ตอนที่ 40 การต่อสู้ยกแรก Ink Stone_Fantasy
เป็นถึงตระกูลย่อยตระกูลหนึ่งของตระกูลอิงซานที่เพิ่มทวีมานับล้านล้านปี ภายในจวนโหวก็มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน อาณาเขตก็ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ก็มีพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งหลายกลุ่มกำลังทำลายล้าง พวกเขาทุกกลุ่มก็มีพลพรรคอยู่ร้อยคน สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพออกมาได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาทำการสังหารตามอำเภอใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดในจวนโหวเผชิญกับการล้อมโจมตีของขั้นอลวนแปดคน พลพรรคมารเหล่านี้ก็ย่อมไร้ซึ่งศัตรูอยู่แล้ว
“พบตัวอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว” มีพลพรรคมารกลุ่มหนึ่งยินดีขึ้นมาในทันใด พลางมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัววาบขึ้นมาจากกลางเจดีย์เทพอากาศคนนั้นอยู่ไกลๆ
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวหันหน้ามามองพลพรรคมารกลุ่มนี้อย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
“อย่าได้ขัดขืนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วก็เก็บตัวมารรับใช้จื่อไป๋เข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์
“คุณชาย” มารรับใช้จื่อไป๋กลับต้านทานขัดขืนพลางถ่ายเสียงเร่งรัดว่า “ข้าสามารถช่วยท่านได้นะขอรับคุณชาย” ตัวเขาเองคิดว่าเมื่อใดที่สำแดงออกมา อย่างน้อยก็ต้องมีพลังรบขั้นอลวนระดับชั้นที่แปด
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อยมองดูมารรับใช้จื่อไป๋ที่อยู่ข้างกายปราดหนึ่ง
พรึ่บ
หลังจากนั้นสายตาก็มองจับไปที่พลพรรคมารที่อยู่ใกล้ที่สุดกลุ่มนั้น พลพรรคมารกลุ่มนั้นกำลังไล่สังหารผู้คนตระกูลอิงซานที่หลบหนีไปทั่วทุกทิศทาง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบตัวตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ก็เพียงแค่รายงานขึ้นไปเท่านั้น ถึงอย่างไรมองเพียงปราดเดียวก็สามารถประเมินได้แล้วว่า…คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นถึงขั้นอลวน พวกเขาพลพรรคขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มหนึ่งก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะรับมือได้
“ตายเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเย็น
“ตึง!” ห้วงอากาศบริเวณที่พลพรรคมารกลุ่มนั้นอยู่พลันบิดเบี้ยวในทันใด บนร่างของมารขั้นรวมเป็นหนึ่งทุกตนต่างก็มีรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
ทันใดนั้นมารกว่าร้อยตนก็หายวับไปจนหมดสิ้นราวกับฝุ่นควันก็มิปาน หายลับไปกลางอากาศ
“ไม่นะ”
“เร็ว ไปเร็วเข้า ข้ามาต้านทานพวกเขา”
เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่ถูกไล่สังหารเหล่านั้น มีบางคนหนีเอาชีวิตรอด มีบางคนต่อต้านเพื่อคนใกล้ชิด แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่ามารกว่าร้อยตนที่กำลังทำการสังหารอย่างอุกอาจอยู่นั้น ร่างกายของพวกเขาทั้งหมดมีรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น จากนั้นก็สูญสลายหายไป
“อะไรกันนี่” มารรับใช้จื่อไป๋มองดูฉากนี้อย่างตกตะลึง “ระยะทางก็ห่างจากข้าถึงสิบล้านลี้ แต่คุณชายถึงกับสามารถสังหารผลาญพวกเขาได้ภายในพริบตาอย่างนั้นหรือ”
ดีร้ายอย่างไรก็สามารถสำแดงค่ายกลรบที่มีพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัว ถึงจะสุดกำลังก็ยังต้องใช้เคล็ดวิชาบางอย่างจึงจะสามารถจัดการให้เรียบได้ คุณชายบ้านตนอยู่ห่างออกไปถึงสิบล้านลี้แต่กลับสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย พลังยุทธ์นี้จะต้องไปถึงระดับขั้นใดกัน
“อย่าได้ต้านทานอีกเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอีกครั้งแล้วโบกมือปกคลุมตัวมารรับใช้จื่อไป๋
“ถ้าหากต้องการข้า คุณชายก็สั่งมาได้ทันทีเลยนะขอรับ” มารรับใช้จื่อไป๋ถ่ายเสียงพูดต่อไป คราวนี้เขามิได้ขัดขืนอีกต่อไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวมารรับใช้จื่อไป๋ลงไป ตัดสินใจแน่วแน่ เพราะว่ามารดาและพี่สาวต่างก็ถูกมารรับใช้จื่อไป๋เก็บตัวเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงยืนกรานจะเก็บตัวมารรับใช้จื่อไป๋ สำหรับการช่วยเหลือนั้นน่ะหรือ พลังยุทธ์ของมารรับใช้จื่อไป๋ สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ นอกจากจะไม่ได้ช่วยแล้วยังจะทำให้เขาจิตใจไขว้เขวอีกต่างหาก
“ถึงแม้ว่าท่านโหวจะตกอยู่ในอันตราย แต่ก็คงยังสามารถยื้อเอาไว้ได้เป็นเวลาหลายอึดใจอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดหนึ่งอยู่ห่างๆ
ท่านโหวหั่วเลี่ย บัญชาการทหารอัคคีโชติห้าพันคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งยังมีค่ายกลจวนโหวคุ้มครอง
ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับขั้นอลวนแปดคนจนการร่วมแรงตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง แต่ก็น่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
“ช่วยด้วย”
ทั่วทั้งจวนโหวในตอนนี้ยังมีพลพรรคมารอยู่ถึงเจ็ดกอง ทุกกองต่างก็มีอยู่ร้อยคน พลพรรคมารเหล่านี้ต่างก็สังหารผู้คนตระกูลอิงซานนับพันนับหมื่นคนอยู่ทุกขณะ ตงป๋อเสวี่ยอิงจำเป็นจะต้องจัดการพวกเขาให้หมดก่อน การจะจัดการพวกเขาได้นั้นต้องการเพียงแค่การเคลื่อนที่ในพริบตาก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยสำแดง ‘เขตพลังเมฆาแดง’ ล้างผลาญสังหาร สำแดงต่อเนื่องกันเจ็ดครั้งเป็นใช้ได้ ภายในระยะเวลาชั่วอึดใจเดียวก็เพียงพอแล้ว!
……
ณ รัฐเมฆทักษิณา ภายในพระราชวังหลวง
ประมุขรัฐ จ้าวสามท่าน และเฟิงอ๋องห้าท่าน ต่างก็มองดูกระจกกลมที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“เจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิง” แม่เฒ่าอิงซานมองเห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏอยู่บนกระจกกลมแล้วก็อดหัวใจขมวดรัดแน่นมิได้
ทันใดนั้นเอง หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวบนกระจกกลมก็ตะโกนเสียงเย็นว่า ‘ตายเสีย’ พลพรรคมารกองหนึ่งกว่าร้อยคนที่อยู่ห่างออกไปสิบล้านลี้ก็สูญสลายไปจนสิ้นกลายเป็นความว่างเปล่า
“เจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิงได้กลายเป็นขั้นอลวนแล้ว นอกจากนี้ยังสำเร็จเคล็ดวิชาเขตพลังที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้วอีกด้วยอย่างนั้นหรือ” แม่เฒ่าอิงซานทั้งสุขทั้งเศร้า สิ่งที่ทำให้สุขใจก็คือเจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิงไม่ทำให้นางผิดหวังเลยจริงๆ แต่การผลาญสังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่งนั้นจะนับเป็นอะไรได้ เคล็ดวิชาเขตพลังนี้ก็เป็นเพียงพลังรบชั้นที่แปดเท่านั้นกระมัง ถึงแม้ว่าอิงซานเสวี่ยอิงจะเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่แปดชั้นที่แปดขั้นสุดยอด หรือแม้กระทั่งชั้นที่เก้าแล้วอย่างไรเล่า
ศัตรูในยามนี้ก็คือมารขั้นอลวนถึงสิบสองคน ในบรรดานั้นมีอยู่ห้าคนที่เป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า นอกจากนี้ยังมิใช่ต่างคนต่างสู้ หากแต่ประกอบกันเป็นค่ายกลรบ!
ไม่เห็นร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้อาศัยค่ายกลในการคุ้มกัน มีพลังรบระดับชั้นที่เก้าก็จบแล้วอย่างนั้นหรือ
ท่านโหวหั่วเลี่ย มีทหารอัคคีโชติชั้นยอดถึงห้าพันคนประกอบกันเป็นค่ายกล ทั้งยังมีค่ายกลคุ้มครอง แต่ก็ถูกปรามอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
แล้วเจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิงจะทำอย่างไรได้เล่า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าศัตรูยังมีขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบที่แกร่งกล้าหาใดเปรียบอยู่ตนหนึ่ง…ประมุขมารเมฆาขาว! นั่นก็เทียบเคียงได้กับเทพจักรวาล หรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลที่ถือกำเนิดใหม่บางคนต่างก็อาจถูกประมุขมารเมฆาขาวกดดันหรือโจมตีอย่างสิ้นเชิง พลังยุทธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เด็กน้อยคนหนึ่งสามารถต้านทานได้หรืออย่างไรกัน
“เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง อย่างน้อยเคล็ดเขตพลังก็เป็นระดับชั้นที่แปด” จ้าวเทียนยินเอ่ยเสียงต่ำ
“น่าเสียดาย” จ้าวทานเผิงก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
ประมุขรัฐเมฆทักษิณายังคงดูอย่างเงียบสงบเช่นเดิม มองดูกระจกกลมที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถ้าหากเป็นยามปกติ เมื่อได้เห็นเด็กน้อยผู้ล้ำเลิศคนหนึ่ง เขาก็อาจจะเผยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้เขารู้สึกถึงเพียงแค่ความละอายเท่านั้น! เพราะว่าเขาผู้เป็นประมุขรัฐผู้นี้ทำได้เพียงแค่มองดูทั้งหมดนี้เกิดขึ้น มองดูทั้งเมืองอัคคีโชติถูกสังหารบูชาโลหิต มองดูเด็กน้อยเปี่ยมพรสวรรค์ผู้นี้ตายภายใต้เงื้อมมือของฝูงมารขั้นอลวนภายใต้การนำของประมุขมารเมฆาขาว
……
ณ สถานที่อีกแห่งในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา คฤหาสน์สกุลฝาน
ก็มียอดฝีมือสิบกว่าคนนั่งชมดูการต่อสู้อยู่ภายในโถงตำหนัก กลางท้องฟ้าในโถงตำหนักก็มีกระจกยลฟ้าบานหนึ่งแขวนลอยอยู่เช่นกัน ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานก็ย่อมต้องเป็น ‘ฝานเทียนฉ่ง’ บุรุษร่างอ้วนตัวสูงใหญ่ผู้นั้น
“ทะเลสาบมารทมิฬก็ยังคงกำเริบเสิบสานเช่นเดิม” ฝานเทียนฉ่งเอ่ยเสียงต่ำ “รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าก็ทำสงครามกับทะเลสาบมารทมิฬมาหลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าจะได้อะไรมาบ้างเป็นครั้งคราว สามารถอาศัยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เหล่ามารของทะเลสาบมารทมิฬก็ทำให้รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าสูญเสียไปมิใช่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสี่รัฐมารทมิฬเลย…รัฐเมฆทักษิณาก็นับว่าดีแล้ว แต่ก็ยังเป็นเมืองที่ถูกบูชาโลหิตเป็นครั้งคราว โอ้ อิงซานเสวี่ยอิงหรือ”
“เป็นอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นแหละ”
“เขามีศักยภาพมหาศาล จะต้องได้เป็นเฟิงอ๋องอย่างแน่นอน สำเร็จเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย”
“น่าเสียดาย”
ผู้อื่นที่ชมดูการต่อสู้อยู่ภายในโถงตำหนักพูดขึ้น
ฝานเทียนฉ่งก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “น่าเสียดายจริงๆ ฝูงมารขั้นอลวนที่ประมุขมารเมฆาขาวนำทัพ เขาย่อมมิอาจต้านทานได้อย่างแน่นอน” ฝานเทียนฉ่งส่ายศีรษะเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะเสียใจที่เห็นเด็กน้อยเปี่ยมพรสวรรค์คนหนึ่งตกต่ำ แต่เขาก็มิได้ใส่ใจนัก เพราะว่าที่ดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ก็มีผู้มีพรสวรรค์มากมายที่ตายตกไปก่อนจะสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าเลิศล้ำ
……
ภายในเรือนไม้ไผ่ที่มีกระแสน้ำไหลล้อมรอบ
หญิงสาวอาภรณ์ม่วงผู้งดงามนั่งอยู่บนพื้น กำลังถือเข็มเย็บปักปักภาพอย่างช้าๆ
“เมืองอัคคีโชติเผชิญกับการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ ร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้เกือบจะสลาย ทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคนภายใต้การนำของท่านโหวหั่วเลี่ยกำลังต้านทาน ก็ต้านทานได้อีกไม่นานสักเท่าใด อิงซานเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวก สำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้ว ได้สังหารผลาญพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งกองหนึ่งด้วยเคล็ดเขตพลัง” ข้อมูลชุดหนึ่งส่งมาให้เฉี่ยนอีเสี่ยวอย่างรวดเร็ว
เฉี่ยนอีเสี่ยวคือผู้ดำเนินการของตระกูลเฉี่ยนอีแห่งรัฐโบราณจันทร์โรจน์ที่รัฐเมฆทักษิณา ก็ย่อมได้รับข้อมูลอย่างละเอียดในทันทีอยู่แล้ว
แต่นางไม่มีกระจกยลฟ้า กระจกยลฟ้าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินไป ภายในอาณาเขตของทั้งรัฐเมฆทักษิณาก็มีเพียงแค่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาและสกุลฝานเท่านั้นที่มีกระจกยลฟ้าสองบานนั่น! ขณะนี้คือภายในตระกูลเฉี่ยนอี ตรวจดูภายในรัฐโบราณจันทร์โรจน์อยู่ห่างๆ อีกทั้งยังส่งข้อมูลข่าวสารมาอีกด้วย
“อิงซานเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ เจ้าเด็กน้อยที่น่าสงสาร ช่างน่าเศร้าเสียจริง” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงเฉี่ยนอีเสี่ยวหัวเราะเยาะเสียงต่ำ
นางมิได้สนใจเลยสักนิด
ถึงจะเป็นเรื่องของเมืองอัคคีโชติก็มิได้ส่งผลกระทบกับความสนใจในการปักภาพของนางเลย
******
ณ เมืองอัคคีโชติ
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งก็มาปรากฏตัวยังบริเวณไม่ห่างจากพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่ง พลพรรคมารกองนั้นก่อตัวกันเป็นค่ายกลรบ สมาชิกกำลังทำการสังหารไปทั่วทุกทิศ ด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขาก็สามารถปะทะกับผู้อาวุโสของจวนโหวและเหล่าเค่อชิง จนพากันตายไปอย่างง่ายดาย พวกเขาทุกคนต่างก็ทำการสังหารอย่างอุกอาจ เคล็ดวิชาใดที่มีพลังคุกคามยิ่งใหญ่ กินอาณาเขตกว้างขวาง ก็สำแดงเคล็ดวิชานั้น
โครม…
สถานที่ต่างๆ มากมายเบื้องล่างต่างก็ถูกทำลายจนทลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานหนีกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง แต่ก็ยังคงจบชีวิตลงกันเป็นกลุ่มใหญ่อีกมากมายเหลือเกิน
“ตายเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากแบ่งร่างแปรออกมา ร่างแปรก็จะมิได้รับความช่วยเหลือจากหอกเทพเมฆาแดง การจะสังหารพลพรรคมารสักกองร้อยหนึ่งก็ยากเย็นอย่างยิ่ง
พรึ่บ
ห้วงอากาศโดยรอบพลันสั่นสะท้าน มารขั้นรวมเป็นหนึ่งกว่าร้อยคน แต่ละคนต่างก็มีแผลรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตามร่างกาย จากนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลีจนหมดสิ้น
“ตายแล้วหรือ พวกเขาตายแล้วหรือ”
“ตายแล้ว”
เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่กำลังหลบหนีท่ามกลางความสิ้นหวังต่างก็อดที่จะหยุดลงมิได้ แล้วมองดูเหล่ามารเหล่านั้นสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างพรั่นพรึง หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นพบหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้แผ่กลิ่นอายของขั้นอลวนออกมาผู้นั้น
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิงนั่นเอง”
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิงที่สังหารมารเหล่านั้น” เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานพลันยินดีจนแทบคลั่ง ความภาคภูมิใจของพวกเขาตระกูลอิงซาน ศิษย์ผู้เปี่ยมพรสวรรค์ที่เล่าขานกันผู้นั้น… อิงซานเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว กำลังสังหารมารเหล่านั้น
“ต้องได้อย่างแน่นอน คุณชายเสวี่ยอิงต้องสามารถสังหารมารเหล่านั้นจนหมดสิ้นได้อย่างแน่นอน”
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว”
ผู้คนตระกูลอิงซานมองเห็นความหวัง พากันตั้งหน้าตั้งตารอให้ศัตรูที่มีอยู่ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น บรรดาผู้คนธรรมดาเหล่านี้ย่อมไม่รู้แน่ชัดว่าศัตรูในครั้งนี้น่าหวาดหวั่นสักเพียงใด!
“ไปอีกที่หนึ่ง” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารศัตรูแล้วก็มิได้รั้งรอเลยแม้แต่น้อย เขาเคลื่อนที่ในพริบตามุ่งหน้าไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
……
‘เฉินอู่’ บุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำเป็นผู้นำขั้นอลวนสามคน บริเวณโดยรอบมีเมฆสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นรางๆ พวกเขาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน เฉินอู่เป็นผู้นำ พลานุภาพก็ต้องยิ่งน่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดา ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ในขณะนี้ยังนำขั้นอลวนสามคนประกอบเป็นค่ายกลรบสนับสนุน พวกเขากองหนึ่งเผชิญหน้ากับท่านโหวหั่วเลี่ยก็ย่อมครองความได้เปรียบอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลพรรคอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเลย
‘เซวี่ยฝู’ คือชายชราผู้เย็นชาคนหนึ่ง เขาก็เป็นผู้นำขั้นอลวนสามคน ประกอบเป็นค่ายกลรบเช่นเดียวกัน
เห็นเพียงแค่เงารางของสัตว์ประหลาดหยาดโลหิตสีดำขนาดมหึมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ อุณหภูมิรอบๆ ก็ลดต่ำลงอย่างฉับพลัน มีน้ำค้างแข็งจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น
“น้องเซวี่ยฝู” ถึงแม้ว่าเฉินอู่จะมีแววสังหารล้นฟ้า แต่มองปราดเดียวก็สังเกตเห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่ห่างออกไป “เป็นคุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นั้นนั่นเอง เขากำลังสังหารลูกมือของพวกเรา เจ้าไปเถิด พลพรรคของพวกเจ้าจัดการเขาได้รวดเร็วที่สุด”
“ได้เลย” ชายชราผู้เย็นชามองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ ปราดหนึ่ง พลพรรคของพวกเขาเชี่ยวชาญการจัดการผู้อ่อนแอ สังหารได้สำเร็จในชั่วพริบตา
“พวกเราไปกันเถิด” ชายชราผู้เย็นชาถ่ายเสียงออกคำสั่ง
……………………………………………..