ตอนที่ 39 พบตัวอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว! Ink Stone_Fantasy
สิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา ก็เป็นของหกรัฐโบราณถึงแปดแห่งแล้ว!
สำนักวิชาที่เขาบุกเบิกสามารถขึ้นชื่อว่าเป็นสิบสำนักใหญ่ได้ ก็สามารถเห็นได้ถึงพลังยุทธ์และทักษะของประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว เขาไม่เห็นประมุขรัฐเพรียกหิมะอยู่ในสายตาเลย ถึงแม้ว่าประมุขรัฐเพรียกหิมะจะแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน ทว่าสนใจแต่ตนเองมากยิ่งกว่า ภายใต้ความโมโหก็ปะทะกับหกรัฐโบราณและทะเลสาบมารทมิฬ… เมื่อประสบภัยพิบัติทุกครั้ง ทั่วทั้งรัฐเพรียกหิมะต่างก็พากันบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่รัฐเมฆทักษิณากลับเป็นรัฐที่มั่นคงและมั่งคั่งที่สุดในสี่รัฐมารทมิฬแล้ว
“ทะเลสาบมารทมิฬ ไม่รู้จริงๆ เลยว่าเมื่อใดจึงจะสามารถทำลายให้มันย่อยยับหมดสิ้นไปได้เสียที” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยพึมพำ
เขามองกระจกยลฟ้าที่ลอยอยู่อย่างเงียบเชียบ
จ้าวสามท่านและเฟิงอ๋องห้าท่านที่อยู่ที่นั่นต่างก็มองดูอยู่เช่นกัน “ร่างแปรของข้าถูกขั้นอลวนสิบสองคนล้อมเอาไว้ ในบรรดานั้นมีอยู่สามคนที่ไปถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าแล้ว” จ้าวฉุนอวี้สรหน้าเย็นชา เขาเอ่ยปากพูดว่า “ร่างแปรของข้าต้านทานได้อีกไม่นานเท่าไหร่แล้ว”
ร่างแปรของเขาปักหลักนิทรารักษาการณ์อยู่ที่นั่น
อาศัยร่างแปร เขาก็ยังรักษาสติรับรู้อยู่ได้
แต่เมื่อใดที่ร่างแปรถูกทำลาย จ้าวฉุนอวี้ก็ย่อมมิอาจรับสัมผัสถึงเมืองอัคคีโชติที่ถูกห้วงมิติผนึกเอาไว้ได้! รับสัมผัสมิได้เลย ก็ย่อมมิอาจส่งร่างแปรไปได้อีก!
เหมือนปกติ เมื่อปราการเมืองทุกแห่งเผชิญกับการโจมตี ร่างแปรเทพจักรวาลต่างก็สามารถไปได้อย่างง่ายดาย หรือแม้กระทั่งทำการส่งถ่ายผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่ผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปช่วยเหลือ… ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีใครกล้ากำเริบเสิบสานทำการสังหารภายในปราการเมืองของรัฐประเทศอันแข็งแกร่ง ทว่านี่เป็นทะเลสาบมารทมิฬลงมือ ก่อนการลงมือก็ได้ทำการผนึกห้วงมิติเอาไว้ก่อนแล้ว
“เพราะอะไร เพราะอะไร ศิษย์ตระกูลอิงซานของข้าจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีเจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิง จึงไม่สามารถให้เวลาเขาอีกสักหน่อยได้ ให้เขาเติบโตอีกสักหน่อยมิได้เลยหรือ” แม่เฒ่าอิงซานเจ็บปวดใจเป็นที่สุด นางเดือดดาลจนแทบคลั่ง ด้วยนิสัยของนางคงจะไปสังหารเรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเข้าไปได้
“แม่เฒ่า” ท่านหญิงกุ่ยลี่ที่อยู่ด้านข้างก็ถ่ายเสียงปลอบประโลม
******
ส่วนที่ทะเลสาบมารทมิฬ ณ วังที่กว้างขวางอลังการแห่งหนึ่ง ภายในหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ประดับประดาด้วยอัญมณีล้ำค่านานาชนิด ทั้งยังมีค่ายกลหลายแห่งเต็มกำแพง
ทั่วทั้งวังมีพลานุภาพอันไร้ที่สิ้นสุดแผ่กระจายอยู่
ในขณะนี้ ณ ตำแหน่งสูงสุด มีบุคคลตำแหน่งสูงสามคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีดำ ด้านหลังเขามีภาพวงแหวนหกชั้นอันน่าอัศจรรย์ขนาดมหึมาปรากฏชัดอยู่ ภาพวงแหวนหกชั้นนั้นเคลื่อนหมุนอย่างเนิ่นช้าอยู่ตลอดเวลา ภายในภาพวงแหวนหกชั้นคล้ายกับมีพลานุภาพแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ แม้กระทั่งเหล่าเทพจักรวาลในที่แห่งนี้ต่างก็ไม่กล้าพินิจดูภาพวงแหวนหกชั้นนั้นอย่างละเอียด เหลือบดูแวบหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณถูกเหนี่ยวนำจนเกิดความหวาดหวั่นในหัวใจ
คนที่อยู่ทางด้านซ้ายก็คือชายชราที่นั่งยิ้มตาหยี เมื่อมองดูก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกอันดี ไม่เกิดกลิ่นอายอันกดดันใดๆ เลย
คนที่อยู่ทางด้านขวา กลับเป็นบุรุษชุดเขียวสีหน้าซีดเซียวคนหนึ่ง รอบกายเขามีเงารางสีแดงโลหิตขนาดมหึมาวนเวียนอยู่
พวกเขาทั้งสาม…
ก็คือเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬ พญามารที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เมื่อตระกูลมากมายในหกรัฐโบราณได้ยินชื่อของเขา ต่างก็รู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นขวัญผวา
“ฮ่าฮ่า ลงมือกับรัฐเมฆทักษิณา ช่างหาได้ยากยิ่ง พอถึงเวลาที่เปิดฉากการบูชาโลหิต เกรงว่าคงจะมีรัฐประเทศให้ความสนใจกันเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว” เบื้องล่างมีเทพจักรวาลนั่งอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดคน ทั้งยังมีเหล่าประมุขมารคนอื่นๆ อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิ์นั่งภายในทั้งโถงตำหนักก็มีอยู่เพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น
แน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น
“เช่นบรรดาประเทศเล็กๆ ทั้งยังเป็นประเทศที่ถูกบูชาโลหิต ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง เมืองที่ถูกบูชาโลหิตในรัฐเมฆทักษิณาจึงจะนับได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ สี่รัฐมารทมิฬจะต้องจับจ้องอย่างแน่นอน บรรดารัฐประเทศที่อยู่ใกล้ๆ เกรงว่าก็ต้องให้ความสนใจเช่นเดียวกัน”
“ต้องทำให้งดงามหน่อย”
ทุกคนยิ้มจางๆ
พวกเขาล้วนเป็นมารกันทั้งสิ้น!
พูดจากใจจริง พวกเขาล้วนชมชอบการใช้ชีวิตในสถานที่หรูหรา จะชมชอบการหลบซ่อนอยู่ใน ‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ อันเป็นสถานที่แปลกประหลาดยากคาดเดาเสียที่ไหนกัน แต่ก็หมดหนทาง หกรัฐโบราณจำเป็นต้องมีเสถียรภาพ จำเป็นต้องทวีคูณผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเหล่ามารเหล่านี้ก็ต้องเผชิญกับการตามล่าสังหาร! ต้องสวามิภักดิ์เป็นเค่อชิงของตระกูลใหญ่ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งบางตระกูล
มีบางคนที่ถูกขุ่นเคือง ไม่มีตระกูลใหญ่เต็มใจรับ ก็ได้แต่หลบหนีเท่านั้น! หลบหนีไปยังสถานที่รวมตัวของเหล่ามาร ที่ที่ทุกคนมารวมตัวกัน
ล้างผลาญเมือง ทำการบูชาโลหิต ก็ทำให้เหล่ามารเหล่านี้รู้สึกเปรมปรีดิ์ เพราะว่าหลบหนีซ่อนตัวกันมานานแล้ว ก็อยากจะเผยเขี้ยวเล็บกับบรรดารัฐประเทศเหล่านี้บ้างเป็นครั้งคราว!
“หึหึ…รัฐเมฆทักษิณาแล้วอย่างไรเล่า คราวก่อนหาโอกาสทำการบูชาโลหิตที่เมืองแห่งหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ช่างสุขสันต์นัก”
“อย่าได้รีบร้อนไปเลย มีโอกาสอยู่แล้วล่ะ”
“มาๆ มาดื่มกันสักจอกหนึ่ง”
เหล่าเทพจักรวาลและเหล่าประมุขมารจำนวนมากสรวลเสเฮฮากัน
ส่วนเจ้าลัทธิทั้งสามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดก็เปิดปากพูดบ้างเป็นครั้งคราว บรรยากาศภายในทั้งโถงตำหนักร่าเริงเป็นอย่างยิ่ง
……
ณ เจดีย์เทพอากาศภายในเรือนพักของตงป๋อเสวี่ยอิงที่จวนโหว ภายในเมืองอัคคีโชติ
บนก้อนหินใหญ่ที่ลอยอยู่ก้อนหนึ่ง
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวรูปโฉมหล่อเหลานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น บนตักมีหอกยาววางนิ่งอยู่เล่มหนึ่ง
“ครืน…”
ห้วงมิติภายในเจดีย์เทพอากาศพรั่งพรูราวกับระลอกคลื่น และแฝงไว้ด้วยคลื่นใต้น้ำฉีกกระชากอีกเป็นจำนวนมาก การฉีกกระชากนี้ก็คุกคามอย่างน่าหวาดหวั่นเหนือธรรมดา ขั้นอลวนทั่วๆ ไปที่กล้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เกรงว่าร่างกายอาจถูกฉีกกระชากจนกระจุยกระจาย เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ในทันทีทันใดเสียแล้ว
แต่ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็บำเพ็ญจนเคยชินเสียแล้ว ปลีกวิเวกครั้งหนึ่งหมื่นล้านปีก็มิอาจนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งพันห้าร้อยล้านปีเท่านั้น เขายังจมดิ่งอยู่ในนั้นอย่างสิ้นเชิง
อ้างอิงจากความคุ้นเคยในชาติก่อน ตามปกติแล้วก็ต้องถึงเวลาที่เข้าสู่จุดคอขวดจนมิอาจไปต่อได้อีกแล้วจึงค่อยออกจากการปลีกวิเวก ปกติแล้วระหว่างที่หยั่งรู้ เขาก็ไม่เร่งร้อนที่จะออกไปเลย
“เสวี่ยอิง รีบออกมาเร็วเข้า รีบออกมาเร็วเข้าสิ!!!” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงอย่างเร่งร้อน
“คุณชาย คุณชายรีบออกมาเถิดขอรับ” มารรับใช้จื่อไป๋ถ่ายเสียงพูด
“คุณชายรีบออกมาเถิดขอรับ เร็วเข้าๆ จะไม่ทันแล้วนะขอรับ!” เถียนอี้จือถ่ายเสียงเร่งเร้า
“ให้มารรับใช้จื่อไป๋ปกป้องเจ้า ทางข้านี้ก็มีเรื่องยุ่งยากอยู่ จะปกป้องตนเองก็ยังยากเลย เจ้าอย่าได้มาหาข้าที่นี่ล่ะ” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงพูดต่อไป
การถ่ายเสียงอย่างต่อเนื่องทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยังอยู่ระหว่างการบำเพ็ญหยุดยั้งลงในทันใด เขาก็ตกตะลึงอยู่บ้าง การถ่ายเสียงอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดรัดแน่น
“ท่านโหวยากที่จะปกป้องตนเองอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนกตกใจ
เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้ว
สวบ
เขาคว้าหอกเทพเมฆาแดงเอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ไปถึงบริเวณทางออกของตำหนักเทพอากาศ โครม ประตูตำหนักที่ผนึกปิดเอาไว้ก็เริ่มเปิดออก ประตูเพิ่งจะเปิดออกเป็นรอยแยกเล็กๆ สายหนึ่งเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งตัวออกไปเสียงดังสวบในทันที
ฟิ้ว
มาถึงด้านนอกของตำหนักเทพอากาศ ที่บริเวณประตู มารรับใช้จื่อไป๋มิได้ผ่อนคลายดังเช่นยามปกติแล้ว พัดจีบในมือก็มิได้โบกอีกต่อไปแล้ว หากแต่เอ่ยอย่างเร่งรัดว่า “อย่าได้ขัดขืนเลย ข้าจะพาท่านไปเอง” พูดแล้วก็เตรียมตัวจะเก็บตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ แต่ทันใดนั้นมารรับใช้จื่อไป๋ก็หยุดยั้งลงเสียแล้ว เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตะลึงงันอยู่บ้าง
กลิ่นอายของคุณชายบ้านตน…
ขั้นอลวนอย่างนั้นหรือ
“คุณชาย ท่านบรรลุไปถึงขั้นอลวนแล้วหรือขอรับ” มารรับใช้จื่อไป๋ตกตะลึง คุณชายบ้านตนเป็นสายห้วงอากาศ ถ้าหากสำเร็จขั้นอลวน การหนีเอาชีวิตรอดในห้วงอากาศก็ต้องแกร่งกล้ากว่ามารรับใช้คนหนึ่งอย่างเขามากมายอยู่แล้ว
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากอย่างส่งๆ คำหนึ่ง แต่กลับพินิจดูออกไปบริเวณไกลๆ อย่างละเอียด
แววตาของเขาทะลุผ่านการสกัดกั้นของห้วงอากาศ สามารถมองเห็นตำแหน่งสูงสุดของทั้งศูนย์กลางเมืองอัคคีโชติได้จากที่ไกลๆ ที่นั่นมีบุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศคนหนึ่ง เบื้องหน้ามีขวดสีดำอันแปลกประหลาดใบหนึ่งลอยอยู่ ขวดสีดำแผ่ระลอกคลื่นจางๆ ขอบเขตของระลอกคลื่นแผ่ปกคลุมห่อหุ้มไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองอัคคีโชติ
“ระลอกคลื่นอะไร มีประโยชน์อย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย ระลอกคลื่นนี้ดูคล้ายจะไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
แต่ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้ว
“ฆ่ามัน”
ด้วยระดับขั้นของเขา สายตาของเขาสามารถมองไปทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งปราการเมืองได้ เขามองเห็นเมืองอัคคีโชติอันใหญ่โต พลทหารที่สวมชุดเกราะทำการสังหารไปทั่วทุกหนแห่งตามอำเภอใจ พลพรรคที่ประกอบขึ้นด้วยขั้นรวมเป็นหนึ่ง กองกำลังย่อยทุกกองต่างก็สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพออกมาได้ บรรดาประชากรในเมืองเมืองอัคคีโชติจะสามารถต้านทานได้เสียที่ไหนกัน ถูกสังหารหมู่ได้อย่างง่ายดาย
ยามที่ถูกสังหารหมู่ ก็มีระลอกคลื่นพลังอันไร้รูปร่างถูกกวาดเข้าไปภายในขวดสีดำใบนั้น
“การบูชาโลหิตหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแล้ว
เขาอ่านตำราในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มามากมาย รู้จักการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ
เหมือนกับที่อากาศอันสับสนอลหม่าน สังหารฝูงมารผลาญทำลาย พลังที่แผ่ออกมาหลังจากที่ฝูงมารผลาญทำลายตายแล้วก็ถูกดูดซับ สามารถหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณได้! ทว่าฝูงมารผลาญทำลายสังหารผู้บำเพ็ญก็สามารถได้รับการหล่อเลี้ยง พลังยุทธ์ยกระดับขึ้นได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นยามที่วิญญาณผู้บำเพ็ญตายแล้วก็มีพลังพิเศษแผ่กระจาย… เพียงแค่อยู่ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน เหล่าผู้บำเพ็ญก็ไม่มีทางดูดซับได้ด้วยตนเอง มีเพียงแค่ฝูงมารผลาญทำลายที่สามารถดูดซับได้
แต่ที่ ‘ดินแดนจิตโลกา’
ก็ค้นพบพลังพิเศษของวิญญาณสิ่งมีชีวิตทุกดวง นั่นก็คือพลังสายหนึ่งที่เป็นรากฐานที่สุดของทั้งโลกกำเนิด สามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างสมบูรณ์
‘การบูชาโลหิต’ ก็เพื่อรวบรวมพลังที่เป็นรากฐานที่สุดในดวงวิญญาณของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน แต่แก่นสำคัญที่สุดของการบูชาโลหิตก็คือขวดมารบูชาโลหิตขวดนั้น… ในดินแดนจิตโลกา เทพจักรวาลที่รู้จักหลอมวัตถุบูชาโลหิตนั้นมีอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้! ตอนนี้ในหกรัฐโบราณมีเพียงสามรัฐโบราณเท่านั้นที่รู้จักการหลอมวัตถุบูชาโลหิต จะเห็นได้ว่าเคล็ดวิชานี้ยากเย็นเพียงใด!
ส่วน ‘เจ้าลัทธิเหยียนโม๋’ หนึ่งในเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬก็หลอมวัตถุบูชาโลหิตเป็นด้วยเช่นกัน
“การบูชาโลหิตหรือ”
“บูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนก ทันใดนั้นเพลิงโทสะอันไร้ที่สิ้นสุดก็เต็มปรี่ไปทั้งทรวงในทันใด เพียงชั่วครู่นัยน์ตาของเขาก็แดงก่ำเสียแล้ว
พูดไปก็ยืดยาว แต่ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนไหวอย่างรัวเร็วยิ่ง อันที่จริงแล้วก็เพิ่งจะออกจากการปลีกวิเวกมาเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง
“คุณชาย พวกเราไปกันเร็วเข้าเถิด ข้าได้พาตัวฮูหยินและอิงซานซีเยว่เข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แล้ว แต่อิงซานเลี่ยฮู่ บิดาของคุณชายน่าจะยังอยู่ที่หอม่านเมฆ ห่างไกลเกินไป มิอาจไปช่วยได้ทันการณ์” มารรับใช้จื่อไป๋เอ่ยอย่างกระวนกระวาย
“พบตัวอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว!” บริเวณไกลออกไปมีเสียงตื่นเต้นยินดีดังขึ้น
…………………………………………………..