ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 41 สังหารสี่คนรวด!

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 41 สังหารสี่คนรวด! Ink Stone_Fantasy

 

“เสวี่ยอิงหนีเร็ว หนีเร็วเข้า” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงพูดอย่างกระวนกระวาย ในเวลานี้เขาเดือดดาลจนตาแทบถลน เขานำทัพทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคน ก่อตัวเป็นมังกรยักษ์สีแดงเพลิงตนหนึ่งที่กำลังสู้รบอย่างสุดกำลัง เหล่าพลทหารอัคคีโชติทุกคนก็ทุ่มเทอย่างสุดตัว พวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่าหากพ่ายแพ้ ดูจากการที่เหล่ามารเหล่านี้กำลังรังควานไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองอัคคีโชติอย่างอุกอาจแล้ว ย่อมไม่มีทางละเว้นพวกเขาอยู่แล้ว

ไม่มีทางอื่น พลทหารทั้งหมดต่างก็กำลังเสี่ยงชีวิต

“วิตกเสียแล้วหรือ คลั่งเสียแล้วหรือ ไม่มีประโยชน์หรอก ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านโหวหั่วเลี่ย ตอนนั้นพวกเราสร้างเผ่ากันอยู่ท่ามกลางความรกร้าง กระเสือกกระสนคว้าฟางเส้นสุดท้าย ใช้ชีวิตกันอย่างระแวดระวัง ถึงแม้ว่าจะเอาชีวิตรอดอย่างยากเข็ญ แต่ก็สามัคคีกลมเกลียวกัน นั่นคือบ้านของพวกเรา! ก็เพราะท่านไล่สังหารมารตนหนึ่ง เพียงแค่กระบวนท่ามังกรเพลิงสวรรค์เคลื่อนเพียงกระบวนท่าเดียว! มารก็หลบเลี่ยงกระบวนท่านั้นของท่าน แต่เผ่าของพวกเรากลับถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยเหตุนี้ ที่โชคดีมีชีวิตรอดมาได้ก็มีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้นเอง พวกเราหลบหนีไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตายไปคนแล้วคนเล่า ข้าเข้าไปสู่ทะเลสาบมารทมิฬ ก็ได้ประสบกับภัยพิบัติจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”

“ระหว่างภัยดักแด้นับล้าน ข้าคือหนึ่งในสิบราชันย์ดักแด้ที่มีชีวิตรอดมาได้ จึงมีคุณสมบัติได้เป็นสมาชิกชั้นล่างของทะเลสาบมารทมิฬคนหนึ่ง”

“ในบรรดาสมาชิกชั้นล่างจำนวนนับไม่ถ้วน ข้าดิ้นรนต่อสู้จนได้คารวะเข้าสู่สำนักของขั้นอลวนท่านหนึ่ง”

“มาร แม้กระทั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ยังฆ่ากันเองได้”

“มีเพียงผู้ที่มีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะเป็นมารที่แกร่งกล้าที่สุด ข้าสำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้ว ทั้งยังไปถึงชั้นที่เก้าแล้วด้วย ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านเสียอีก น่าเสียดายที่ท่านมีตระกูลอิงซานคอยอารักขา  มีรัฐเมฆทักษิณาคอยปกป้อง ข้าก็ได้แต่รอ ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้จนได้”

“เหตุใดในตอนนั้นท่านจึงไม่ควบคุมสักหน่อย ให้หลีกเลี่ยงไปจากชนเผ่าของพวกเรา”

“เพียงแค่ความนึกคิดเดียวของท่าน ชนเผ่าของข้าก็สามารถมีชีวิตรอดปลอดภัยได้แล้ว แต่ท่านกลับมิได้ทำ ใช่แล้ว พวกเรามันเป็นมดปลวก มดปลวก ผู้อ่อนแอก็คือมดปลวก ก็สมควรตายแล้วนี่ สมควรตายแล้ว”

นัยน์ตาของบุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำเต็มไปด้วยความวิปลาส ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังขึ้นภายในห้วงสมองของท่านโหวหั่วเลี่ยสายแล้วสายเล่าอย่างต่อเนื่อง

นี่คือความคิดอันฝังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของมาร ‘เฉินอู่’…

ความคิดอันฝังใจซึ่งทำให้เขาอยู่ที่ทะเลสาบมารทมิฬที่ราวกับฝันร้ายแห่งนั้น ปีนป่ายจากสถานะอันต่ำต้อยที่สุดมาจนถึงสถานะในปัจจุบัน ในที่สุดตอนนี้ก็จะได้ล้างแค้นแล้ว เขาก็ย่อมพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจนหมด อยากจะทำให้ท่านโหวหั่วเลี่ยได้เข้าใจ! ให้เขาตาย ให้ทั้งเมืองอัคคีโชติของเขาแหลกสลายไปจนสิ้น ก็เพราะในตอนนั้นเขาก่อให้เกิดผลกระทบกับชนเผ่าหนึ่ง

“รัฐเมฆทักษิณามีเมืองมากมาย เดิมทีก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเมืองอัคคีโชติของพวกท่าน ก็เป็นเพราะข้าเอง ข้านี่แหละ! เป็นข้าเองที่คิดหาทุกวิถีทางทำให้พวกท่านบรรพชนตัดสินใจเลือกเมืองอัคคีโชติในท้ายที่สุด”

“ฮ่าฮ่า…”

“ท่านล้างผลาญชนเผ่าข้า วันนี้ข้าก็จะฆ่าท่าน ล้างผลาญเผ่าของท่าน ผลาญทำลายเมืองของท่าน ในภายหน้าทั้งตระกูลอิงซานของพวกท่านก็จะต้องวอดวายจนสิ้น ฮ่าฮ่าฮ่า…”

การถ่ายเสียงดังขึ้นภายในห้วงสมองของท่านโหวหั่วเลี่ยสายแล้วสายเล่าอย่างต่อเนื่อง

ท่านโหวหั่วเลี่ยขบกราม

เดิมทีเขาก็เป็นคนเย็นชา ต่อสู้อยู่ข้างนอก จะไปสนใจว่าทุกกระบวนท่าจะส่งผลกระทบต่อพวกที่อ่อนแอหรือไม่เสียที่ไหนกัน เพียงแต่ในขณะนี้เขาก็ยังจ้องมองบุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำตรงหน้าผู้นี้อย่างเดือดดาล

“เสวี่ยอิง หนีเร็วเข้า หนีเอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลังเลยนะ พวกเขาร้ายกาจเกินไป ร้ายกาจเกินไป! เพียงแค่ประคับประคองเอาไว้ได้เป็นเวลาหนึ่งวัน พวกเขาก็น่าจะล่าถอยกลับไปแล้วล่ะ” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิง เขารู้ว่าตนเองเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ดังนั้นจึงคาดหวังว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้ เป็นถึงขั้นอลวนทางสายห้วงอากาศ เชี่ยวชาญการหนีเอาชีวิตรอด บางทีอาจจะสามารถกุมความหวังในการประคับประคองเอาไว้ในเมืองอัคคีโชติได้วันหนึ่ง

ระยะเวลาหนึ่งวัน

นี่ก็คือความตกลงโดยปริยายระหว่างทะเลสาบมารทมิฬกับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ระยะเวลาอย่างมากที่สุดของการบูชาโลหิตก็คือหนึ่งวัน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ต้องล่าถอยไป!

แต่ว่าเผชิญหน้ากับพลพรรคที่ประมุขมารเมฆาขาวนำทัพ… เกรงว่าเพียงครึ่งชั่วยาม ทั้งเมืองอัคคีโชติก็อาจถูกสังหารหมู่จนหมดสิ้น ถูกบูชาโลหิตจนหมด หลักๆ นี้ก็เป็นเพราะทั้งเมืองอัคคีโชติกว้างใหญ่เกินไป มีประชากรมากมายเหลือเกินเป็นเหตุ แม้กระทั่งท่านโหวหั่วเลี่ย ร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้ และอิงซานเสวี่ยอิง… ในแผนการของทะเลสาบมารทมิฬ จะต้องจัดการภายในระยะเวลาอันสั้น

……

ถึงแม้ว่าจะมีน้ำเสียงอันกระวนกระวายของท่านโหวหั่วเลี่ยก้องสะท้อนอยู่ข้างหู แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเคลื่อนที่ในพริบตาเช่นเดิม

“ตายเสีย” เขามองดูพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งกองร้อยหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้ๆ อย่างเย็นชา บนร่างกายของมารเหล่านั้นแต่ละคนมีแผลฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น หลังจากนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปจนหมดสิ้น

“คุณชายเสวี่ยอิง”

“คุณชายเสวี่ยอิงมาช่วยเหลือพวกเราแล้ว”

“มีทางรอดแล้ว!”

“พวกเราจวนโหวมีทางรอดแล้ว เมืองอัคคีโชติมีทางรอดแล้ว”

เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่ได้รับความช่วยเหลือมองเห็นความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง สำหรับพวกเขาแล้วคุณชายเสวี่ยอิงผู้แผ่กลิ่นอายของขั้นอลวน เดิมทีก็แกร่งกล้าหาใดเปรียบอยู่แล้ว มารเหล่านั้นพลันถูกล้างสังหารจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา เกรงว่าน่าจะมีความหวังในการช่วยเหลือทั้งเมืองอัคคีโชติได้

หมดหนทาง  สำหรับพวกเขาผู้เป็นประชากรธรรมดาแล้ว ขั้นอลวนทุกคนนั้นช่างสูงส่งเสียเหลือเกิน

“ข้าไม่ยอมจำนนใจ ข้าไม่ยอมจำนนใจหรอก ข้าเพิ่งจะบรรลุไปถึงเทพอากาศ มีคุณสมบัติจะนับได้ว่าเป็นศิษย์ตระกูลอิงซานแล้ว ข้าสามารถทำให้ท่านแม่มีชีวิตที่ดีได้แล้ว เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดจึงจะต้องมาตายในตอนนี้ด้วยเล่า ไม่นะ…” ศิษย์ตระกูลอิงซานคนหนึ่งบรรลุไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งในขณะที่เผชิญกับความตาย แต่การเผชิญหน้ากับพลพรรคมารที่สังหารเข้ามาจากที่ไกลๆ กลับทำให้หัวใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ปัง

ระหว่างที่หลบหนีเขาก็สังเกตพลพรรคมารที่อยู่ด้านหลังตลอดเวลา แต่ทันใดนั้นเอง เหล่ามารแต่ละคนนั้นต่างก็มีรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนร่าง แล้วกลายเป็นเถ้าธุลีจนหมดสิ้น

ศิษย์ตระกูลอิงซานผู้นี้หยุดฝีเท้าลงด้วยความตกตะลึง เขามองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่กลางอากาศไกลออกไปผู้นั้น

หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวยืนอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายขั้นอลวนแผ่กระจายก่อให้เกิดความกดดัน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกยกย่องขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“คุณชายเสวี่ยอิงหรือ” ศิษย์ตระกูลอิงซานตระหนักขึ้นมาได้แล้ว

ความภาคภูมิใจของเชื้อสายท่านโหวหั่วเลี่ย

ความภาคภูมิใจของทั้งตระกูลอิงซาน ผู้มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์!

“เป็นคุณชายเสวี่ยอิงนั่นเอง” ศิษย์ตระกูลอิงซานผู้นี้ตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่ง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้จะเคารพคุณชายเสวี่ยอิงได้ถึงเพียงนี้! ในขณะนี้คุณชายเสวี่ยอิงมีรัศมีอันสูงส่งในใจเขา สถานะสูงส่งยิ่งกว่าท่านโหวหั่วเลี่ยเสียอีก เป็นรองเพียงแค่แม่เฒ่าอิงซานเท่านั้น

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางทนให้บรรดาคนตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหารหมู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่เป็นคนของตระกูลอิงซานเช่นกันเหล่านี้เลย

“ท่านเคลื่อนที่ในพริบตาได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน!”

พรึ่บ

ในขณะเดียวกันกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดเขตพลังสังหารโจมตีพลพรรคมารกองที่สี่นั้นเอง

บริเวณรอบๆ ก็มีขั้นอลวนสี่คนปรากฏตัวขึ้น ที่เป็นผู้นำก็คือชายชราผู้เย็นชาคนหนึ่ง หลังจากที่ชายชราผู้เย็นชาเคลื่อนที่ในพริบตาปรากฏตัวขึ้นแล้ว ฟ้าดินบริเวณรอบๆ ก็มีอาณาเขตกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างเคลื่อนที่เข้ามาในทันใด กาลมิติบริเวณรอบๆ ก็ถูกกดดันจนหมดสิ้น เป็นถึงอาณาเขตกฎเกณฑ์ของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ก็ย่อมต้องสมบูรณ์แบบเป็นที่สุดอยู่แล้ว

อาณาเขตกฎเกณฑ์ของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน ต่างก็นับได้ว่าเป็นกฎเกณฑ์จักรวาลขนาดย่อส่วน เดิมทีก็แกร่งกล้าอยู่แล้ว ‘เซวี่ยฝู’ ชายชราผู้เย็นชายิ่งเป็นถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ภายใต้แรงกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ของเขา ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็ยังยากที่จะสอดแทรกเข้ามาได้

ภายใต้แรงกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ ผู้ใดก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้

“หึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางขั้นอลวนสี่คนตรงหน้านี้

มีความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศของเขาอยู่ ขณะที่อีกฝ่ายเคลื่อนที่ในพริบตาเขาก็รับสัมผัสได้แล้ว ว่ากันตามเหตุผลก็ควรจะเคลื่อนที่ในพริบตาในทันที สามารถหลบหนีได้โดยสมบูรณ์

แต่เขาก็มิได้ทำ หากแต่ยังคงลงมือสังหารพลพรรคมารเหล่านั้นอยู่

“เสวี่ยอิง เจ้า ทำไมเจ้าไม่หนีไปเล่า” ท่านโหวหั่วเลี่ยที่สังเกตดูฉากนี้อยู่ไกลๆ ก็ยิ่งร้อนใจเสียแล้ว “พลังยุทธ์ทางด้านห้วงอากาศของเจ้าก็ย่อมหนีได้ทันอย่างแน่นอนอยู่แล้วล่ะ อย่าได้สนใตผู้คนอีกเลย ทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติ เกรงว่าคงจะมีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่พอมีหวังที่จะเอาชีวิตรอดได้อย่างพอถูไถ ส่วนผู้อื่นนั้นคงไม่มีความหวังอีกแล้ว”

ท่านโหวหั่วเลี่ยเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ในเวลานี้ ก็ทั้งซาบซึ้งทั้งกระวนกระวายใจ

“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”

ลมหนาวก่อตัวขึ้น

อุณหภูมิบริเวณรอบๆ ลดต่ำลงอย่างฉับพลัน กลางอากาศก็มีเกล็ดน้ำแข็งและเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ‘เซวี่ยฝู’ ชายชราผู้เย็นชาและลูกน้องขั้นอลวนอีกสามคนรักษาค่ายกลรบเอาไว้ เห็นเพียงแค่เงามายาสีดำขนาดมหึมาของเซวี่ยฝูปรากฏขึ้น บนร่างของเซวี่ยฝูนี้มีลวดลายสีแดงโลหิตอยู่รางๆ ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นสีแดงโลหิตเช่นเดียวกัน อุณหภูมิบริเวณรอบๆ หนาวเย็นเป็นที่สุด ขั้นรวมเป็นหนึ่งธรรมดาๆ ก็ต้องแข็งตาย

ลมหนาวพัดปะทะใบหน้า แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกุมหอกเทพเมฆาแดงในมือแน่น

“น่าเสียดายนัก”

“ผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งอย่างเจ้า ถ้าหากให้เวลากับเจ้าอย่างเพียงพอก็มีหวังที่จะมาถึงพลังยุทธ์เช่นเดียวกันกับข้า แต่น่าเสียดายที่วันนี้เจ้าต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว” เซวี่ยฝู ชายชราผู้เย็นชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

ขั้นอลวนสามคนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเวทนา

“ฆ่าเขาเสีย” ชายชราผู้เย็นชาเอ่ยปาก

“ลงมือ”

“ฆ่ามัน”

พวกเขาทุกคนต่างก็ผ่อนคลายกันเป็นอย่างยิ่ง แต่พอสังหารขึ้นมากลับมิได้ออมมือเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็เป็นพญามารที่สำเร็จเป็นขั้นอลวน พวกเขายังคิดว่าหลังจากที่สังหารโดยเร็วที่สุดแล้วก็จะไปร่วมมือกันกำจัดท่านโหวหั่วเลี่ยโดยเร็วที่สุด

“แคว่ก!”

เสียงแปลกประหลาดดังขึ้น

“เสียงอะไรกัน” ชายหนุ่มกลิ่นอายมารผู้สวมอาภรณ์สีทองคนหนึ่งในบรรดาขั้นอลวนสี่คนตกอกตกใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นพอก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าทรวงอกมีโพรงขนาดใหญ่โพรงหนึ่งปรากฏขึ้น

ภายใต้เสียงแปลกประหลาด ระลอกคลื่นอันแปลกพิกลก็แผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย

ร่างกายของชายหนุ่มอาภรณ์สีทองผู้นี้แหลกสลายไปจนสิ้นแล้วปลิวสลายหายไปราวกับผงแป้งก็มิปาน

แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก!

ขั้นอลวนสามคนต่างก็มีเงาหอกอันเลือนรางวาบผ่าน กลางอกมีโพรงเลือดปรากฏขึ้น ร่างกายของแต่ละคนแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นละอองอณูละเอียด จากนั้นก็ปลิวสลายหายไป

“ปัง ปัง ปัง” เหลือเพียง ‘เซวี่ยฝู’ ชายชราผู้เย็นชาเท่านั้น เขาส่งเสียงคำรามท่ามกลางความตื่นตระหนก “เฉินอู่!!!”

เขาหมายจะต้านทานอย่างสุดกำลัง

ทว่าหัวหอกที่ดูเหมือนจะเรียบง่ายธรรมดากลับแฝงไว้ด้วยพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่น ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขาอย่างน่าประหลาดแล้วแทงทะลุตรงเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ร่างของเขาแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันใด เป็นการผลาญทำลายอันเงียบงันไร้สุ้มเสียง ในใจของชายชราผู้เย็นชาผู้นี้หวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง “วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า บดขยี้อากาศอย่างนั้นหรือ แต่การบดขยี้อากาศแปลกประหลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าจะต้านก็ต้านไม่อยู่เลย!” ถึงแม้ว่าเขาจะต้านทานอย่างสุดกำลัง แต่อากาศบริเวณรอบๆ ก็บิดหมุนอย่างน่าประหลาด แทงหอกสามครั้งรวด ทุกฝีหอกล้วนแทงทะลุเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาแหลกสลาย

ฝีหอกสุดท้ายแทงทะลุตรงเข้าสู่คอหอยของเขา

กะโหลกศีรษะของเขาก็เริ่มแหลกสลายไปในทันที

เขาเบิกตากว้างมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้กุมหอกยาวด้วยสีหน้าเยียบเย็นตรงหน้า

ไม่อยากจะเชื่อ… เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของหนุ่มน้อยคนหนึ่งเช่นนี้

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” จากนั้นสติรับรู้ของเขาก็แหลกสลายไปจนสิ้น

เงียบงัน

ก่อนหน้านี้ยามที่พลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งถูกสังหารหมู่ พลพรรคมารอื่นๆ ที่ท้องฟ้าเบื้องบนของจวนโหวกำลังดูที่แห่งนี้อยู่ห่างๆ แม้กระทั่ง ‘เฉินอู่’ บุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำ ที่นำทัพขั้นอลวนสามคนต่อกรกับท่านโหวหั่วเลี่ยก็กำลังสังเกตการณ์ดูที่แห่งนี้ ท่านโหวหั่วเลี่ยเองก็สังเกตการณ์ดูที่แห่งนี้อย่างกระวนกระวายอยู่เช่นเดียวกัน

แต่ในขณะนี้ ต่างก็พากันเงียบงันไปเสียแล้ว

ใคร ไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้

ค่ายกลรบที่ประกอบขึ้นโดยขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนหนึ่งนำทัพขั้นอลวนสามคน ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลี เพียงแค่สามฝีหอก ‘เซวี่ยฝู’ ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าเพียงหนึ่งเดียวก็ถูกสังหารจนสิ้นชีวิต มิได้ต้านทานเลยแม้แต่ฝีหอกเดียว!

……

ณ รัฐเมฆทักษิณา ภายในพระราชวังหลวง

ภายในโถงตำหนักที่เดิมทีมีบรรยากาศอันกดดันน่าอึดอัด แม่เฒ่าอิงซาน ท่านหญิงกุ่ยลี่ กงเหลียงอี้ และเฟิงอ๋องอีกห้าคน รวมทั้งจ้าวเทียนยิน จ้าวฉุนอวี้ และจ้าวทานเผิง พวกเขาแต่ละคนมองดูภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนกระจกกลมนี้อย่างตกตะลึง เดิมทีในใจของพวกเขาคิดว่าจะต้องเห็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศถูกสังหาร แต่ทว่าในยามนี้เมื่อได้เห็นฉากนี้ก็ทำให้พวกเขาพากันตะลึงงันไปในทันใด ต่างก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่เดิมทีนัยน์ตาทั้งคู่เยียบเย็น สีหน้าสงบราบเรียบ ไม่มีอารมณ์เลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาเกิดประกายสว่างไสวขึ้นมาในทันใด เขาจ้องมองกระจกกลมที่อยู่กลางอากาศพลางตะโกนว่า “ดี!”

……………………………………………..