ตอนที่ 684
หมดทุกข์
“เชินหวู…..ทำไมคนถึงเยอะนัก”เสียงแหบๆของมังกรเขียวดังขึ้นขณะมันกำลังลืมตาตื่นในรอบหลายวัน สังขารของมันใกล้โรยราเต็มที นี่อาจจะเป็นการตื่นครั้งสุดท้ายของมันเลยก็เป็นได้
“ท่านปู่…คนเหล่านี้คือญาติห่างๆของพวกเราจากทางเหนือ พวกมันมาที่นี่เพื่อร่วมส่งท่านขอรับ”หวังเชินหวูตอบพลางบอกให้ไป๋จูเหวินเข้าไปพบปู่มังกรด้วยคน
“ยินดีที่ได้พบขอรับ ข้ามีนามว่าไป๋จูเหวิน เป็นบุตรชายของหวังเย่หลิงขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางประสานมือคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม จากการทำนายของจูล่งวันนี้จะเป็นวันที่อสูรมังกรเขียวตนนี้หมดอายุขัย นับว่านี่เป็นการลืมตาตื่นด้วยพลังเฮือกสุดท้ายแล้วจริงๆ
“หวังเย่หลิง……”มังกรเขียวพูดพลางมองไป๋จูเหวินนิ่ง ในตระกูลหวังไม่มีใครรู้จักหวังเย่หลิงเลยแม้แต่คนเดียว นั่นหมายความว่ามารดาของไป๋จูเหวินนั้นไม่ได้เกิดที่นี่ แต่บนใบหน้าของไป๋จูเหวินนั้นก็มีบางสิ่งที่เหมือนกับคนของตระกูลหวังรุ่นก่อนๆทำให้มังกรเขียวเชื่อว่าไป๋จูเหวินต้องเป็นลูกหลานคนหนึ่งของตระกูลหวังอย่างแน่นอน
“ดีจริงๆที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ลูกหลานตระกูลหวังอยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้”มังกรเขียวยิ้มพลางมองไปรอบๆ ทั้งคนตระกูลหวังและคนของตระกูลไป๋ต่างอยู่ที่นี่กันหมดยกเว้นเพียงหวังเย่หลิงที่ใช้พลังของบ่อน้ำในแดนลับแลจนไม่สามารถออกมาจากเขตบ่อน้ำได้เท่านั้น
“ท่านปู่ ขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง”หวังโจวชูที่หายไปนานเดินเข้ามาหาปู่มังกรเขียวช้าๆ ในการลืมตาตื่นครั้งก่อนของท่านบอกว่าอยากจะเห็นหน้าหวังโจวชูอีกสักครั้ง บัดนี้ความหวังของมันได้เป็นจริงแล้วไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
“ดีแล้ว เจ้าปลอดภัยข้าก็เบาใจแล้ว เจ้าชอบออกไปซนข้างนอกอยู่เรื่อย เหมือนตอนเด็กไม่มีผิด”มังกรเขียวว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ แม้ตอนนี้ทุกคนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่มังกรเขียวก็ได้เห็นช่วงวัยเด็กของตระกูลหวังทุกคนที่อยู่ที่นี่มาก่อน ในสายตามันทุกคนแทบไม่ต่างจากลูกหลานตัวน้อยของตนเองเลย
“จริงสิขอรับ ท่านปู่ข้ามีภรรยาแล้วนะขอรับ แล้วก็มีบุตรสาวที่กล้าหาญมากคนหนึ่งด้วย”หวังโจวชูว่าพลางพาเซี่ยจินเย่กับเซี่ยหลิงซูเข้ามาแนะนำตัวกับปู่มังกรเขียว
“หึหึ….ครอบครัวใหญ่ขึ้นอีกแล้วสินะ น่าเสียดายจริงๆที่ข้าไม่เหลือเวลาอยู่ดูแล้ว”ปู่มังกรเขียวหัวเราะออกมาด้วยท่าทีใจดี แม้จะเป็นมังกรแต่ดวงตาของท่านก็เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความรักที่มีให้ตระกูลหวังนั้นมากมายท่วมท้นจริงๆ
“ท่านปู่….”หวังโจวชูมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทีไม่เชื่อสายตาก่อนที่มันจะก้มหน้าลงช้าๆด้วยความเศร้า เมื่อถึงจุดหนึ่งทุกคนก็จะสัมผัสได้ว่าเวลาใกล้จะหมดแล้ว
“แต่ข้าไม่อยู่แล้วเขตอสูรแห่งนี้คงจะสูญสลาย พวกเจ้าคงต้องหาที่อยู่ใหม่สินะ”มังกรเขียวถามพลางมองไปทางเหล่าอสูรระดับสูงที่อยู่ด้านหลัง แม้จะไม่ทราบว่าอสูรเหล่านั้นมาได้อย่างไร แต่หากมีอสูรเหล่านั้นคอยปกป้องก็คงไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้วกระมัง
“ที่อาณาจักรของข้ามีเขตอสูรที่ตระกูลไป๋อาศัยอยู่ขอรับ หากไม่รังเกียจตระกูลหวังก็สามารถไปอยู่อาศัยร่วมกันได้ขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปทางหวังเชินหวูด้วยท่าทีเป็นมิตร เขตอสูรผาไร้ก้นนั้นกว้างใหญ่มากแค่ให้ตระกูลหวังไปอยู่อาศัยย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
“งั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็เบาใจ”มังกรเขียวตอบรับด้วยท่าทีโล่งใจ นี่คือความกังวลเดียวที่มังกรเขียวเหลืออยู่ หากไป๋จูเหวินรับปากเช่นนี้มันก็ไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว
“ท่านปู่…..”หวังเชินหวูที่อยู่ใกล้ที่สุดชะงักไปทันทีเมื่อเห็นร่างของมังกรเขียวค่อยๆสลายทีละน้อย แม้จะทราบดีว่าเวลาใกล้เข้ามาแล้ว แต่เมื่อมันมาถึงก็ไม่มีใครรับได้อยู่ดี
“พวกเจ้า….เข้ามาใกล้ๆข้าหน่อย”มังกรเขียวยิ้มออกมาพลางมองเหล่าลูกหลานตระกูลหวังด้วยใบหน้าอ่อนโยน ตอนนี้สายตามันมองอะไรไม่ค่อยเห็นแล้ว อยากให้พวกลูกหลานเข้ามาใกล้ๆมากกว่า
“ท่านปู่…”พอเข้ามาใกล้คนอื่นๆต่างก็เห็นเช่นกันว่าร่างของท่านกำลังจะสลายหายไปแล้วทำเอาลูกหลานตระกูลหวังต่างพากันหลั่งน้ำตาออกมาอย่างสุดกลั้น แม้แต่คนของตระกูลไป๋และอสูรที่ไม่เคยรู้จักอสูรมังกรเขียวเลยยังสัมผัสได้ถึงความหดหู่ของบรรยากาศและเศร้าไปด้วย
“พวกเราลูกหลานตระกูลหวังขอน้อมส่งท่านปู่มังกรเขียว”หวังเชินหวูตะโกนก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพปู่มังกรเขียวเป็นครั้งสุดท้าย
“น้อมส่งท่านปู่”เหล่าบุตรหลานตระกูลหวังต่างคุกเข่าลงเช่นเดียวกัน แม้จะอยากหยุดเวลาเอาไว้เท่าไหร่ตระกูลหวังก็คงทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องส่งท่านปู่มังกรเขียวจนกระทั่งร่างของท่านสลายไปจนหมด
แน่นอนว่าบรรยากาศหลังจากนั้นย่อมเป็นเสียงร้องไห้ของเหล่าบุตรหลานตระกูลหวังที่เสียครอบครัวไป ความเสียใจนี้คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะรับมือกันได้
“ท่านไป๋จูเหวิน ขอบคุณพวกท่านมากที่มาร่วมส่งท่านปู่ ท่านคงหมดห่วงแล้วจริงๆ”หวังเชินหวูว่าพลางเดินเข้ามาหาไป๋จูเหวินหลังจากปลอบใจภรรยาของมันแล้ว
“ด้วยความยินดี”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีอ่อนโยน ตระกูลหวังยังโชคดีที่ได้ทำใจมาก่อน ไม่อย่างนั้นบรรยากาศในวันนี้คงเศร้าเสียใจและผิดหวังมากกว่านี้เป็นแน่
“ส่วนเรื่องเขตอสูรที่ท่านพูดถึง…. คืนนี้ข้าจะไปถามรายละเอียดอีกครั้งขอรับ”หวังเชินหวูว่าพลางขอตัวไปจัดการเรื่องในตระกูลก่อน ตอนนี้คงต้องอยู่ปลอบใจเหล่าญาติพี่น้องกันเสียก่อนถึงค่อยคุยเรื่องย้ายไปเขตอสูรผาไร้ก้น
.
.
“หลินเฟย…เจ้ามานั่งตรงนี้”หลังจากแยกย้ายกันกลับที่พัก คนตระกูลไป๋ก็มารวมตัวกันที่บ้านของหวังเชินหวูกันพร้อมหน้า
“ขะ ขอรับ….”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางเดินเข้าไปหาท่านตาด้วยท่าทีหนาวๆร้อนๆถึงจะอ้างความจำเป็น แต่หลินเฟยก็แหกกฎแล้วไปอยู่กับไป๋จูล่งพักใหญ่เลย
“จูล่งเล่าให้ตาฟังแล้ว ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดจะมีที่มาจากเจ้าสินะ”ไป๋จูเหวินถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าแค่หลินเฟยลงมาอยู่ทางใต้ปีกว่าๆก็เกิดเรื่องตั้งมากมาย หากหลินเฟยไม่พบเซี่ยจินเย่เข้า นางก็ไม่มีทางไปสอบถามถึงอาณาจักรไป๋ และไป๋จูเหวินก็ไม่ส่งจูล่งลงมาทางใต้จนโดนต้นตระกูลซาราบังคับจิตใจเอา และหากไม่ใช่เพราะหลินเฟยก็ไม่มีทางได้พบตระกูลหวังที่ซ่อนตัวอยู่แน่
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ขอรับ”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมาเพราะตัวมันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีเรื่องมากมายเช่นนี้
“เช่นนั้นก็…บทลงโทษของเจ้าถือว่าสิ้นสุดตรงนี้”ได้ยินท่านตาพูดแบบนั้น หลินเฟยก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
“ทำไมล่ะขอรับ”หลินเฟยถามเพราะไม่อยากเชื่อหูตนเอง ไม่ใช่ว่าตนเองพาเรื่องยุ่งๆเข้ามางั้นหรือ แล้วทำไมผลสรุปถึงออกมาเป็นแบบนั้นกัน
“เพราะเจ้า จูล่งก็เลยไม่ต้องโดนพวกซาราสั่งให้ยึดอาณาจักรต่างๆ เรียกได้ว่าหกอาณาจักรปลอดภัยได้เพราะเจ้า แถมเจ้ายังพิสูจน์แล้วด้วยว่าเจ้าสำนึกผิดจริงและไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเลยตลอดปีที่ผ่านมา”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาหลินเฟยช้าๆก่อนจะลูบหัวมันอย่างเอ็นดู เท่านี้ก็ไม่ต้องทำตัวห่างเหินกันแล้ว
“แล้วข้าก็ทนชิวซุยกับแม่ของเจ้ามาขอร้องไม่ไหวแล้ว”ไป๋จูเหวินตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ แม้จะเข้มงวดกับการลงโทษแต่ไป๋หลินก็พยายามหาทางลดโทษให้บุตรชายอยู่ตลอด ยิ่งชิวซุยยิ่งแล้วใหญ่นางไม่สนเรื่องความถูกต้องด้วยซ้ำนางเล่นอ้อนไป๋จูเหวินเอาดื้อๆทุกครั้งที่มีโอกาสเสียด้วยซ้ำ
“แบบนั้น….คงลำบากแย่เลยนะขอรับ”หลินเฟยหัวเราะเจื่อนๆออกมาพลางมองไปทางน้องสาวของตนเอง ก็นางถึงขั้นหนีออกมาหาหลินเฟยด้วยตัวเองแถมยังขอร้องจนมาร่วมวันเกิดของหลินเฟยจนได้ แสดงว่านางคงเซ้าซี้ท่านตาอยู่นานทีเดียว
“เท่านี้เจ้าก็ใช้ชื่อตระกูลไป๋ได้แล้วนะ”ไป๋หลินว่าพลางเดินเข้ามากอดบุตรชายเอาไว้แน่น ตั้งหนึ่งปีเชียวนะที่นางไม่ได้กอดบุตรชายแบบนี้ แม้ภายนอกจะทำเป็นเข้มแข็งไม่ยอมผ่อนปรน แต่สุดท้ายนางก็พยายามหาทางช่วยหลินเฟยอยู่ดี
“ขอรับ….”หลินเฟยตอบพลางกอดมารดาของตนเองกลับ
“ทำได้ดีมาก”ชิงชิวบิดาของหลินเฟยจับไปที่บ่าของหลินเฟยด้วยใบหน้าอ่อนโยน เห็นบุตรชายเติบโตขึ้นเช่นนี้บิดาอย่างมันก็ย่อมยินดีเป็นธรรมดา
.
.
“น้องเซี่ย เจ้ามาทำอะไรตรงนี้งั้นเหรอ”อีกด้านหนึ่งทางฝั่งหวังกุ้ยฉิน ระหว่างนางกำลังเดินกลับไปที่ห้องของตนเองในช่วงค่ำนางก็พบเซี่ยจินเย่ออกมานั่งที่สวนหน้าห้องของหวังโจวชูเสียอย่างนั้น
“พี่กุ้ยฉิน….ข้าไม่อยากรบกวนท่านพ่อกับท่านแม่เจ้าค่ะ ก็เลยออกมานั่งเล่นข้างนอก”เซี่ยจินเย่ตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา ตอนนี้ตระกูลหวังกำลังเศร้าเสียใจ แน่นอนว่าบิดาของนางหวังโจวชูก็เช่นกัน ยามนี้เป็นหน้าที่ของเซี่ยหลิงซูมารดาของนางทำหน้าที่ปลอบใจสามี เซี่ยจินเย่เลยแอบออกมานั่งเล่นข้างนอก
“ท่านไม่เป็นไรแล้วหรือเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ถามพลางมองหวังกุ้ยฉินที่เดินเข้ามานั่งข้างๆตนเอง อย่างที่บอกตระกูลหวังเศร้าเสียใจกันมาก และหวังกุ้ยฉินก็เป็นคนหนึ่งที่ร้องไห้ออกมาตอนท่านปู่มังกรเขียวจากไปเสียด้วย
“พวกเราทำใจกันมานานแล้ว ก็เลยกลับมาเป็นปกติได้เร็ว แล้วเจ้าล่ะกำลังกังวลเรื่องอะไร”หวังกุ้ยฉินถามพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีรู้ทัน ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากเป็นก้างขวางคอเท่านั้นหรอกที่ทำให้เซี่ยจินเย่ออกมานั่งตรงนี้
“เรื่องนั้น…..”แน่นอนว่าเซี่ยจินเย่ที่ไม่ได้รู้จักปู่มังกรมาแต่แรกไม่ได้เศร้าเสียใจเท่าตระกูลหวังหรอก สิ่งที่นางกังวลอยู่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่หลินเฟยกังวลอยู่นั่นล่ะ
“ท่านคิดว่าการที่ญาติกันเองจะแต่งงานกันเป็นเรื่องแปลกหรือเปล่าเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ถามด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“พูดอะไรของเจ้า ตระกูลหวังอยู่ในหุบเขามานานหลายพันปี เจ้าคิดว่าพวกเรามีสายเลือดอื่นให้แต่งงานกันด้วยหรือไง”หวังกุ้ยฉินว่าพลางกะพริบตาปริบๆ เรื่องแต่งงานกันในเครือญาติสำหรับตระกูลหวังแล้วเป็นเรื่องปกติมาก การที่เซี่ยจินเย่บอกว่าแปลกหรือไม่ต่างหากเป็นเรื่องแปลกสำหรับหวังกุ้ยฉิน
“เอ๊ะ….แล้วถ้าศิษย์กับอาจารย์ล่ะเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ได้ยินเช่นนั้นก็เผลอถามคำถามอีกข้อไปทันที เรื่องนี้ก็คาใจนางเช่นเดียวกัน
“เจ้านี่แปลก สำนักต่างๆไม่ได้รับศิษย์หญิงอยู่แล้ว จะไปมีกฎห้ามศิษย์อาจารย์แต่งงานกันเองได้ไงกัน”