ในขณะที่กำลังร้อนรน เสียงของหงเอ๋อร์ก็ดังขึ้นอีก คนที่เดินไปมาบนท้องถนนก็ได้ยินเสียงของนาง ต่างก็เดินมาดูด้วยแปลกใจ
รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คน หงเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ว่าการกระทำของตนเมื่อครู่นั้นไม่เหมาะสม จึงรีบเดินไปห้ามรถม้าของหวงฝู่อวี้ แล้วพูดด้วยเสียงปกติว่า “องค์ชายรอง ที่คุณหนูของพวกเราทำกับท่านก่อนหน้านี้เพราะคุณหนูลำบากใจ ขอท่านอย่าถือโทษโกรธนางเลย แล้วก็ขอให้ท่านไปพบนางเสียหน่อย คุณหนูของพวกเรามีเรื่องอยากจะพูดกับท่านมากมายเลยเจ้าค่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในรถม้า
หงเอ๋อร์ใจร้อนเข้าไปใหญ่ จึงตะโกนว่า “องค์ชายรอง องค์ชายรอง?”
และแล้วก็มีจดหมายส่งออกมจากด้านในย แล้วหวงฝู่อวี้ก็บอกว่า “นี่เป็นจดหมายที่คุณหนูของเจ้า ข้าขอส่งคืนเจ้าโดยที่ข้ายังไม่แกะ แล้วก็ฝากเจ้าไปบอกนางด้วยว่าอีกไม่กี่วันก็จะกำหนดงานแต่งแล้ว เพื่อไม่ให้น่าเกลียด ก็ขอให้นางอย่ามาหาข้าอีกเลย”
หงเอ๋อร์ชะงักไป ไม่ได้ยื่นมือไปรับจดหมายนั้นมา แต่พึมพำว่า “องค์ชายรอง ท่าน…”
หวงฝู่อวี้ปล่อยมือ จดหมายฉบับนั้นก็ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น ใจของหงเอ๋อร์ก็ร่วงลงไปตามเช่นเดียวกัน อยู่กับหลินหันเยียนมาหลายปี นางรู้จักนิสัยของหวงฝู่อวี้ดี เขาเป็นพวกไร้หัวจิตหัวใจเ ป็นคนที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เก็บไว้ในใจ เมื่อก่อนแม้ว่าคุณหนูจะใช้อารมณ์ไร้เหตุผล แต่เขาก็ยังอดทนเป็นอย่างมากเพื่อเอาใจนาง แต่มาวันนี้อย่าพูดถึงเจอหน้าคุณหนูเลย ขนาดจดหมายที่คุณหนูส่งให้เขาก็ยังไม่อ่านเลย นี่หมายความว่าเขาปล่อยคุณหนูไปแล้วอย่างนั้นหรือ ต่อจากนี้จะไม่สนใจคุณหนูอีกต่อไปแล้ว
รถม้าสองคนอยู่ใกล้กัน คำพูดของหวงฝู่อวี้ หลินหันเยียนก็ได้ยินชัดเจนแล้ว เจ็บปวดหัวใจเสียเหลือเกิน จึงเปิดหน้าต่างออก แล้วตะโกนไปที่รถม้าฝั่งตรงข้ามว่า “พี่อวี้ ท่านจะใจร้ายเช่นนี้ ไม่สนใจใยดีข้าอีกต่อไปแล้วจริงหรือ”
ได้ยินเสียงคำถามที่ถามมาด้วยน้ำตา หวงฝู่อวี้ก็เจ็บปวดเช่นกัน เจ็บจนเขาต้องเอามือมาทาบที่หน้าอก นานสองนานกว่าเขาจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแน่นิ่งว่า “คุณหนูหลิน ข้าน้อยใกล้จะกำหนดงานแต่งงานแล้ว ถ้าหากว่ายังคงดึงดันกับท่านอยู่เช่นนี้ จะเป็นการไม่ดีต่อฮูหยินในอนาคตของข้า ขอท่านอย่าจงรู้สึกผิดอีกต่อไปเลย เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาก็ให้มันแล้วไป นับแต่นี้ต่อไป พวกเราเจอกันก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเถิด”
หลินหันเยียนน้ำตาไหลรินอย่างไม่ขาดสาย “พี่อวี้ ท่านโกรธที่ข้าตัดสัมพันธ์กับท่านวันนั้นใช่หรือไม่ วันนั้นข้าก็ทำอะไรมากกว่านั้น…”
“คุณหนูหลิน” หวงฝู่อวี้พูดขัด “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าลืมมันไปหมดแล้ว ขอท่านอย่าได้พูดถึงมันอีก”
คำพูดที่หลินหันเยียนจะพูดต่อก็ไม่ได้พูดอีกต่อไป อ้าปากค้างไว้ มองรถม้าฝั่งตรงข้ามทั้งน้ำตา
หวงฝู่อวี้ก็พูดอีกว่า “คุณหนูหลิน ท่านหลีกทางให้หน่อยได้หรือไม่ วันนี้ที่จวนข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการ ข้ายังต้องรีบกลับไปอีก”
หลินหันเยียนไม่ได้พูดอะไร ส่ายหน้าอย่างเดียว
ไม่ได้ยินเสียงของนาง หวงฝู่อวี้ก็ได้แต่แอบถอนหายใจ สั่งคนรถ “ไปอีกทางหนึ่ง”
คนรถตอบรับ แล้วหลบหงเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง แล้วขับไปอีกทางหนึ่งกลับไปที่จวนอ๋อง
หลินหันเยียนมองรถม้าที่จากไป ก็ล้มลงร้องไห้อยู่ในรถม้า
คนรถไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะดี
หงเอ๋อร์ก็ไม่รู้เช่นกัน จึงโค้งคำนับ แล้วรีบเก็บจดหมายที่อยู่ที่พื้นขึ้นมา เดินกลับที่ด้านข้างของรถ แล้วถามคุณหนูว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอย่าเสียใจไปเลย องค์ชายรองแค่โกรธก็เท่านั้น รอให้วันเวลาผ่านไปก็น่าจะเข้าใจ”
หลินหันเยียนเอาแต่ร้องไห้ไม่พูดจา
คนรถและหงเอ๋อร์มองหน้ากัน ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
รถม้าจอดอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน
คนที่เดินผ่านไปมาก็มองไปด้วยความสงสัย แล้วก็เดินผ่านไป
หวงฝู่อวี้ที่เลือกใช้อีกเส้นทางหนึ่งเพื่อกลับจวน ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่เคยเล่นกับหลินหันเยียนเมื่อวันวานผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย นางร้องไห้ นางหัวเราะ นางไร้เหตุผล นางซุกซน นางเย่อหยิ่ง ทุกๆ ความทรงจำต่างยังวนเวียนอยู่ในสมองของเขา ไม่สามารถลบล้างออกไปได้ ใครๆ ก็บอกว่าคุณหนูจวนราชเลขารู้หนังสือฉลาดหลักแหลม ได้ทั้งบุ๋นบู๊ เป็นตัวอย่างที่ให้กับทุกคนในเมือง มีแต่เพียงเขาที่รู้ว่า จริงๆ แล้วหลินหันเยียนก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง ตอนที่อยู่ด้วยกัน นางปีนเขาได้อย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ปีนต้นไม้อีก ภาพลักษณ์ตัวอย่างที่ดีของนางไม่มีเลยสักนิด แล้วยังชอบทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีก แล้วให้เขามารับผิดแทน ตอนนั้นนางมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะกลายมาเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน เขารู้ดีไม่ใช่แค่หลินหันเยียนที่เปลี่ยนไป ตัวเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาไม่ใช่หวงฝู่อวี้ที่ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นองค์ชายรองแห่งจวนอ๋อง มีหน้าที่รับผิดชอบจวนอ๋องไปพร้อมกับพี่ใหญ่ซื่อจื่อ เขาไม่สามารถเลือกเรื่องความรักของเขา เพื่อมาทำให้พี่ใหญ่กับซ้อใหญ่ลำบากได้ ราชเลขาหลินเป็นคนที่สูงส่ง มีอำนาจวาสนา พวกเขาไม่สามารถยอมรับลูกคนใช้อย่างข้าได้หรอก ถ้าหากรู้เรื่องตนกับหลินหันเยียนล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรหรือไม่ แล้วตัวเขาเองก็ไม่ควรที่จะสร้างความวุ่นวายให้กับจวนอ๋องอีกแล้ว
คิดมาตลอดทาง กลับมาจนถึงจวนอ๋อง เมื่อมาถึงหน้าประตู ก็ลงจากรถ จัดการอารมณ์ตัวเอง ให้ดูเหมือนกันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเดินเข้าไปด้านใน
โดยไม่รู้ว่า เรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นนั้น ถึงหูของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนมองหน้ากัน จึงขำแล้วส่ายหัว
ไม่นาน ในจวนอ๋องก็มีข่าวออกมาอีกว่า พระชายาฉีได้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมกับองค์ชายรองได้แล้ว รอให้ดูดวงเสร็จค่อยไปสู่ขอ
เลยเป็นที่ฮือฮาในเมืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่เคยมาสมัครแล้ว ต่างก็ทายกันไปว่าเป็นลูกสาวของตนหรือไม่ ชั่วพริบตาเดียว ร้านขายผ้าในเมืองก็คนเต็มร้าน ร้านผ้าไหมของเมิ่งเชี่ยนโยวก็กอบโกยจากตรงนี้ไปด้วยเช่นกัน
และแน่นอนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง บอกก่อนว่าหลังจากที่องค์ชายรองกลับมาที่จวนอ๋องแล้วนั้น ก็ไปทักทายพระชายาฉีก่อน แล้วก็บอกเรื่องที่ตนได้ออกจากการรับผิดชอบในโรงงานแล้วมาช่วยหวงฝู่อี้เซวียนจัดการเรื่องทรัพย์สินมรดกแทนให้นางฟัง
หลังจากที่พระชายาฉีฟังแล้วก็พยักหน้า ไม่ได้มีความแปลกใจแต่อย่างใด “แบบนี้ดีที่สุด นับแต่นี้ไปเรื่องน้อยใหญ่ในจวนอ๋องก็ให้พวกเจ้าสองคนจัดการ แม่และเสด็จพ่อของพวกเจ้าจะได้พักเลี้ยงหลานเสียที”
คำพูดนี้ เปรียบหวงฝู่อวี้เป็นลูกแท้ๆ ของตน ไม่มีเลยที่จะบอกว่าเขานั้นเป็นคนนอก หวงฝู่อวี้ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก และดีใจที่ตนได้เกิดมาในจวนอ๋องฉี ได้เจอกับพระชายาฉี มิเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้ตนก็น่าจะกวาดพื้นอยู่ที่หน้าประตูอยู่ก็เป็นได้
คิดได้เช่นนี้ ก็คิดว่าการที่ตนตัดสัมพันธ์กับคุณหนูหลินนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เสด็จแม่จะต้องหาผู้หญิงที่ดีพร้อมให้กับเขาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็น่าจะมีครอบครัวที่มีความสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี สุขสบายเป็นที่สุด
แต่น่าเสียดาย ความคิดของเขานั้นช่างสวยงาม แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เรื่องที่จะเกิดขึ้นจริงนภายหลังนั้น ทำให้เขาอยากตายๆ ไปให้จบๆ
หลังจากที่ออกจากจวนพระชายาฉีมา ก็เดินมาที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน อยากที่จะเข้าไปทักทายทั้งสองคนเหมือนแต่ก่อน แต่ก็นึกถึงวันนี้ที่ตนเองอารมณ์ไม่ค่อยดี ก็เลยเปลี่ยนทิศทาง กลับเรือนของตนเอง
และแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะโกนออกมา “มาถึงหน้าประตูแล้ว ยังจะไม่เข้ามาอีก หรือว่าวันนี้เจ้าทำเรื่องอะไรที่ทำให้เราสองคนไม่พอใจงั้นรึ”
ใจของหวงฝู่อวี้ก็ตุบตับขึ้นมา รีบหันหลังกลับ เดินมุ่งหน้ามาที่ห้อง เดินไปยิ้มไป บอกว่า “ซ้อใหญ่คิดมากไปแล้ว วันนี้ข้ากลับมาเร็ว ข้าคิดว่าซ้อใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ ไม่อยากรบกวนท่านน่ะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วว่ากล่าว “นี่มันกี่นยามแล้ว ข้ายังจะนอนอยู่อีกหรือ ถ้าครั้งหน้าโกหกอีกก็หาเหตุผลดีๆ หน่อย จะได้ไม่โดนข้าจับได้อีก”
หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้เถียง ยิ้มแห้งอย่างเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เงยหน้าขึ้น แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะทำความผิดมาจริงๆ ด้วย ยิ้มแบบนี้เนี่ย”
หวงฝู่อวี้รีบหุบยิ้มโดยทันที
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วบอกว่า “ทำอะไรผิดมาก็พูดออกมา อย่าให้ข้ากับซ้อใหญ่ของเจ้าบังคับ”
สายตาของหวงฝู่อวี้ลอกแลก เวลาพูดก็ติดๆ ขัดๆ “เปล่าขอรับ ข้าไม่ได้ทำอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดแล้วถามว่า “จริงรึ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “จริงๆ ข้าไม่ได้โกหกพี่ใหญ่นะขอรับ”
“ข้าเชื่อก็บ้าแล้ว เจ้าคิดอะไรอยู่ก็แสดงออกมาบนสีหน้าหมดแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรมา เจ้าจะทำเป็นแกล้งเป็นทำอย่างนั้น” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
หวงฝู่อวี้ชะงักไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก แล้วพูด “พูดเถอะ เรื่องอะไรกันแน่”
กลืนน้ำลายลงไป หวงฝู่อวี้มองตาของทั้งสองคน แล้วพูดติดๆ ขัดๆ บอกว่า “ไม่ ไม่มีอะไรขอรับ ก็แค่คุณหนูของจวนราชเลขามาขวางทางรถม้าของข้า อยากจะคุยกับข้า แต่ว่าข้าไม่ได้ตอบรับนาง เลยให้คนรถกลับรถ แล้วกลับมาอีกเส้นทางหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลยทำเป็นตกใจ “คุณหนูหลิน นางไปขวางเจ้าอีกแล้วงั้นรึ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า เพื่อไม่ให้นางเข้าใจผิด จึงอธิบายอีกว่า “ข้าไม่ได้สนใจนาง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็โกรธจนทุบโต๊ะ แล้วพูดว่า “นางนี่ก็หน้าด้านเสียเหลือเกิน เจ้าได้ปฏิเสธนางไปแล้ว นางก็ยังจะมาเว้าวอน ก่อกวนเจ้า หน้าที่นางเป็นคุณหนูผู้สูงส่งนั้นไม่เอาแล้วหรืออย่างไร”
เมื่อเห็นนางโกรธเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็เปลี่ยนสีหน้า แล้วเรียกโจวอันเข้ามา ออกคำสั่งว่า “ไป เอาเรื่องที่คุณหนูหลินทำในวันนี้ไปบอกกับราชเลขา ถามว่าเขาสอนลูกสาวของเขาอย่างไรกัน”
โจวอันไม่ทันได้ตอบรับ สีหน้าของหวงฝู่อวี้ก็เปลี่ยนไป “พี่ใหญ่ ช้าก่อน”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา หวงฝู่อวี้ก็ถอนหายใจ แล้วจึงรวบรวมความกล้าพูดขอร้องแทนหลินหันเยียน “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าได้พูดไปหมดทุกอย่างแล้ว วันหลังนางจะไม่มาหาข้าอีกแล้ว พี่อย่าได้ไปถือสาเยียน…คุณหนูหลินเลยขอรับ”
“อวี้เอ๋อร์ขอร้องแทนนางขนาดนี้ ไม่เหลือเยื่อใยกับนางจริงๆ แล้วเช่นนั้นหรือ ถ้าหากว่าจริง ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก็จะไม่ติดใจอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หงฝู่อวี้โบกมือ แล้วแก้ตัวว่า “ไม่มีๆ ข้าก็แค่เห็นแก่ที่โตมาด้วยกัน ไม่อยากทำลายชื่อเสียงของนางก็เท่านั้น ข้ารับรอง ว่านางจะไม่มาหาข้าอีก”
“หึ” หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่พอใจ “จะดีมากถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด ตอนหลังถ้าหากว่าข้ารู้ว่าเกิดเรื่องไร้มารยาทแบบนี้ขึ้นอีก ข้าจะไม่ปล่อยนางไปแน่”
ใบหน้าของหวงฝู่อวี้ก็เหงื่อตก พยักหน้าไม่หยุด “ข้ารู้แล้วขอรับ พี่ใหญ่ ข้าจะไปบอกนางเอง” พูดจบ ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ถูกต้องเท่าไร ก็รีบโบกมือ “ไม่ๆ ข้าหมายถึง นางจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว”
มองจ้องไปที่เขา หวงฝู่อี้เซวียนก็โบกมือ บอกให้โจวอันถอยไป “เสด็จแม่เลือกหญิงสาวให้เจ้าแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะไปสู่ขอ เจ้าก็ควรที่จะจัดการให้เรียบร้อย ถ้าหากว่าเกิดอะไรไม่เข้าท่าระหว่างขั้นตอนนี้ล่ะก็ ดูสิว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
หวงฝู่อวี้พยักหน้าเหมือนไก่ “ข้ารู้แล้วขอรับๆ พี่ใหญ่โปรดวางใจ ต่อแต่นี้ไปข้ากับนางไร้ซึ่งเยื่อใยต่อกัน”
เมื่อได้คำรับรองจากเขา สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงดีขึ้น
เมื่อเห็นว่านางไม่โกรธแล้ว ความโกรธของหวงฝู่อวี้ก็หายไปเช่นกัน
เมื่อหวงฝู่อวี้เห็นว่าท่าทางของทั้งสองคนเปลี่ยนไปแล้ว ก็คิดในใจ ชายที่แต่งงานแล้วผู้นี้น่ากลัวเสียจริงๆ เป็นพ่อบ้านเต็มตัวที่แท้จริง หวังว่าตนเองจะไม่ได้เป็นแบบนี้นะ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็ส่ายหัวแล้วก็ขนลุกแบบไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นท่าทางของเขา หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากถามเขา ก็มีเสียงของชิงหลวนดังขึ้นมา “นายหญิง ฮูหยินส่งจดหมายมา บอกให้ท่านกับซื่อจื่อกลับบ้านเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
ฟ้ามืดแล้ว นางก็กำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากว่าไม่เกิดเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ล่ะก็ เมิ่งชื่อไม่มีทางส่งคนมาเรียกนางแน่นอน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้อนรนขึ้นมาทันที ถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
“ข้าถามแล้ว คนที่มาส่งจดหมายบอกว่าคุณชายทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บที่กั๋วจื่อเจี้ยนเจ้าค่ะ