าล่ะก็ เขาก็จะไม่ยอมแต่งงาน ตอนนี้พวกเขาแต่งงานกันแล้ว แล้วก็มีลูกแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องงานแต่งงานของเจ้าก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ติดอยู่ในใจของแม่มาตลอด ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ภายในปีนี้ งานแต่งงานของเจ้าต้องถูกกำหนดชัดเจน เมื่อถึงสิ้นปี จะต้องแต่งเข้า ปีหน้าแม่จะรอดูลูกของพวกเจ้า ยิ่งเยอะยิ่งดี”

 

 

คำพูดของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่อวี้ก็ค่อยๆ หายไป หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นปกติ แล้วพูดว่า “ลูกอกตัญญูที่ทำให้เสด็จแม่ต้องลำบาก ลูกก็ยังยืนยันคำเดิมขอรับ ทุกอย่างเสด็จแม่จัดการเลยขอรับ ลูกไม่มีความคิดเห็นใดๆ”

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจ บอกว่า “อวี้เอ๋อร์ แม่ไม่อยากแค่ให้เจ้าแต่งงานมีลูกเท่านั้น แม่ยังอยากให้เจ้าเป็นเหมือนพี่ชายซ้อใหญ่ของเจ้า หาคนที่ตนเองชอบตนเองรัก แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่ใช่จะหาใครก็ได้มายัดเยียดให้เจ้า แล้วเจ้าก็ใช้ชีวิตแบบไร้ซึ่งความสุขไปกับนางตลอดชีวิต

 

 

หวงฝู่อวี้ยิ้มเยาะตนเอง “เสด็จแม่ พี่ใหญ่กับซ้อใหญ่เปรียบเสมือนกิ่งทองกับใบหยก รักใคร่ปรองดองกันนั้นเป็นเรื่องปกติ ส่วนข้า ไม่ได้โชคดีแบบนั้นหรอกขอรับ อย่างไรเสียเสด็จแม่ช่วยข้าเลือกเถิดขอรับ ลูกรับรอง ไม่ว่าท่านแม่จะเลือกหญิงสาวแบบไหนให้กับลูก ลูกจะดูแลนางให้เป็นอย่างดี เหมือนกับที่พี่ใหญ่ดูแลซ้อใหญ่อย่างนั้น จะจับมือกับนางคนนั้นไปจนวันสุดท้ายของชีวิตขอรับ”

 

 

พระชายาฉีฟังแล้วร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงพูดความในใจออกมา “ทำไมเจ้าจะไม่มีโชคอย่างนั้นล่ะ เจ้ากับเยียนเอ๋อร์โตมาด้วยกัน ก็เป็นกิ่งทองกับใบหยกเช่นเดียวกัน ตอนนี้เจ้ายังไม่แต่ง นางก็ยังไม่ได้แต่ง ถ้าหากว่ายินยอม แม่จะบากหน้านี้ไปขอมาให้เจ้า”

 

 

หวงฝูอวี้ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ส่ายหน้า “เสด็จแม่ คุณหนูหลินนางเป็นลูกสาวคนโตของจวนราชเลขา แต่ข้าเป็นบุตรของพระสนม แค่เรื่องฐานะก็ไม่เหมาะสมแล้ว อีกทั้ง ที่ก่อนหน้านี้คุณหนูหลินยังมาเล่นที่จวนอยู่บ้าง ก็เป็นเพราะพี่ใหญ่ ดังนั้น ระหว่างพวกเราไม่ได้มีความรู้สึกต่อกันขอรับ ก็เป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น เกรงว่าเสด็จแม่จะคิดมากไปแล้วขอรับ”

 

 

ในเมื่อพูดออกมาแล้ว พระชายาฉีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป บอกว่า “ถ้าหากว่าเจ้ารู้สึกว่าฐานะไม่เหมาะสมกัน แม่ก็จะเอาเจ้าไปจดรองจากชื่อของแม่ ทีนี้เจ้าก็จะเป็นลูกของพระชายา ฐานะเท่าเทียมกันแล้ว”

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ซาบซึ้งเข้าไปใหญ่ แต่ก็ยังดึงดันไม่ยอมเหมือนเดิม “ขอบพระคุณเสด็จแม่ แต่ว่าข้าไม่ได้รู้สึกกับคุณหนูหลินแบบนั้น อย่างไรเสียก็ขอให้เสด็จแม่เลือกคนให้ข้าใหม่เถิดขอรับ”

 

 

“เจ้า…” เมื่อเห็นเขาดึงดันเช่นนี้ พระชายาฉีก็เหนื่อยใจ ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว “ในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งแม่จะไปดูดวงให้เจ้าแล้ว”

 

 

หวงฝู่อวี้โค้งคำนับถึงพื้น “ขอบพระคุณเสด็จแม่ขอรับ”

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”

 

 

หวงฝู่อวี้ตอบรับ แล้วจับจดหมายที่อยู่ในแขนเสื้อ เดินออกมาห้องที่เงียบเหงา เม้มปาด แล้วเดินกลับห้องของตนอย่างรวดเร็ว

 

 

โจวอันก็เดินมา บอกว่า “องค์ชายรอง ซื่อจื่อสั่งให้ท่านไปพบขอรับ”

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงักไปนิดหน่อย วันนี้มันวันอะไรกัน ขนาดพี่ใหญ่ยังเรียกหาเขา

 

 

ในใจนึกสงสัย แต่ก็เดินไปไม่หยุด ไม่นานก็มาถึงห้องของหวงฝู่อี้เซวียน ตะโกนเรียก “พี่ใหญ่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนออกมาว่า “เข้ามา”

 

 

หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปที่ด้านใน “พี่ใหญ่ มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”

 

 

เอากล่องที่อยู่ในโต๊ะดันไปให้เขา หวงฝู่อี้เซวียนบกว่า “วันพรุ่งหลังจากที่เจ้าไปโรงงานแล้ว ยกหน้าที่ที่เจ้าทุกอย่างไปให้กับเสี่ยวซือ วันต่อก็เริ่มไปตรวจตามร้านค้าและที่นาต่างๆ แล้ววันหลังก็ไม่ต้องไปที่โรงงานอีกแล้ว”

 

 

หวงฝู่อวี้รีบปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ข้าเคยบอกไว้แล้ว สิ่งเหล่านี้ข้าไม่ต้องการ ถ้าหากว่าเจ้าจะยัดเยียดให้ข้าล่ะก็ ข้าจะเอาโยนทิ้งเสีย”

 

 

“ใครบอกว่าจะให้เจ้า ข้าแค่เพียงให้เจ้าช่วยข้าจัดการเท่านั้น ตอนนี้ซ้อใหญ่ของเจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่สามารถทำงานหนักได้ ข้าก็ไม่ได้มีเวลาไปดูแลเรื่องพวกนี้ เสด็จแม่ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ร่างกายของท่านอ่อนแอ ก็มีเพียงแต่เจ้าที่ช่วยจัดการทุกอย่างได้ ไม่เพียงเท่านี้ รอให้เจ้าชำนาญแล้ว เรื่องในจวนก็ต้องให้เจ้าจัดการ” หวงฝู่อี้เซวียนบอก

 

 

“ความหมายของพี่ใหญ่ก็คือ ต่อไปนี้เรื่องในจวนก็ยกให้ข้าจัดการแล้วงั้นหรือ” หวงฝู่อวี้ถามลองเชิง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “แน่นอน ข้าจะต้องช่วยซ้อใหญ่ดูแลลูก จะไปมีกะจิตกะใจที่ไหนมาดูแลเรื่องพวกนี้กัน”

 

 

“ข้าไม่เห็นด้วย” หวงฝู่อวี้ปฏิเสธทันควัน “เสด็จแม่บอกแล้ว ว่าจะเลือกหญิงสาวให้ข้า วันพรุ่งก็จะไปดูดวงให้พวกเราแล้ว ถ้าหากว่าเหมาะสม ก็จะกำหนดวันแต่งงานให้กับข้า ปลายปีนี้ ข้าจะมีเวลาที่ไหนไปดูแลเรื่องพวกนี้กัน”

 

 

คิดไปคิดมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มออกมา คำพูดคำจาก็ดูสงบเย็นเหมือนลมหนาวกราวใจ แทรกลึกลงไปในหัวใจของหวงฝู่อวี้ จนเขาสั่น “โตขึ้นแล้วนะ รู้จักต่อรองกับพี่ใหญ่แล้ว”

 

 

“ไม่ใช่ๆ” หวงฝู่อวี้ตกใจจนรีบโบกมือ “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น สมบัติมากมายขนาดนี้ข้าจัดการไม่ได้จริงๆ ให้คนอื่นทำแทนเถอะขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นมา “จวนอ๋องนี้ก็เป็นของเจ้ากับอี้เซวียนสองพี่น้อง เดี๋ยวเขาก็จะต้องเข้าวัง ไม่มีเวลามาจัดการเรื่องพวกนี้ ส่วนเรื่องในจวนอ๋องก็วุ่นวายกับข้ามากเสียเหลือเกิน ส่วนเรื่องข้างนอกก็ต้องการให้เจ้าไปจัดการอยู่แล้ว แน่นอน ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะเป็นขุนน้ำขุนนางค่อยว่ากัน”

 

 

“ข้าไม่อยากเป็นขุนนางแน่นอน จุดนี้พี่ใหญ่รู้ดีแน่นอนขอรับ”

 

 

“ดังนั้น ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก็เลยจะยกหน้าที่เหล่านี้ให้กับเจ้า แบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่าพี่น้องสองคนช่วยกันดูแลจวนอ๋อง” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงักไป มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน เห็นท่าทางเห็นด้วยของเขา จึงถามว่า “พี่ใหญ่ขอรับ ไม่กลัวที่ข้าจะแอบโยกย้ายสมบัติของที่นี่อย่างนั้นหรือ” ถ้าหากว่าน้ำที่หล่อเลี้ยงจวนอ๋องนี้ไม่ได้มีแต่เงินเดือนของอ๋องฉีล่ะ แต่เป็นเพราะกรรมสิทธิ์ที่นา รายได้จากร้านรวง ถ้าหากว่าเขามีความคิดที่ไม่ควรมีขึ้นมา ยึดไปจนหมด ถึงแม้หวงฝู่อี้เซวียนจะจนทั้งชีวิต แต่ก็ไม่ยอมให้จวนอ๋องล่มสลายอย่างแน่นอน

 

 

“เจ้ากล้างั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม

 

 

หวงฝู่อวี้ส่ายหัวแทบหลุด “ไม่แน่นอน”

 

 

“แล้ว?” หวงฝู่อี้เซวียนพูด

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจ จึงถาม “แล้วอะไรหรือขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “อวี้เอ๋อร์ พี่ใหญ่ขอเจ้าหมายถึง เจ้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ถึงได้ถามคำถามเช่นนี้”

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงักไป แล้วยิ้มออกมา ตอบกลับไปว่า “พี่ใหญ่พูดผิดแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลย แล้วจะทำได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะดังขึ้นไปใหญ่

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มออกมา

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ยิ้มตาม

 

 

ภายในจวนอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

 

 

วันที่สอง หลังจากที่หวงฝู่อวี้ไปโรงงานแล้ว จึงยกหน้าที่ของตนทั้งหมดให้กับเสี่ยวซือต่อหน้าเมิ่งฉี แล้วตบบ่าของเขา “พี่ชาย นับตั้งแต่นี้ต่อไปโรงงานนี้ยกให้เจ้าดูแลแล้ว”

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่ได้มีความถือตัวว่าตนสูงส่งแต่อย่างใด โดยเฉพาะฐานะเช่นเขา เขาไม่เคยดูถูกเหยียดหยามเขาเลยสักนิด อย่าพูดถึงคนในโรงงานเลยยิ่งไม่เคยไปกันใหญ่ เสี่ยวซืออาวรณ์เป็นอย่างมาก น้ำตาไหลริน “องค์ชายรอง ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะได้พบกันอีกหรือไม่”

 

 

ตบไปที่บ่าของเขา หวงฝู่อวี้ก็อาวรณ์เช่นกัน “เจอแน่นอนสิ วันหลังถ้ามีเวลาข้าจะมาหาพวกเจ้าบ่อยๆ”

 

 

เมื่อร่ำลาเสี่ยวซือเสร็จ ก็เดินไปรอบๆ โรงงาน ไม่อยากที่จะเดินออกจากโรงงานเลย ขึ้นรถม้าไปสั่งให้คนขับกลับจวน

 

 

คนขับรถตอบรับ แล้วขับกลับไปอย่างช้าๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็หยุดรถ

 

 

หวงฝู่อวี้ที่นั่งโครงเครงอยู่ด้านบนก็ขมวดคิ้วถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”

 

 

“องค์ชายรอง ข้าหน้ามีรถม้ามาจอดขวางขอรับ” คนขับรายงาน

 

 

“ถนนก็กว้าง อ้อมไปก็สิ้นเรื่อง เหตุใดจึงหยุดเล่า” หวงฝู่อวี้พูดด้วยควาไม่พอใจ

 

 

คนขับรถรีบตอบกลับไปว่า “รถม้าคันนั้นเหมือนกับจะเป็นของจวนราชเลขา”

 

 

หวงฝู่อวี้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งว่า “อ้อมไป อย่าหยุด!”

 

 

“ขอรับ องค์ชาย” คนขับรถตอบรับ แล้วขับต่อไป กำลังจะอ้อม

 

 

แต่นึกไม่ถึงว่า เมื่อคนขับรถอีกคันหนึ่งเห็นเขากำลังจะอ้อม ก็จับเชือกฟาดลงไปเช่นกัน ม้าก็ขยับออกมา จนรถม้ามากีดขวางถนนของพวกเขา

 

 

คนขับรถหมดสิ้นหนทาง ก็หยุดลง แล้วรายงานว่า “องค์ชายรองขอรับ พวกเขาขวางทางพวกเรา พวกเราไปไม่ได้แล้วขอรับ”

 

 

หวงฝู่อวี้เปิดหน้าต่างออกมา เห็นสถานการณ์แล้ว ก็ขมวดคิ้ว สั่งคนขับรถว่า “ถอยหลัง ไปทางอื่น” พูดจบ ก็ปิดหน้าต่าง กลับไปนั่งที่เดิม ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ดูรถม้าของอีกฝั่งเลยยันตอนจบ

 

 

หลินหันเยียนที่นั่งอยู่บนรถม้า ได้ยินเสียงสถานการณ์ข้างนอก ได้ยินคำพูดของหวงฝู่อวี้ ก็เจ็บปวดยิ่งนัก กัดฟันเม้มปาก กัดเสียจนเลือดแทบไหล

 

 

คนขับรถตอบรับ แล้วลงจากกม้า จูงเชือก สั่งให้ม้าถอยหลัง

 

 

หงเอ๋อร์เห็นดังนั้น ในใจร้อนรน ตะโกนบอกไปว่า “องค์ชายรอง คุณหนูของพวกเรามีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ”