ตอนที่ 509 สิ้นฝั่งนิพพาน  

 

 

“นี่…” 

 

 

เการุ่ยถูกหลิงลั่วถามจนไม่ทราบว่าจะกล่าวออกมาอย่างไรดี 

 

 

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ต้องการจะเห็นฉากแบบนั้น แต่ว่าจะไม่สนใจชาวบ้านที่อยู่ข้างในนี้เลยหรือ? จุดจบของพวกเขา กล่าวได้แค่ว่าต้องตายหรือ? 

 

 

แต่ว่าที่หลิงลั่วกล่าวก็ไม่ได้ไร้เหตุผล พวกเขามีชีวิตอยู่ก็ทุกข์ทนทรมานเพราะ ‘วิชามาร’ หากตายแล้ว อาจจะเป็นการหลุดพ้นก็ได้ 

 

 

“พรุ่งนี้ข้าจะไปดูข้างในหมู่บ้านหลิวเจียสักหน่อย อย่ายิงสังหารคนข้างในก่อน หากมีคนเดินออกจากหมู่บ้านหลิวเจีย เดินมุ่งมาที่วงล้อมก็จัดการเขาเสียเถิด” 

 

 

หลิงลั่วถอนหายใจเบาๆ หันหลังกลับ และเดินมุ่งไปที่ตั้งค่าย 

 

 

จวินชิงเหยียนมองดูข้างในหมู่บ้านหลิวเจียแวบหนึ่ง และหันหลังกลับไล่ตามเงาร่างของหลิงลั่วไป 

 

 

“ใต้เท้า ท่านเห็นว่า…” 

 

 

เการุ่ยมองฟังจั่วฉืออย่างลำบากใจอยู่บ้าง ฟังจั่วฉือพยักหน้า “ฟังนางเถิด นางเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เฒ่าพิษถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตนเอง ไม่มีทางที่เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย ในเมื่อเมื่อสักครู่นางได้กล่าวเช่นนั้นนั่นก็หมายความว่าคนในหมู่บ้าน หมดหนทางเยียวยาแล้ว” 

 

 

“แม่นางผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของเฒ่าพิษรึขอรับ?!” เการุ่ยกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ 

 

 

ฟังจั่วฉือหัวเราะเบาๆ และหันกลับไปมองเการุ่ย “นางมิได้เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ที่เฒ่าพิษถ่ายทอดวิชาให้เองเท่านั้น ชื่อของนาง นามว่าหลิงอัน”  

 

 

กล่าวจบ ก็ไม่สนใจใบหน้าท่าทีที่ตื่นตกใจของเการุ่ยอีก หันหลังและจากไป 

 

 

ทิ้งเการุ่ยไว้คนเดียว เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยจะสู้ดีเสียแล้ว 

 

 

เขาคิดไม่ถึงว่าแม่นางคนนี้จะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้! 

 

 

เมื่อกลับมาที่ตั้งค่าย หลิงลั่วก็ไม่สามารถยับยั้งโทสะที่มีได้อีกแล้ว พลันตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ! 

 

 

ในฉับพลันทันใด โต๊ะไม้มะฮอกกานีนั้นก็กลายเป็นเศษซากไม้เต็มพื้น 

 

 

จวินชิงเหยียนกับฟังจั่วฉือที่เพิ่งจะเข้ามาเห็นฉากนี้ ฟังจั่วฉือวิ่งไปที่ข้างๆ เศษซากไม้อย่างเจ็บปวดใจ กล่าวอย่างสุดแสนเสียดายว่า “หลิงลั่ว ถึงเจ้าจะโมโหอย่างไรก็ตบโต๊ะไม่ได้! ต่อให้เจ้าอยากจะตบโต๊ะ ก็ตบไม้มะฮอกกานีไม่ได้! เจ้าทราบหรือไม่ว่านี่มันเงินทั้งนั้น!” 

 

 

หลิงลั่วโมโห แต่ยังอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากอย่างเอือมระอา หันหน้าไปไม่สนใจฟังจั่วฉืออีก 

 

 

“ครั้งนี้สำนักชิวหลานกับเซียวชวีฟู่จะเกินไปแล้ว คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่มีชีวิตเป็นๆ! พวกเขาลงมือไปได้อย่างไรกัน?!” 

 

 

“หลิงลั่ว เจ้าอย่าเพิ่งโมโหไปเลย อาจจะรักษาหายได้ก็ได้?” 

 

 

“รักษาไม่หายแล้ว” 

 

 

จวินชิงเหยียนส่ายหน้า และกล่าวว่า “ดูได้จากในดวงตาของผู้ชายคนเมื่อสักครู่นั้น เขายังมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง แต่ว่าไม่อาจควบคุมการกระทำของตนเองได้ สภาวะเช่นนี้ช่างเหมือนกับอาการของโรคอย่างหนึ่งที่ข้าอ่านเจอในตำรา” 

 

 

“โรคอะไร?” 

 

 

“สิ้นฝั่งนิพพาน” 

 

 

ฟังจั่วฉือกะพริบตาปริบๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สิ้นฝั่งนิพพาน? นั่นมันคืออะไร” 

 

 

“นั่นเป็นชื่อของอาการป่วยชนิดหนึ่ง ผู้ที่ถูกพิษไม่สามารถควบคุมการกระทำได้ สติแปรปรวน พูดจา           เลื่อนเปื้อน บนร่างกายเต็มไปด้วยลายเส้นของดอกปี่อั้น[1]สีโลหิตแดง และอาการป่วยนี้ไม่ไม่มียารักษา               ไร้หนทางช่วยได้ หากไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้ ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น” จวินชิงเหยียนหยุดพัก และกล่าวอีกว่า 

 

 

“ทุกวันพวกเขาจะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสกับลายดอกปี่อั้นบนร่างกาย เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมการกระทำได้ อยากจะหลุดพ้นชีวิตเช่นนี้ ได้แต่ต้องอาศัยการสอดแทรกจากโลกภายนอกหรือคนนอกเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะคงอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอดกาล” 

 

 

“นี่มันก็ไม่โหดร้ายเกินไปหรือ?!” ฟังจั่วฉือขมวดคิ้วแน่น สำนักชิวหลานนี่สติวิปลาสฟั่นเฟือนถึงขนาดไหนกันแน่? ถึงได้ทำกับเหล่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์แบบนี้ได้! 

 

 

“ทุกอย่างยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวอะไร รอดูพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า” 

 

 

ฟังจั่วฉือพยักหน้า “ได้ หลิงลั่ว ข้าไปกับเจ้าด้วย” 

 

 

 

 

 

[1] ดอกปี่อั้น คือ ดอกลิลลี่แมงมุมแดง หรือดอกพลับพลึงแดง เป็นดอกไม้ที่มีพิษ ทำให้ท้องเสีย อาเจียน จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 510 ดอกสิ้นใจ ผงโน้มจิต  

 

 

ในตอนนี้เอง อวิ๋นย่าก็เดินจากนอกกระโจมเข้ามาข้างใน “ท่านแม่ทัพ ได้ขนย้ายศพของชาวบ้านคนที่ใต้เท้าหลิงอันเพิ่งจะฆ่าตายมาแล้ว พอข้าน้อยดูไป ก็พบบางอย่างที่ผิดปกติ” 

 

 

“ผิดปกติอย่างไร” 

 

 

ฟังจั่วฉือขมวดคิ้ว หรือว่าเขายังจะกลับมามีชีวิตได้อีก? 

 

 

อวิ๋นย่าย้อนนึกถึงสภาพอาการบนร่างกายของชาวบ้านคนนั้น ก็นิ่วคิ้วเล็กน้อย “มีลวดลายสีโลหิตมากมายอยู่บนตัวของชาวบ้านคนนั้น เส้นแนวขวางและแนวตั้งตัดไขว้กัน ลักษณะของลวดลายนั้น ดูแล้วเหมือนกับ…” 

 

 

“ดอกปี่อั้น” 

 

 

หลิงลั่วที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยปากกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า 

 

 

อวิ๋นย่าพยักหน้า “ใช่แล้ว! เป็นดอกปี่อั้น!” 

 

 

ดวงตาของหลิงลั่วหรี่ลงเล็กน้อย ดอกปี่อั้นชนิดนี้ที่เติบโตอยู่ริมแม่น้ำวั่งชวน[1] ดูแล้วสวยสดงดงามอย่างยิ่ง แต่กลับเป็นอันตรายมาก 

 

 

ดูเหมือนว่า ความสงสัยกับความลึกลับคลุมเครือทุกอย่างที่อยู่ในความคิดของนางตอนนี้ คงได้แต่ต้องรอหลังจากได้เข้าไปในหมู่บ้านหลิวเจียในวันพรุ่งนี้เท่านั้น ถึงจะคลี่คลายได้ 

 

 

วันถัดมา 

 

 

พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ออกมาจากขอบภูเขา หลิงลั่ว จวินชิงเหยียนและฟังจั่วฉือสามคนก็ออกจากกระโจมมาที่รอบนอกของหมู่บ้านหลิวเจีย 

 

 

ได้เปลี่ยนกะขุนนางทหารที่เฝ้าอยู่รอบนอกแล้ว มีเการุ่ยที่รอคอยการมาเยือนของพวกหลิงลั่วสามคนอยู่เพียงลำพัง 

 

 

หลังจากเห็นทั้งสามคนแล้ว เการุ่ยก็เข้าไปต้อนรับทันที 

 

 

“ขุนนางทหารที่นี่ได้เปลี่ยนกะกันหมดแล้ว เกาปู่โถวไม่ไปพักผ่อนหรือ” 

 

 

หลิงลั่วมองเการุ่ย ที่ใต้ตาเการุ่ยมีรอยดำคล้ำอยู่บ้างจางๆ จึงดูออกว่าเมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนเต็มที่นัก 

 

 

“เดิมทีวันนี้ปู่โถวอีกคนจากในศาลาว่าการจะมารับเวรต่อ แต่ว่าข้าน้อยกลัวว่าเขาไม่ทราบสถานการณ์ ก็เลยรอคอยการเสด็จเยือนของแม่ทัพฟัง ใต้เท้าหลิงอันและใต้เท้าจวินเหยียนอยู่ที่นี่ขอรับ” 

 

 

“อืม” หลิงลั่วพยักหน้า “จริงสิ จนถึงเมื่อสักครู่นี้มีชาวบ้านออกมาอีกหรือไม่?” 

 

 

“มีขอรับ” 

 

 

เการุ่ยยื่นมือชี้ไปยังทิศทางที่อยู่ไม่ไกลออกไป ศพราวสี่ห้าร่างนอนอยู่ตรงนั้น มีทั้งผู้ชายผู้หญิง เพียงอย่างเดียวที่เหมือนกันคือ สภาพการตายของพวกเขาล้วนสุขสงบเป็นอย่างมาก 

 

 

“คนสุดท้ายที่อยากจะทลายออกมาคือผู้หญิงคนนั้น ซึ่งก็คือเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนขอรับ” 

 

 

“อืม ไม่วาอย่างไร อย่าให้พวกเขาทำร้ายคนปกติได้เป็นอันขาด” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

สายตาของหลิงลั่วค่อยๆ หมองลง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอาการสิ้นฝั่งนิพพานนี้จะแพร่ติดเชื้อกันได้หรือไม่ หากว่าได้จริงๆ เกรงว่าก็คงจะเหลือหมู่บ้านหลิวเจียแห่งนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว 

 

 

“ไปกัน?” 

 

 

หลิงลั่วหันสายตามามองจวินชิงเหยียนกับฟังจั่วฉือที่อยู่ข้างกาย และกล่าว 

 

 

จวินชิงเหยียนกับฟังจั่วฉือพยักหน้า 

 

 

ทั้งสามคนใช้วิชาตัวเบาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แค่เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น ทั้งสามคนก็ปรากฏตัวอยู่ข้างในวงล้อมแล้ว 

 

 

เการุ่ยมองทั้งสามคนที่มุ่งเข้าไปข้างในหมู่บ้านหลิวเจียโดยที่ไม่ได้หันกลับมาเลย ก็ขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง  

 

 

ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ… 

 

 

หลังเข้าไปข้างในหมู่บ้านหลิวเจียแล้ว ทั้งสามคนถึงได้รู้ว่า ข้างในดูจะผุพังกว่าข้างนอกเยอะเลย! 

 

 

กระเบื้องแตกหลังคาพังไปหมดทุกแห่งหน และบนพื้นยังมีสีโลหิตเป็นผืนใหญ่ๆ แต่กลับไม่เห็นชาวบ้านสักคน 

 

 

หลิงลั่วขมวดคิ้วขึ้นมา รู้สึกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ ช่างมีความแปลกพิกล 

 

 

เพราะว่าไม่ได้คุ้นเคยกับหมู่บ้านหลิวเจีย อีกทั้งในหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยภาวะวิกฤติ ดังนั้นหลิงลั่ว                        จวินชิงเหยียนและฟังจั่วฉือสามคนจึงกระทำการพร้อมกัน 

 

 

เมื่อเดินไปถึงริมแม่น้ำสายเล็กในหมู่บ้านหลิวเจียแล้ว ทั้งสามคนก็ตกใจ 

 

 

ประชาชนทั่วทั้งหมู่บ้าน ล้อมอยู่ที่ริมแม่น้ำกันหมด คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ 

 

 

หลิงลั่วพลันขมวดคิ้ว สายตามองเห็นช่อดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลออกไปจากริมแม่น้ำ รูม่านตาพลันหรี่ลงอย่างตระหนก! 

 

 

นั่นมัน ดอกสิ้นใจ?! 

 

 

สำหรับดอกสิ้นใจ หลิงลั่วยังพอจะมีความทรงจำอยู่บ้าง นั่นคือดอกไม้แห่งความตาย ที่กลิ่นหอมน่าลุ่มหลงในตำนาน 

 

 

เดิมดอกสิ้นใจไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่ถ้าหากผสมรวมกับผงโน้มจิต ก็จะก่อตัวเป็นยาพิษที่ตรึงจิตให้ใหลหลงจนถึงแก่ชีวิตได้ 

 

 

 

 

 

[1] แม่น้ำวั่งชวน คนจีนเชื่อว่าเมื่อไปสู่ปรโลกแล้ว ต้องข้ามผ่านแม้น้ำวั่งชวน หรือแม่น้ำลืมเลือนเสียก่อน เพื่อให้ลืมเรื่องราวในภพเดิมก่อนที่จะไปเกิดใหม่