“ข้า……เป็นภาระจริงๆ” เสียงของเทียนเจ๋อแหบแห้งแฝงไว้ด้วยความขมขื่นอย่างมากมาย ครูเทียนเจ๋อแห่งสำนักธาราเมฆผู้มีรูปร่างสูงใหญ่องอาจผึ่งผายในอดีตกลายสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว ไร้ประโยชน์ไม่ต่างจากเศษขยะ ขนาดเขายังดูถูกตัวเองเลย
จวินอู๋เสียมองลงมา แต่ไม่ได้ปลอบเทียนเจ๋อ นางชำเลืองมองไปทางจวินอู๋เหยาแล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับเขา
เทียนเจ๋อมองด้านหลังของคนทั้งสองที่เดินเคียงข้าง ความรู้สึกผิดและหมดสิ้นหนทางกดทับเขา ทำให้เขาแตกสลาย เขาลงนั่งร้องไห้กับพื้นอย่างหมดสิ้นหนทางเหมือนเด็ก เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างทนมองไม่ได้ นางเช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆด้วยความรู้สึกปวดใจ
เสียงแหบแห้งและโศกเศร้าของเทียนเจ๋อดังขึ้นที่ด้านหลัง ฝีเท้าของจวินอู๋เสียยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆในทุกย่างก้าว novel-lucky
จวินอู๋เหยาเดินอยู่เคียงข้างนางโดยไม่พูดอะไร พร้อมกับกุมมือเล็กๆที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งของนางเอาไว้
คำพูดรุนแรงที่จวินอู๋เสียพูดกับเทียนเจ๋อเป็นวิธีปกป้องเขาในแบบของนาง
เมื่อเดินออกจากสาขาของวิหารหยกวิญญาณ จวินอู๋เหยาก็อุ้มจวินอู๋เสียขึ้นทันทีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เขาเตะปลายเท้าและเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
ร่างนั้นกลายเป็นลำแสงที่พุ่งผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็วในพริบตา เร็วจนไม่มีใครในเมืองสังเกตเห็นพวกเขาเลยสักคน
………….
ภูเขาฝูเหยา
สถานที่ที่เคยเงียบสงบไร้ความขัดแย้งมากที่สุดในอาณาจักรกลาง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมสำนักธาราเมฆถึงได้ปิดตัวลงอย่างกะทันหัน เหล่าครูที่ถูกไล่ออกต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัย สำนักธาราเมฆมีสถานะพิเศษในอาณาจักรกลาง มันไม่ได้เป็นของกลุ่มอำนาจใด แต่เป็นสถานที่ที่ทำให้เก้าอารามและสิบสองวิหารต้องเคารพ
แต่ทั้งหมดนั้น……
ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
ที่เชิงเขาฝูเหยา จู่ๆก็มีคนในชุดเครื่องแบบของเก้าอารามปรากฏขึ้น คนพวกนั้นควบคุมทางเข้าภูเขาทั้งหมด ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่เชิงเขาฝูเหยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินอ้อมพวกเขา
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้าเหนือภูเขาฝูเหยา ไม่มีศิษย์ของเก้าอารามที่เฝ้าอยู่เชิงเขาสังเกตเห็นสักคน
ลำแสงนั้นร่อนลงกลางป่าทึบบนภูเขา ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืด มันจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจใดๆ
จวินอู๋เสียได้ยืนบนพื้นหญ้าบนภูเขาฝูเหยาอีกครั้ง แต่สภาพจิตใจของนางในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว
บนภูเขาฝูเหยานั้นเงียบสงัดเช่นเดิม มีเพียงเสียงนกและแมลงดังระงมทั่วภูเขา
จวินอู๋เสียหรี่ตา จวินอู๋เหยาบินเร็วมาก พวกเขาใช้เวลาเพียงหนึ่งวันครึ่งก็มาถึงภูเขาฝูเหยาแล้ว ตามเวลาที่เทียนเจ๋อบอกไว้ นางยังมีเวลาอีก 3 วัน
3 วัน นี่คือโอกาสสุดท้ายของจวินอู๋เสีย นางต้องใช้ประโยชน์จากเวลาที่มีให้เต็มที่เพื่อตามหาซูหย่า!
เงาดำเคลื่อนผ่านต้นไม้หนาทึบเข้ามาอย่างเงียบๆ
แล้วทันใดนั้น ร่างของเย่เม่ยก็ปรากฏตัวตรงหน้าจวินอู๋เสียและจวินอู๋เหยา
“เป็นยังไง?” จวินอู๋เสียเอ่ยปากถาม
เย่เม่ยคุกเข่าลงบนพื้นและพูดเสียงต่ำว่า “ข้าได้ตรวจสอบแล้ว และพบว่าตอนนี้ภูเขาฝูเหยาเต็มไปด้วยศิษย์ของเก้าอารามอยู่ทุกหนทุกแห่ง อารามทั้งเก้าได้ส่งคนมาที่นี่ พวกเขาระดมคนกลุ่มหนึ่งที่มีสถานะอย่างต่ำก็ผู้อาวุโส แต่ข้าไม่เห็นประมุขของเก้าอารามเลย……”
ภูเขาฝูเหยาถูกเก้าอารามยึดครองตั้งแต่ยอดเขายันเชิงเขา เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเข้ามาในภูเขาโดยไม่มีตราของเก้าอาราม ไม่เพียงแค่เชิงเขาเท่านั้นที่มีศิษย์ของเก้าอารามยืนเฝ้าอยู่ แต่พวกเขายังมีคนอีกหลายกลุ่ม อย่างน้อยก็สิบกลุ่ม ออกค้นหารอบๆกลางภูเขา และที่ยอดเขา เก้าอารามได้ยึดครองไว้อย่างสมบูรณ์ สถานที่ที่เคยเป็นสำนักธาราเมฆเต็มไปด้วยศิษย์ของเก้าอาราม
“เจ้าหาซูหย่าเจอหรือไม่?” จวินอู๋เสียถามทันที
เย่เม่ยส่ายหน้าอย่างเสียใจ