ศิษย์วิหารหยกวิญญาณได้ตัดสินใจที่จะติดตามประมุขของพวกเขา แม้ว่าประมุขวิหารหยกวิญญาณจะรู้สึกซาบซึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายและรีบจัดการให้ศิษย์ของเขากระจายข่าวไปยังดินแดนทั้งหมดที่เคยถูกสิบสองวิหารครอบครองในอดีต
“ท่านประมุข ท่านวางแผนอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” หญิงสาวสวมหน้ากากไม่เข้าใจ ข่าวที่ประมุขวิหารหยกวิญญาณอยากให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกระจายออกไปก็คือ ครูของสำนักธาราเมฆถูกจับ นางไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
ประมุขวิหารหยกวิญญาณตอบว่า “เก้าอารามกับสิบสองวิหารคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นจากงานชุมนุมเทพยุทธ์มาช้านาน ศิษย์ทุกคนที่ได้รับคัดเลือกจะถูกส่งเข้าสำนักธาราเมฆเพื่อฝึกฝนต่อไป และจะถูกปล่อยออกมาเมื่อคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานแล้วเท่านั้น เจ้าอย่าดูถูกพลังของคนเหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อกลุ่มอำนาจต่างๆ แต่พวกเขาก็มาจากสำนักธาราเมฆกันทั้งนั้น พลังที่พวกเขามีถูกขัดเกลาโดยสำนักธาราเมฆ พูดกันว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวันก็เท่ากับเป็นพ่อไปชั่วชีวิต! แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าข่าวนี้จะทำให้มากันสักกี่คน แต่ถึงจะมีแค่ไม่กี่คนที่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่ในใจ พวกเขาก็ยังเป็นกำลังเสริมให้ได้อีกเล็กน้อย”
สำหรับการตัดสินใจนั้น ประมุขวิหารหยกวิญญาณไม่มีทางเลือกมากนัก พวกเขามีเวลาแค่ 5 วันซึ่งมันสั้นเกินไป กองทัพที่จวินอู๋เสียมีอยู่ก่อนหน้านี้ได้หายไปจากสายตาของทุกคนตั้งแต่งานประชุมสุดยอดสิบสองวิหาร นางได้รับข่าวทันทีที่กลับมา เกรงว่านางคงไม่มีเวลาพอที่จะเรียกกำลังเสริม
“เราไม่รู้ว่า……จะมีคนมาสักกี่คน……” ประมุขวิหารหยกวิญญาณรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นรัวด้วยความกังวล
…………. novel-lucky
บ่ายวันนั้น จวินอู๋เสียไปดูเทียนเจ๋ออีกครั้ง ตอนรักษาอาการบาดเจ็บของเทียนเจ๋อครั้งที่แล้ว นางได้ทิ้งยาเอาไว้จำนวนมาก และขอให้เสวี่ยเอ๋อร์ช่วยดูแลเทียนเจ๋อแทนนาง
“จวินเสีย! เจ้ากำลังจะไปที่ภูเขาฝูเหยาหรือ?” เทียนเจ๋อเห็นว่าจวินอู๋เสียกำลังเตรียมสิ่งต่างๆก่อนที่นางจะออกเดินทาง ก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้ เขาพยายามจะลุกขึ้นโดยไม่สนใจบาดแผลบนร่าง
นั่นทำให้เสวี่ยเอ๋อร์รีบกระโดดเข้ามาด้านข้างเพื่อช่วยเขา
“ท่าน……ท่านไม่ควรขยับตัวมาก……ไม่งั้นแผลจะปริอีกนะ” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงกังวล
แต่เทียนเจ๋อไม่สนใจตัวเอง เขามองไปที่จวินอู๋เสียซึ่งเดินไปถึงประตูแล้ว “ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย!”
จวินอู๋เสียชะงัก แล้วหันกลับมามองเทียนเจ๋อที่พยายามอย่างหนักเพื่อจะลุกขึ้น ก่อนที่นางจะส่ายหน้าช้าๆ
“อาจารย์อาต้องพักรักษาตัวให้ดี ข้าจะช่วยอาจารย์เอง อาจารย์อาไม่ต้องกังวล”
เทียนเจ๋อจะฟังนางได้อย่างไร เขาฝืนเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปหาจวินอู๋เสีย และจับข้อมือนาง ดวงตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยว พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปกับเจ้า” หลังรอดจากความตายมาได้ จิตใจของเทียนเจ๋อก็นิ่งสงบขึ้น
มีศัตรูที่ร้ายกาจอย่างเก้าอารามอยู่ตรงหน้า พวกจวินอู๋เสียจะยืนหยัดสู้กับพวกนั้นได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่บอกเรื่องนี้กับนาง จวินอู๋เสียก็คงไม่รู้ และนางก็คงไม่เอาตัวเองเข้าสู่วิกฤตเช่นนี้ เทียนเจ๋อรู้ดีว่าเก้าอารามแข็งแกร่งเพียงใด แล้วจะให้เขาอยู่เฉยๆดูจวินอู๋เสียไปสู้กับเก้าอารามเพียงลำพังได้อย่างไร?
จวินอู๋เสียดึงมือเทียนเจ๋อออก และพูดอย่างเฉยเมยว่า “อาจารย์อา สภาพของท่านตอนนี้ อย่าว่าแต่จะช่วยเลย เกรงว่าพอเราไปถึงภูเขาฝูเหยา ข้าจะต้องมาคอยห่วงหน้าพะวงหลังดูแลท่านอีก”
เทียนเจ๋อตัวสั่นสะท้าน ดวงตาฉายแววสิ้นหวังและโศกเศร้า
คำพูดของจวินอู๋เสียฟังดูใจร้ายใจดำ แต่มันก็ได้เผยความจริงออกมาตรงหน้าเทียนเจ๋อ เทียนเจ๋อมองร่างกายที่บาดเจ็บและน่าสังเวชของตัวเอง แล้วรู้สึกเจ็บใจ
ใช่แล้ว สภาพของเขาตอนนี้ แค่เดินยังลำบาก แล้วเขาจะไปร่วมต่อสู้ได้อย่างไร?
ต่อให้ลากสังขารไปถึงภูเขาฝูเหยาได้ เขาก็ทำได้แค่เพิ่มภาระให้กับจวินอู๋เสียเท่านั้น