[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 32 เทพภูเขาตีกลอง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ทั้งสองกอดกันทั้งคืน ส่วนใหญ่ก็เป็นอวิ๋นเยี่ยที่นอนฟังอยู่ตรงนั้น หลี่อันหลานนอนพูดอยู่ตรงนั้น จุดเทียนตลอดจนถึงรุ่งเช้า…..

 

 

นายน้อยสงสัยงงงวยเป็นอย่างมากในตอนที่เขากินนม อาหารเช้าแทบจะไม่มีเลย ที่มีก็น้อยมากทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก คายหัวนมแล้วร้องไห้จ้าเพื่อประท้วง

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ หลี่อันหลานหัวเราะจนตัวสั่นไปหมด ท่านโหวที่กำลังโมโหจับๆ ไปที่แก้มของลูกแล้วก็เปิดประตูออกไป มีผู้คนมากมายอยู่ที่หน้าประตู สายตาที่หลิวจิ้นเป่ามองท่านโหวเต็มไปความเคารพ ท่านหญิงใหญ่ตระกูลเหอยังคงรู้สึกไม่พอใจ ส่วนหลิงตังไม่กล้ามองหน้าอวิ๋นเยี่ย ก้มหน้าจนจะติดหน้าอกอยู่แล้ว เผยให้เห็นลำคอที่เรียวยาวของนาง

 

 

ปฏิกิริยาของทุกคนอยู่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ย ไม่มีเวลาอธิบาย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย หงเฉิงยังรอตัวเองอยู่ที่ห้องรับแขก

 

 

ทหารที่อยากอยู่ที่นี่ต่อมีตั้งมากมาย มีเป็นพันคน ในเวลานี้หากจะมานั่งพูดถึงเรื่องพวกเขามาจากตระกูลไหนนั้นไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย แค่พวกเขาอยู่ที่หลิ่งหนาน อิทธิพลของตระกูลเหล่านั้นก็จะลดน้อยลง คำที่ว่าไกลเกินกว่าจะสามารถทำอะไรได้ มันเป็นเรื่องจริงในต้าถัง

 

 

หลิวฝูลู่เรียกขุนนางบางคนที่จะถูกส่งตัวไปมารวมตัวกัน พวกเขาทำท่าทางน่าสงสาร เจออวิ๋นเยี่ยก็พากันคุกเข่าร้องไห้อย่างขมขื่น การถูกส่งตัวได้ทำลายศักดิ์ศรีสุดท้ายของพวกเขาไปจนหมด อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ รู้สึกโศกเศร้ากับความโชคร้ายของพวกเขาเลยพูดปลอบใจ เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ขาดลุ่ยของพวกเขาแต่ละคนจึงสั่งให้คนรับใช้พาพวกเขาไปกินอาหาร แล้วยังให้เงินกับเสบียงอาหารแก่พวกเขาอีก ถือว่าชดใช้เงินเดือนให้กับพวกเขา เชื่อไม่ลงจริงๆ ว่านอกจากเป็นขุนนางพวกเขาก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นจริงๆ น่ะเหรอ ความจริงที่หลิ่งหนานมีผลไม้ป่าอยู่ทั่วไป หากกินของพวกนั้นก็คงไม่ถึงขั้นต้องอดตาย

 

 

หงเฉิงยิ้ม เฝ้าดูเรื่องสนุก เขาเป็นทหารต้นแบบ ถึงได้มีความสุขที่ได้เห็นความทุกข์ยากของพวกขุนนาง

 

 

“เหล่าหง เจ้าต้องทำสถิติรายได้ทั้งหมดของช่วงสองสามวันนี้ คาดว่าฝ่าบาทคงจะต้องใช้เงินก้อนนี้ ทำสถิติจำนวนครัวเรือนให้ชัดเจน อย่าให้มีข้อผิดพลาด เงินและเสบียงอาหารที่ให้พวกทหารก็เอาจากในคลังไปก่อน จะขายชีวิตทั้งปีไม่ได้ ถึงตอนนั้นมือเปล่ากลับบ้าน เอาผลประโยชน์ทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นให้จวนองค์หญิง เหลือเพียงผลประโยชน์ของกิจการตัวเองก็พอ”

 

 

“อวิ๋นโหว หมายความว่าฝ่าบาทจะรวบรวมเงินและเสบียงอาหารพวกนี้เข้าคลังประเทศหรือขอรับ เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ ตระกูลใหญ่โตพวกนั้นบริจาคคนบริจาคเสบียงอาหาร พวกเขาไม่ยอมให้ฝ่าบาทเอาไปเป็นแน่ พวกเราทำเช่นนี้จะไม่มีปัญหาจริงๆ น่ะหรือ”

 

 

“มีปัญหาก็ไม่กลัว ยังไงมันก็ไม่น่ากลัวไปกว่าบรรดาเศรษฐีพวกนั้นร่ำรวยมั่นคั่ง ด้วยสติปัญญาของฝ่าบาท เขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมแน่นอน เราไม่จำเป็นต้องกังวล หากเจ้าอยากจะกลับมารับตำแหน่ง นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้า ตอนนี้ราชสำนักส่งกองทัพทหารออกไปทุกทาง เสบียงอาหารถูกใช้ไปราวกับน้ำไหล เสบียงอาหารในคลังประเทศไม่เพียงพอมาตั้งนานแล้ว สิ่งของพวกนี้พอที่จะสามารถปูฐานให้คลังประเทศได้ และให้ความมั่นใจแก่ฝ่าบาท พื้นที่รอบๆ ที่ไม่จงรักภักดีต้องถูกจัดการให้หมด นี่เป็นเรื่องใหญ่ เราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน”

 

 

ความปรารถนาของหงเฉิงคือหวังว่าสักวันจะได้เป็นท่านโหว ครั้งก่อนเนื่องจากสาเหตุเรื่องของโต้วเยี่ยนซานทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง หัวใจแทบจะสลายถึงได้ตกลงมายังหลิ่งหนาน ตอนนี้ฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง เขาจะปล่อยมันไปได้เช่นไร ถึงแม้ว่าจะมีเพียงความหวังอันริบหรี่ เขาก็ไม่ยอมปล่อยมันไป

 

 

มอบหมายหน้าที่ให้คนที่เกี่ยวข้องเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นเยี่ยก็มาที่ห้องครัวด้านใน ผัดข้าวก่อน จากนั้นก็สั่งให้พ่อครัวบดเส้นหมี่ เพื่อที่จะเพิ่มเป็นอาหารหลักให้กับลูกชาย เด็กที่กำลังจะอายุหนึ่งขวบจะเอาแต่กินนมไม่ได้ ทำขาหมูตุ๋นด้วยตัวเอง โดยมีหลิงตังขอร้องอ้อนวอนอยู่ข้างหลังตั้งหลายครั้ง นี่ก็ดีเหมือนกัน ให้หลี่อันหลานกินด้วย จะได้เพิ่มน้ำนมให้นาง แทบไม่พอให้ลูกกินอยู่แล้ว

 

 

นับตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยปรากฏตัว หลี่อันหลานก็อุ้มลูกไม่ยอมปล่อย อุ้มลูกไปอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยอยู่ตลอด เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มหัวเราะไม่หยุด นี่คือเกมที่เขาชอบที่สุด

 

 

ขาหมูสีแดงที่มันเยิ้มพร้อมแล้ว ไม่มีอาหารอื่นๆ มีแค่ขาหมูตุ๋นหม้อใหญ่ เมื่อไหร่ที่อวิ๋นเยี่ยกินข้าว วั่งไฉก็จะมาหาเขาตลอด เอาขนมยัดเข้าปากมันไปชิ้นหนึ่งแล้วก็ไล่มันออกไป กินขาหมูต่ออย่างเอร็ดอร่อย

 

 

หลี่อันหลานกินข้าวอย่างละเอียดละไม นางใช้ตะเกียบคีบขาหมู แตกต่างจากหลิงตังที่ใช้มือกินเหมือนอวิ๋นเยี่ย เอ็นอ่อนของขาหมู เคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน กินไปสองคำก็ยกเหล้าดื่มอึกหนึ่ง เหล้าที่หอมหวาน ไม่เหมือนกับเหล้าที่รุนแรงของตระกูลอวิ๋น สองสามวันนี้ต้องมีสมองปลอดโปร่งไว้รับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ

 

 

เสี่ยวหลิงตังกินเก่งมาก คายกระดูกมากองไว้ข้างหน้ากองใหญ่ แล้วยังยื่นมือลงไปหยิบอีกชิ้นในหม้อ ส่วนหลี่อันหลานกินไม่หมดสักชิ้น ตบที่มือของหลิงตังแล้วพูดว่า “หยุดกินได้แล้ว ถ้ากินอีกเดี๋ยวจะป่วยเอาได้ ส่วนที่เหลือเอาไว้กินตอนเย็น” เสี่ยวหลิงตังถึงได้ดึงมือออกมาอย่างไม่พอใจเท่าไหร่

 

 

“ท่านพี่ เจ้ามีความรู้ความสามารถ ข้ามีอะไรอยากจะถามท่าน ท่านรู้เรื่องเทพภูเขาตีกลองหรือไม่”

 

 

ใครต่างก็ชอบให้ตัวเองเป็นคนมีความรู้ความสามารถ แต่เรื่องเทพภูเขาตีกลอง อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จริงๆ ข้อเสียของการกินหมูตุ๋นก็คือกินเสร็จแล้วมือจะเหนียว ล้างมือด้วยน้ำสะอาไปพลางถามว่า “เทพภูเขาตีกลอง? คืออะไร”

 

 

“เมื่อวานตอนบ่ายและตอนเย็น บนภูเขามีเสียงดังก้องดังขึ้นมาเป็นระยะๆ ดังตลอดทั้งคืน สัตว์ร้ายบนภูเขาก็หายไปหมด วันนี้ตอนเช้า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกว่าเทพภูเขากำลังตีกลองอยู่ ไล่สัตว์ร้ายบนภูเขาออกไปหมด เตรียมจะกินตัวที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ที่สุด ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่”

 

 

พูดเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจแล้ว คืนเมื่อวานพวกหลิวจิ้นเป่าจุดประทัดยักษ์ทั้งคืน พวกชาวบ้านได้ยินก็เลยคิดว่าเป็นตำนานเทพภูเขาตีกลอง อวิ๋นเยี่ยชื่นชมจินตนาการของพวกเขาจริงๆ มักจะหาสิ่งที่ดูสมเหตุสมผลมาอธิบายสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ

 

 

“เทพภูเขารู้สึกเบื่อก็เลยตีกลอง เป็นเรื่องธรรมดา หากมีคนมาถามเจ้า เจ้าก็บอกว่าต้องไหว้เทพภูเขา เอาหัวหมูหัวแกะมาถวาย จากนั้นก็ให้พวกเขากินแทนเทพภูเขา ทุกคนหาโอกาสสนุกสนานกันสักหน่อย ไม่ดีหรือ”

 

 

หลี่อันหลานได้ยินคำพูดขอไปทีของอวิ๋นเยี่ย นางก็รู้ว่าเขาจะต้องรู้แน่นอนว่ามันเกิดอะไรขึ้น เห็นว่าเขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ก็ดีเหมือนกัน เทพภูเขาตีกลอง ไม่มีอะไรน่าแปลก เทพสายฟ้ายังทำให้ฟ้าร้องเลย พรุ่งนี้ข้าจะพาผู้เฒ่าพวกนั้นไปไหว้เทพภูเขา กินของเซ่นไหว้เสร็จ เขาก็คงจะปกป้องคนที่น่าสงสารอย่างพวกเราใช่หรือไม่”

 

 

เอาหัวหมูไปบูชาเทพภูเขา ไม่สู้ให้พวกหลิวจิ้นเป่ากินเองดีกว่า เจ้านั่นตีกลองทั้งคืน ตอนนี้คงนอนอยู่ในบ้าน เสียงกรนดังยิ่งกว่าฟ้าร้องอีก

 

 

เมื่อเช้ารายงานความคืบหน้ากับอวิ๋นเยี่ยว่าสถานการณ์น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง เสือและหมีวิ่งหนีไปด้วยกัน แล้วยังมีหมาป่า แพะและกวางป่าวิ่งตามหลัง พวกมันไม่กลัวพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย วิ่งเบียดกันอย่างเร่งรีบ ช่างน่าสงสาร แล้วยังถูกช้างเหยียบตายไปด้วยตัวสองตัว งูหลามตัวเท่าถังน้ำ บิดตัวเลื้อยไปรอบๆ ดูเหมือนว่าอีกปีสองปีก็คงจะกลายร่างเป็นมังกร หมีป่าบังเอิญเหยียบไปโดนมันเข้า ก็ถูกมันรัดคอจนตาย แต่ก็ไม่กิน โยนทิ้งไว้ข้างทางแบบไม่ไยดี ถูกสัตว์ร้ายตัวอื่นๆ เหยียบย่ำจนกลายเป็นดิน

 

 

เมื่อฝูงควายแอฟริกาตกใจ แม้แต่สิงโตก็ยังต้องวิ่งหนี ตัวไหนไม่วิ่งหนี จุดจบคือถูกเหยียบจนแบนเป็นภาพถ่าย ภูมิประเทศที่อันตรายเช่นนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นจะวิ่งหนีจากสัตว์ร้ายไปได้หรือไม่

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเหมือนปริซึม เขาได้เรียนรู้ความปลิ้นปล้อนมาจากเฉิงเหย่าจิน เรียนรู้ความดื้อรั้นมาจากหนิวจิ้นต๋า เรียนรู้ความยืนหยัดมาจากหลี่กัง และเรียนรู้กลยุทธ์มาจากหลี่ซื่อหมิน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อมาอยู่บนตัวของอวิ๋นเยี่ยมันกลับเปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนไป จะแดงก็ไม่แดงจะดำก็ไม่ดำ ทำให้ทุกคนประหลาดใจและทำให้ตัวเองรู้สึกหดหู่

 

 

ในความเป็นจริงคนที่ทำให้เขาจดจำได้มากที่สุดก็คือโต้วเยี่ยนซาน เจ้านั่นดุร้ายเหมือนงูพิษ กล้าหาญเหมือนสิงโต เจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก และแน่นอนว่ายังระมัดระวังตัวเหมือนหนู หากสวมปีกให้เขา เขาอาจจะกลายเป็นมังกรพิษที่บินได้ โชคดีที่เขาได้ตายไปพร้อมกับจระเข้ตัวนั้น สำหรับการตายของเขา มันทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเสียดาย เขามักจะรู้สึกว่ามองเห็นเงาของตัวเองบนตัวผู้ชายคนนี้เสมอ

 

 

โต้วเยี่ยนซานเป็นมังกรพิษ แล้วตัวเองเป็นอะไรล่ะ หมาป่า? คนที่หน้าตาน่าสมเพช มีลายบนหลัง ชอบซ่อนตัวแอบมองสิงโตอยู่ในความมืด แล้วพาเพื่อนๆ ไปแย่งอาหารมาจากปากของสิงโต?

 

 

ชีวิตของคนสองสามร้อยคนได้กลายเป็นของเซ่นไหว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ของเซ่นไหว้ไม่ควรเป็นหัวหมูหรือว่าหัวแกะหรอกเหรอ หัวคนกลายเป็นของเซ่นไหว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

 

ลูกชายยิ้มปากกว้างจนน้ำลายไหลออกมาต่อหน้าต่อตา เขายื่นมือเข้าไปอุ้มลูกชาย ให้มายืนกระโดดเล่นอยู่บนตักของตัวเอง ความเงียบของอวิ๋นเยี่ยทำให้หลิงตังตกใจ เมื่ออวิ๋นเยี่ยทำท่าทางสุขุมคิดเรื่องราว ใบหน้าของเขาก็จะบิดเบี้ยวทันที ท่าทางน่าสมเพชมาก นี่คือคำติชมที่ซินเย่วบอก ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยหัวเราะโง่ๆ ทำตัวดุร้าย นางจะขับไล่ทุกคนออกไปทันที กลัวว่าจะอับอาย

 

 

“ท่านพี่ไม่ได้ชอบฆ่าคน ที่ทำไปก็เพราะเราสองคน เจ้าเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ เจ้าควรที่จะยืนสอนลูกศิษย์พวกนั้นอยู่บนแท่น สอนความรู้ที่สะอาดบริสุทธ์ ความรู้ที่สมเหตุสมผลให้กับพวกเขา มีชีวิตที่มีความสุข ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ทำให้คนสะอาดบริสุทธ์อย่างเจ้าต้องกลายเป็นเช่นนี้ ข้าขอโทษ”

 

 

“ต่อไปอย่าพูดคำว่าขอโทษต่อหน้าข้าอีก ข้าบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ข้ารู้อยู่แก่ใจ ทำเรื่องอะไรไปข้าก็มีเหตุผลของข้า คำว่าขอโทษเป็นคำที่ข้าเกลียดที่สุด หากพูดว่าขอโทษ นั่นก็หมายความว่าเจ้าจะทำให้ข้าเสียใจต่อไป ต่อไปอย่าพูดอีก”

 

 

หลี่อันหลานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง อวิ๋นเยี่ยครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดกับนางว่า “หลิวฝูลู่เป็นคนที่มีความสามารถ เจ้าจะไม่มีคนสนิทไม่ได้ สำหรับเขาแล้ว เจ้าไปเยี่ยมเขาบ้าง ให้ความช่วยเหลือเขาบ้าง เรื่องของการบริหารจัดการบ้านเมืองเจ้าก็ฟังความคิดเห็นของเขาให้มากๆ ข้าจะบอกให้ว่าเจ้าสามารถใช้งานพวกขุนนางที่โลภมากพวกนั้นได้ กฎระเบียบเข้มงวดในต้าถัง ถึงจะถูกพบว่ามีการยักยอกแต่ก็ไม่ถูกตัดหัว นี่ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ใช้งานคนที่มีความสามารถไม่สู้ใช้งานคนที่เคยทำพลาดจะดีกว่า เจ้าต้องหาคนที่เจ้าสามารถใช้งานได้ด้วยตัวเอง คำโบราณก็บอกแล้วว่าม้าพันลี้มีทั่วไปแต่ปั๋วเล่อฝึกม้าไม่ได้หาได้ง่ายๆ หากเจ้าต้องการบุกเบิกดินแดนแห่งเหลียว เจ้าจำเป็นต้องมองหาคนที่มีความสามารถ ฝึกฝนคนที่มีความสามารถด้วยตัวเอง ราชสำนักไม่มีทางส่งคนที่มีพรสวรรค์โดนเด่นมาให้เจ้าเป็นแน่ แต่กลุ่มขุนนางที่เคยทำความผิดเป็นสิ่งที่พวกเขามองข้ามไป

 

 

ตอนนี้คนพวกนี้ไม่มีอะไรเลย ขอแค่ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ภรรยาและลูกไร้ความกังวลทั้งเรื่องต้องหนาวตายและความอดอยาก ชีวิตของพวกเขาก็จะเป็นของเจ้า

 

 

ดินแดนแห่งเหลียว มีภูเขา มีแม่น้ำ มีที่ราบ และมีท่าเรือ ไม่มีเหตุผลที่มันจะไม่เจริญรุ่งเรือง อันหลาน พระเจ้าดีกับเจ้าไม่น้อย ท่านพ่อของเจ้าก็ดีกับเจ้าไม่น้อย ละทิ้งนิสัยเย็นชาของเจ้า เรียนรู้ที่จะเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนสี่ฮูหยิน ให้ลูกชายของเราได้เพลิดเพลินไปกับเกียรติยศที่เจ้าสร้างมาให้เขา”