ได้ฟังคำพูดของชิงหลวนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งร้อนใจ รีบก้าวเท้าจะเดินออกไปข้างนอก หวงฝู่อี้เซวียนก้าวมาข้างหน้าอุ้มนางขึ้นมา แล้วรีบเดินออกไปข้างนอก สั่งหวงฝู่อวี้ว่า “เจ้าก็มาด้วย”

 

 

หวงฝู่อวี้รีบตอบรับ แล้วเดินตามอยู่ข้างหลัง

 

 

มาถึงลานบ้าน เดินไปด้วย ออกคำสั่งให้คนไปรายงานพระชายาฉีไปด้วย

 

 

ทุกคนมาถึงด้านนอกหน้าประตูจวน โจวอันเตรียมรถม้าเสร็จแล้ว วางเมิ่งเชี่ยนโยวลงไว้ในรถม้าอย่างระมัดระวัง หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว หวงฝู่อวี้ขึ้นนั่งบนรถม้าอีกคันหนึ่ง ทุกคนกลับจวนที่เมืองหนานเฉิง

 

 

มาถึงในจวนของตระกูลเมิ่ง ก็เห็นสาวใช้หลายคนถืออ่างที่มีเลือดออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวจิตตก สีหน้าไม่สู้ดีนัก

 

 

เดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง ที่แขนและต้นขาของเมิ่งเจี๋ยมีผ้าพันแผลพันอยู่ เมิ่งชิงสาหัสกว่าเขานิดหน่อย มีผ้าพันแผลพันอยู่ที่หัว มีหมอคนหนึ่งที่กำลังนั่งสั่งยาอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ

 

 

เห็นทั้งสองเข้ามา เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงน้ำตาคลอเบ้า ในขณะเดียวกันก็ร้องเรียกด้วยความเจ็บปวด “ท่านพี่ พี่เขย!”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลง ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

เมิ่งเจี๋ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเขารุมทำร้ายพวกเราสองคน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เดินไปตรงหน้าทั้งสองคน ย่อตัวลง จ้องมองที่ตาของทั้งสอง แล้วถามว่า “พวกเจ้าเสียเปรียบรึ”

 

 

ทั้งสองคนยืดตัวตรง “เปล่า พวกเราจัดการพวกเขาหมอบไปเลย”

 

 

ชำเลืองมองแผลบนหัวของเมิ่งชิง

 

 

ทันใดนั้นเมิ่งชิงก็หดตัวลง เสียงก็เบาลงด้วย “เป็นเพราะข้าประมาทไปหน่อย คิดว่าจัดการพวกเขาจนหมอบหมดแล้ว ถูกลอบโจมตีจากข้างหลัง”

 

 

ขมวดคิ้ว “ลอบโจมตี?”

 

 

เมิ่งชิงพยักหน้า

 

 

“เจ้ารู้ไหมว่าเป็นใคร” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

เมิ่งชิงมองเมิ่งเจี๋ย เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือห้ามเขา ถามทั้งสองว่า “ข้าสอนพวกเจ้าว่าอย่างไร”

 

 

ทั้งสองตอบพร้อมกันเสียงดัง “เรื่องของตัวเอง ตัวเองต้องจัดการเอง พวกเราจะสะสางความแค้นครั้งนี้ให้ได้ พวกเราจะเอาเลือดหัวของพวกเขาออกให้ได้”

 

 

หมอที่กำลังสั่งยาอยู่ได้ยินก็มือสั่น น้ำหมึกซึมไปทั่วใบสั่งยา แม้แต่ใบสั่งยาที่เขียนเสร็จแล้วก็เลอะหมด

 

 

หวงฝู่อวี้ก็อึ้งเหมือนกัน

 

 

เมิ่งฉีและภรรยาไม่ได้แปลกใจอะไร สีหน้าเฉยชามาก เมิ่งชื่อเป็นกังวล พูดปลอบว่า “โยวเอ๋อร์ ช่างมันเถอะ พวกเขาล้วนแต่เป็นลูกของเหล่าขุนนาง พวกเราไปหาเรื่องไม่ได้ เสียเปรียบหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

“ท่านแม่ เรื่องแบบนี้มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง ถ้าหากเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เงียบต่อไปแบบนี้ ครั้งหน้าพวกเขาก็จะได้คืบจะเอาศอก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ก็จะไม่มีที่ยืนในกั๋วจื่อเจี้ยน ถ้าเพราะเรื่องนี้แล้วถูกบังคับให้ลาออกจากโรงเรียน เช่นนั้นพวกเราก็ได้ไม่คุ้มเสียน่ะสิ”

 

 

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง มีข้าหนุนหลังอยู่ อย่าว่าแต่เอาเลือดหัวพวกเขาออกเลย ต่อให้จัดการพวกเขาจนเกือบตาย เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ่อร์ก็ไม่ถูกไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนหรอกขอรับ”

 

 

มือของหมอสั่นอีกแล้ว บนใบสั่งยาหมึกซึมไปทั่วอีกแล้ว ถอนหายใจแบบไร้เสียง วางพู่กันลง แล้วลุกยืนขึ้น พูดด้วยความเคารพว่า “บาดแผลบนตัวของทั้งสองคนไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ขอเพียงแค่ทำแผลให้ตรงเวลาทุกวันก็พอแล้ว วันนี้ข้าเขียนใบสั่งยาไม่ได้จริงๆ ให้คนตามไปเอายาก็แล้วกัน”

 

 

เมิ่งชื่อพยักหน้า สั่งให้เมิ่งฉีตามหมอไปเอายา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเขาไว้ สั่งให้โจวอันตามไปแทน

 

 

บาดแผลของทั้งสองเป็นบาดแผลภายนอก ในเมื่อหมอดูแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ดูละเอียดอะไร ลูบหัวของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกผู้ชาย บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ต้องไปกั๋วจื่อเจี้ยนตามปกติ ส่วนเรื่องที่จะจัดการพวกเขาอย่างไร พวกเจ้าปรึกษาหาวิธีกันเอาเอง”

 

 

วันนี้ที่ทั้งสองคนมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่น กลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะโทษตัวเอง เป็นกังวลใจตลอด ตอนนี้ได้ยินนางพูดแบบนี้ พยักหน้าด้วยความดีใจ “เข้าใจแล้วขอรับ ท่านพี่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าเหมือนกัน “ดี ตอนนี้ก็บอกข้ามาว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร”

 

 

ทั้งสองคนผลัดกันเล่าเรื่องวันนี้

 

 

เดิมทีหลังจากที่ทั้งสองเข้าสู่กั๋วจื่อเจี้ยน เหล่านักเรียนชั้นเดียวกันก็รู้ฐานะของพวกเขาอย่างเร็ว เป็นน้องชายทั้งสองขององค์หญิงชิงเหอ เป็นน้องเมียหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

พูดกันตามจริงคนที่มีฐานะแบบนี้ไม่สามารถเข้าสู่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีอะไรถึงได้เข้ามาได้ ในขณะเดียวก็ทำให้กลุ่มคนที่อึดอัดใจดูถูกเหยียดหยาม เด็กชนบทระดับนี้ก็สามารถเข้าสู่กั๋วจื่อเจี้ยนมาเรียนร่วมกับพวกเขาได้

 

 

นักเรียนในกั๋วจื่อเจี้ยน คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น ไม่เพียงแต่ไม่เห็นเขาทั้งสองคนในสายตา ยังกลั่นแกล้งให้ทั้งสองอับอายอยู่บ่อยๆ

 

 

ทั้งสองคนอดทนมาตลอด เพราะคิดว่าทำแบบนี้จะสามารถยุติความขัดแย้งได้

 

 

ไม่คิดว่าพวกเขาจะคิดว่าทั้งสองนั้นอ่อนแอให้กลั่นแกล้งได้ แทนที่จะหยุดกลับยิ่งหนักขึ้น เพื่อที่จะไม่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดือดร้อน ทั้งสองอดทนแล้วอดทนอีก จนมาถึงวันนี้ กั๋วจื่อเจี้ยนจัดการประเมินผล เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงได้ที่หนึ่งมาในวิชาเรียนและการขี่ม้ายิงธนู มีบางคนคิดว่าถูกเด็กที่มาจากชนบททั้งสองคนหักหน้า เหมือนเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ก็เลยอาศัยตอนที่เลิกเรียนกั๋วจื่อเจี้ยน รวมตัวกันสิบกว่าคนรุมทำร้ายพวกเขาทั้งสองคน โชคดีที่ทั้งสองคนมีทักษะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าจะเข้ามาเรียงตัว แต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม

 

 

จากคำพูดที่เล่ามาของพวกเขา คนในห้องฟังเข้าใจแล้ว ก็คือพวกลูกหลานตระกูลขุนนางดูถูกทั้งสองคน ถึงได้ตั้งใจหาเรื่องกลั่นแกล้งพวกเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “พี่จะบอกพวกเจ้าให้ว่าจะจัดการกับคนแบบนี้ก็ต้องเอาให้อยู่ในครั้งเดียว ทำให้พวกเขาไม่กล้ามีความคิดที่จะมาทำร้ายพวกเจ้าอีก”

 

 

ทั้งสองคนพูดเสียงดังพร้อมกันว่า “เข้าใจแล้วขอรับ ท่านพี่”

 

 

เมิ่งชื่อยังคงเป็นกังวล พูดปราม “โยวเอ๋อร์ แบบนี้ไม่น่าดีนะ เด็กพวกนี้มีฐานะสูงศักดิ์ พวกเราทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าหากว่าทำร้ายพวกเขา เช่นนั้นผลที่ตามมา……”

 

 

“ท่านแม่ พวกเขาเป็นคน พวกเราก็เป็นคนเหมือนกัน ข้าคิดมาตลอดว่าใครไม่ทำข้า ข้าก็ไม่ทำใคร ถ้าหากว่าใครทำข้า ข้าก็ต้องตอบโต้กลับอย่างสาสม เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์มีนิสัยอย่างไร พวกเราก็รู้ พวกเขาทั้งสองคนไม่มีทางอยู่ดีๆ ก็ไปหาเรื่องคนอื่น ถ้าหากว่าพวกเราอดทนต่อไปอีก ทำให้พวกเขายิ่งดูถูก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

เมิ่งฉีพูดเสริม “ข้าคิดว่าน้องสาวพูดถูก เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เพิ่งจะเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนได้ไม่เท่าไหร่ ก็ถูกรังแก ถ้าหากว่าต้องอดทนไปอีกนานล่ะก็ คงจะถูกคนรังแกกดหัวจนโงหัวไม่ขึ้นแน่”

 

 

“แต่ แต่ฐานะของพวกเรา……” เมิ่งชื่อยังคงไม่เห็นด้วย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกนาง “ท่านแม่ อี้เซวียนคือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง ก็ถ้าเห็นแก่หน้าคนอื่น พวกเขาก็ไม่ควรลงมือหนักเช่นนี้ ในเมื่อพวกเขาทำแบบนี้ ต้องมีแผนการเบื้องหลังแน่นอน ถึงแม้ว่าเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงจะกล้ำกลืนฝืนทน พวกเขาก็ไม่ปล่อยไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราจะต้องให้อภัยด้วย”

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว

 

 

เมิ่งชื่อไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว แต่เห็นว่าเมิ่งฉีและหวงฝู่อี้เซวียนต่างก็ไม่คัดค้าน ถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก “คำพูดซับซ้อนแบบนี้ แม่ไม่เข้าใจหรอก แม่รู้แต่ว่าควรจะทำให้ความขัดแย้งหมดสิ้นไป ไม่ใช่ทำให้มันยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้น ถ้าหากว่าเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์แก้แค้นขึ้นมาจริงๆ จะไม่ทำให้คนตระกูลนั้นโกรธเอาหรือ และไม่เป็นผลดีต่อเซวียนเอ๋อร์”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนปลอบนาง “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งชื่อไม่พูดอะไรอีก ขยี้ตาที่แดงนิดหน่อย “แม่ไม่ยุ่งแล้ว พวกเจ้าจัดการกันเอาเองเถอะ จำไว้ว่าอย่าทำอะไรที่มันเกินเหตุ”

 

 

เสียงหลายคนตอบรับ

 

 

ยังไม่ถึงเวลามื้อเย็น เมิ่งฉีนำเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไปพักผ่อนที่ห้องของพวกเขาครู่หนึ่ง ซุนเชี่ยนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยกับนางเหอซื่อ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูด “ท่านแม่ ข้าออกไปข้างนอกเสียหน่อย ให้โยวเอ๋อร์ดูแลท่าน หลังจากครึ่งชั่วยามข้าค่อยกลับมานะขอรับ”

 

 

เมิ่งชื่อพยักหน้า “ได้ รีบไปรีบกลับ จะรอเจ้ากลับมากินข้าว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ ส่งสายตาให้หวงฝู่อวี้ รีบเดินออกมา

 

 

หวงฝู่อวี้ก็รีบตามออกมา

 

 

ทั้งสองออกจากประตูใหญ่ ขึ้นนั่งบนรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไปตงกง”

 

 

โจวอันตามไปหยิบยายังไม่กลับมา คนที่ขี่รถม้าเป็นเพียงแค่คนขี่รถม้าธรรมดาในจวน ถูกความเย็นชาในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนทำให้ตกใจกลัว ตอบกลับเสียงสั่น รีบขี่รถม้าไปยังตงกง

 

 

หวงฝู่อวี้เดินอยู่ด้านข้างของหวงฝู่อี้เซวียน รับรู้ได้ถึงความโกรธจากตัวเขา ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นเช่นนี้ แต่เขาไม่ได้ถามอะไรมาก

 

 

ทหารองครักษ์ในตงกงเคารพและยำเกรงหวงฝู่อี้เซวียนมาก แม้แต่ซักถามก็ไม่มี ปล่อยให้ทั้งสองเข้าไป

 

 

ตรงมาถึงตำหนักของหวงฝู่ซวิ่น ไม่รอคนใช้รายงาน หวงฝู่อี้เซวียนพาหวงฝู่อวี้ฝ่าเข้าไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น

 

 

คนที่รอดูแลอยู่ทั้งในและนอกห้องต่างตัวสั่นเมื่อเห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่ซวิ่นที่กำลังอยู่บนเตียงกินขนมที่สาวใช้ป้อนให้อย่างสบายอกสบายใจเห็นหวงฝู่อี้เซวียนพุ่งเข้ามา ตกใจจนสำลักขนม ไออย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง หน้าแดง มองเขาด้วยความตื่นตัว “เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้เจ้าสักนิด”

 

 

มองผู้คนในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจ ดึงเสื้อเขาอยู่ข้างหลัง เตือนเขาว่าต้องทำความเคารพ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับเลยสักนิด

 

 

หวงฝู่อี้ซวิ่นกลืนน้ำลายแล้วโบกมือ เป็นการบอกให้คนในห้องออกไป

 

 

หวงฝู่อวี้รีบทำความเคารพเขา “คารวะไท่จื่อ”

 

 

“น้องอวี้ เจ้าไม่ใช่คนนนอก ไม่ต้องทำตามประเพณีหรอก” หวงฝู่ซวิ่นยิ้มตาหยีแล้วพูด

 

 

หวงฝู่ซวิ่นไม่เคยพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน หวงฝู่อวี้รู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัว ขออภัย แล้วยืนตัวตรงอยู่ข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่ซวิ่นพูดอีกว่า “น้องอวี้ ไม่ต้องเขิน นั่งลงเถอะ เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่ได้เจอกันนาน ใช้โอกาสว่างวันนี้มาคุยกันหน่อย”

 

 

คำพูดนี้ ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนถูกเมิน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองมา รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่ซวิ่นหายไป รีบอธิบาย “เป็นครั้งแรกที่เห็นน้องอวี้มาหาข้า ข้าก็อยากจะต้อนรับเขาให้ดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง”

 

 

เขาพูดจบ หวงฝู่อวี้เกือบจะเซลงกับพื้น คาดไม่ถึงว่าไท่จื่อจะพูดจาเอาใจพี่ชายตัวเอง นี่มันคาดไม่ถึงจริงๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งขึ้น “วันนี้น้องชายของข้าทั้งสองคนถูกรังแก”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบไปครู่หนึ่ง “น้องชายทั้งสองของเจ้าอะไร เจ้าไม่ได้มีน้องอวี้……” พูดถึงตรงนี้ ถึงคิดได้ในทันที น้องเมียอีกสองคนของเขาก็ถูกเขาเรียกว่าน้องชาย พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งให้ทำ เจ้าทำสีหน้าแบบนี้ให้ใครดู”

 

 

“พวกเขาเป็นน้องชายของข้า เป็นเจ้าที่วางแผนให้เข้าไป แบบนี้แล้วยังมีคนกล้ารังแกพวกเขา เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่รึ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

หวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้ว เก็บท่าทีที่ล้อเล่น ถามกลับว่า “ความหมายของเจ้าคือมีคนบงการอยู่เบื้องหลังรึ”

 

 

“ไม่ใช่หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับ

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโดนตอกหน้าหงาย จ้องเขาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือไง จนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครรายงานเรื่องนี้ให้กับข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น”

 

 

“ตอนนี้ยังไม่เย็น ข้ารอเจ้าสิบห้านาที”

 

 

คำพูดกระชับได้ใจความ หวงฝู่ซวิ่นกลับเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร สั่งคนด้านนอก “ไปสืบมา”

 

 

มีคนขานรับ แล้วถอยไป

 

 

รอเป็นเวลานาน หวงฝู่อี้เซวียนก็เลยถามว่า “หัวเข่าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

 

 

เขาไม่ถามยังดีกว่า คำถามของเขาทำให้หวงฝู่ซวิ่นจำความแค้นได้แม่น ด่าออกมาอย่างไม่เกรงใจในทันที “เจ้าคนใจดำ ในมือมียา แต่กลับไม่ให้ข้า ทำให้ข้าปวดไปทั้งคืน เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกรึ”

 

 

“ภรรยาของข้าปรุงยาเกือบทั้งคืน ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าเจ้าเป็นแบบนี้ ข้ายอมส่งให้หมอหลวงเจียงดีกว่า ไม่ให้เจ้าหรอก” หวงฝู่อี้เซวียนโกหกหน้าตาย

 

 

“เจ้า……” หวงฝู่ซวิ่นโดนตอกหน้าหงาย โต้กลับทันที “โกหกใครกัน ท่าทางอย่างเมียของเจ้าน่ะรึ เจ้าจะยอมให้ซื่อจื่อเฟยของเจ้าปรุงยาเกือบทั้งคืนให้ข้าได้อย่างนั้นหรือ”

 

 

“ในใจข้า พี่ใหญ่สำคัญที่สุดมาตลอด ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ครั้งหน้าข้าไม่สนใจเจ้าเสียดีกว่า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดไม่ช้าไม่เร็ว

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโดนตอกกลับจนพูดไม่ออก

 

 

ด้านนอกมีเสียงรายงานดังเข้ามา “เรียนไท่จื่อ สืบความมาแล้วขอรับ”