ตอนที่ 42 นามของอิงซานเสวี่ยอิง Ink Stone_Fantasy
ตามคำว่า ‘ดี’ คำหนึ่งของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ผู้คนภายในโถงตำหนักที่เดิมทีตกตะลึงกันอยู่แต่ละคนต่างก็มีปฏิกริยาตอบสนองขึ้นมา มิอาจตำหนิพวกเขาได้ ด้วยภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนกระจกกลมเมื่อครู่นั้นน่าพรั่นพรึงเกินไป
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ ค่ายกลรบที่ประกอบด้วยขั้นอลวนสี่คน ถึงกับถูกเขาทำลายลงเสียเช่นนี้ได้เลยหรือ” จ้าวเทียนยินเอ่ยอย่างตกตะลึง
“ใช่แล้ว นี่มันค่ายกลรบที่มารเฒ่าเซวี่ยฝูเป็นผู้บัญชาการเชียวนะ พูดถึงพลานุภาพในการป้องกัน เกรงว่าคงจะเป็นชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดเลยทีเดียวกระมัง ต่อให้ข้าลงมือ การจะทำลายก็ยังไม่ง่ายดายเช่นนี้เลย” จ้าวฉุนอวี้ที่อยู่ด้านข้างอุทาน ค่ายกลรบที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นการโจมตีประเภทวิญญาณ ก็ต้องเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดในบรรดาทั้งค่ายกลรบไปต้านทาน
ดังนั้นการโจมตีของผู้อ่อนแอที่สุดในค่ายกลรบ และการโจมตีของผู้แกร่งกล้าที่สุด ก็ดูเหมือนจะมิได้แตกต่างกันเลย
แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์อันยาวนานของดินแดนจิตโลกาก็มีวิธีการอันพิเศษอยู่บ้าง สามารถตั้งเป้าหมายจำเพาะสมาชิกแต่ละบุคคลในค่ายกลรบได้ ทำให้ค่ายกลรบแทบจะไร้ผล อย่างเช่นพวก ‘เคล็ดคำสาป’ หรือ ‘เคล็ดการพยากรณ์’ หรืออย่างเช่น ‘เคล็ดสังหารกรรมผลาญ’ และ ‘เคล็ดสังหารหยินหยางโคจร’ เป็นต้น
“เขาสำแดงเคล็ดวิชาหอกสองชนิดต่อเนื่องกัน” จ้าวทานเผิงก็ยังเอ่ยชื่นชม “เคล็ดวิชาหอกชนิดแรกร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง มิได้ฉีกทำลายค่ายกลรบ แต่กลับมีเงาหอกไปแทงทะลุทรวงอกของขั้นอลวนคนหนึ่ง ทรวงอกของอีกฝ่ายมีโพรงโลหิตปรากฏขึ้นมาในทันใด อีกทั้งยังทำให้ร่างกายกลายเป็นผุยผงจำนวนนับไม่ถ้ว จากนั้นก็กระจัดกระจายหายไปในระหว่างห้วงฟ้าดิน ขั้นอลวนที่อ่อนแอสามคนนั้นต่างก็พากันตายไปด้วยวิธีเช่นนี้”
“อืม ถูกต้อง”
“หอกยาวของเขามิได้ทำลายค่ายกลรบอย่างแท้จริง แต่มีเงาหอกอันเลือนรางวาบผ่าน ขั้นอลวนสามคนต่างก็มีโพรงโลหิตปรากฏขึ้นที่ทรวงอก ร่างกายสลายกลายเป็นผุยผงจำนวนนับไม่ถ้วน”
พลังยุทธ์นั้นก็ไม่ธรรมดาเลย
มิใช่เทพจักรวาล เป็นบุคคลขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบก็สามารถทำการประเมินอย่างถูกต้องได้แล้ว
“วิชาหอกชนิดที่สองก็คือ ‘บดขยี้อากาศ’ กระบวนท่าที่สิบสองของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าของพวกเรา สามฝีหอกโจมตีบนร่างของมารเฒ่าเซวี่ยฝูอย่างต่อเนื่อง” จ้าวทานเผิงพูด “บดขยี้อากาศเป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพ พลานุภาพมหาศาล เพียงแต่ค่อนข้างจะโง่เง่าตรงไปตรงมาอยู่สักหน่อย สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายยิ่ง! แต่ยามที่ปรากฏบนหัวหอกในมือของคุณชายเสวี่ยอิง แล้วไปถึงข้างกายของมารเฒ่าเซวี่ยฝู มารเฒ่าเซวี่ยฝูกลับมิอาจต้านทานได้เลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว ถูกโจมตีเต็มๆ”
“ถึงแม้ว่า ‘บดขยี้อากาศ’ จะมีพลังคุกคามมหาศาล มารเฒ่าเซวี่ยฝูไม่นับว่าแข็งแกร่งทางด้านการหลอมร่างกาย แต่เพียงแค่สามฝีหอกก็สิ้นลมแล้วนั้น หอกยาวในมือของคุณชายเสวี่ยอิงด้ามนี้… จะต้องเป็นอาวุธลับล้ำค่าอันร้ายกาจอย่างที่สุดเป็นแน่! ทำให้ ‘บดขยี้อากาศ’ สำแดงพลานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมาได้” จ้าวทานเผิงพูด
ทุกคนในที่นั้นพยักหน้า
ทำลายค่ายกลรบก่อน
พอไม่มีค่ายกลรบคุ้มกัน ความสามารถในการปกป้องชีวิตของมารเฒ่าเซวี่ยฝูก็ลดลงอย่างมหาศาล แต่เพียงแค่สามฝีหอกก็สิ้นชีวิตแล้วนั้นก็ออกจะเกินจริงไปเสียแล้ว มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้นก็คือ หอกยาวด้ามนั้นคืออาวุธลับล้ำค่าอันน่าหวาดหวั่น
“นี่ยังมิได้ร้ายกาจที่สุดหรอก”
บนใบหน้าของประมุขรัฐเมฆทักษิณาปรากฏรอยยิ้มขึ้น เขาพูดพลางยิ้มน้อยๆ “วิธีการทำลายค่ายกลรบ อาวุธลับล้ำค่าหอกยาวในมือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรองทั้งสิ้น …สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดเจ้าเด็กน้อยอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็คือเคล็ดเขตพลังของเขา! อาณาเขตกฎเกณฑ์ของมารเซวี่ยฝูสมบูรณ์แบบเพียงใด กดดันระลอกคลื่นทั้งหมด แต่อิงซานเสวี่ยอิงยังคงสามารถควบคุมอากาศได้เช่นเดิม ทำให้หอกยาวไปปรากฏข้างกายมารเซวี่ยฝูได้อย่างง่ายดาย ปรากฏขึ้นเฉยๆ ก็แล้วไปเถิด ว่ากันตามเหตุผลแล้ว มารเซวี่ยฝูควรจะสามารถรับสัมผัสร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงห้วงอากาศได้ ก็ควรจะต้านรับได้ทันการณ์! แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาผู้เป็นถึงยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ยอดฝีมือที่มีความร้ายกาจที่สุดในด้านการต่อสู้ประชิดตัว ถึงกับมิได้ต้านรับเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว เห็นได้ชัดว่าการควบคุมอากาศก็ร้ายกาจเหลือเกิน สำแดงได้ในพริบตา ไร้ซึ่งร่องรอยในทุกๆ ครั้ง!”
“อืม”
“ใช่”
ทุกคนในที่นั้นยอมรับ
ใช่แล้ว
ทำให้ยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนหนึ่ง มิได้ป้องกันเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว เคล็ดเขตพลังเช่นนี้ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้
ก็เพราะเขตพลังอันน่าหวาดหวั่นนี้เป็นเหตุ ทำให้ ‘บดขยี้อากาศ’ ที่เดิมทีทึ่มทื่อตรงไปตรงมาเกิดผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ขึ้น!
“จะต้านก็ต้านไม่อยู่ ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง”ทุกคนในที่นั้นพากันประหลาดใจ
“แม่เฒ่า ยินดีด้วย” ท่านหญิงกุ่ยลี่เอ่ยชม
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่เฒ่า ตระกูลอิงซานมีเจ้าเด็กน้อยที่ล้ำเลิศโผล่ขึ้นมาคนหนึ่งเสียแล้วสิ” จ้าวเทียนยินพูดยิ้มๆ
แม่เฒ่าอิงซานเองก็ยิ้มตาหยี ในใจของนางกลับมีการคาดการณ์บางอย่างรางๆ ในบันทึกที่ฉีกขาดกระจัดกระจายเกี่ยวกับดินแดนจิตโลกาในตอนแรกเริ่มจำนวนหนึ่งของ ‘นายท่านฉื้ออวิ๋น’ หนึ่งในบรรดาผู้แกร่งกล้าที่มีชื่อเสียงในด้านการไม่กลัวเกรงการต่อสู้ตะลุมบอนและมีเขตพลังห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด ผู้เคารพผู้ยิ่งใหญ่ที่มีสถานะสูงส่งเป็นที่สุดของสกุลฝานในตอนนี้ กระทั่งปัจจุบันยังพูดกันว่านายท่านฉื้ออวิ๋นมิได้ด้อยไปกว่าเขาเลย จนใจที่ในช่วงเวลานั้นยังเป็นช่วงก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งแรก เคล็ดวิชาจำนวนมากก็มิได้ถูกคิดค้นออกมา นายท่านฉื้ออวิ๋นดึงดันเกินไปจนถึงแก่ความตายในที่สุด ถ้าหากเป็นยุคปัจจุบันนี้ ยิ่งสามารถครอบครองเคล็ดลับรักษาชีวิตไว้ได้มากเท่าใด การจะตายนั้นก็ยิ่งเป็นไปได้ยากแล้ว ผู้หยิ่งยโสอย่างประมุขรัฐเพรียกหิมะนั้นจะมิได้ยังคงมีชีวิตอยู่หรือไร
“เจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิง ตอนนั้นก็อยากจะได้หัวหอกนี้มาครอบครองมาโดยตลอด ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ใช่หรือไม่” แม่เฒ่าอิงซานแอบคาดเดา ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าชราก็ยิ่งสว่างไสว เพียงแค่สามร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้นเอง ทำให้ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ศิษย์บ้านตนศึกษาเคล็ดวิชาเช่นนี้ได้สำเร็จ จนไปถึงระดับพลังยุทธ์เช่นนี้ได้ก็คุ้มค่าเหลือเกินแล้ว!
……
นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา ณ คฤหาสน์สกุลฝาน
“นี่มัน…” ฝานเทียนฉ่งถลึงตาจนเบิกโพลง คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้าง ที่ดีหน่อยก็ผุดลุกขึ้นยืนในทันใด ต่างก็มองดูภาพเหตุการณ์บนกระจกยลฟ้าอย่างตื่นตะลึง
“เด็กดี นี่ นี่มันชวนให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว” ฝานเทียนฉ่งลอบพึมพำ แววตาของเขาชั่วช้าเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคล็ดสืบทอดทางสายนายท่านฉื้ออวิ๋นเลย กระทั่งปัจจุบันทั่วทั้งดินแดนจิตโลกานั้นมีเพียงที่เดียวที่มี ก็คือภายในสกุลฝาน นั่นคือเคล็ดสืบทอดลับภายใน ไม่เผยแพร่ออกสู่ภายนอก! เพราะพวกเขาล้วนเข้าใจกันเป็นอย่างดียิ่งว่ายุทธวิธีเมฆาแดงนั้นแกร่งกล้าสักเพียงใด
“เขาต้องการหัวหอกนั่นมาโดยตลอดเลยเช่นนั้นหรือ เพื่ออาศัยสิ่งนี้ตระหนักรู้ยุทธวิธีของนายท่านฉื้ออวิ๋นอย่างนั้นหรือ” ฝานเทียนฉ่งลอบบ่นพึมพำ “การตระหนักรู้นี้ก็ชวนให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว”
อาศัยเพียงแค่ร่องรอยลับของอาวุธลับล้ำค่า ก็ตระหนักรู้ยุทธวิธีได้แล้ว
เทียบกับการให้ตนไปคิดค้นจากศูนย์ ระดับความยากก็คงจะต่างกันไม่มากสักเท่าใดเลย ถ้าหากมีศาสตร์ลับที่สมบูรณ์ทำการเหนี่ยวนำชี้แนะ เช่นนั้นก็น่าจะผ่อนคลายกว่าเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“ยังดี ยังดี อย่างมากเขาก็แค่ตระหนักรู้ยุทธวิธีบางส่วนที่ค่อนข้างอ่อนแอของนายท่านฉื้ออวิ๋น ส่วนที่สูงส่งล้ำลึกอย่างแท้จริงนั้นก็มิได้หยั่งรู้ได้อย่างง่ายดายนักหรอก” ฝานเทียนฉ่งลอบบ่นพึมพำ
……
ความมืดแผ่ปกคลุมภายในโถงตำหนักอันกว้างขวางหรูหรา
เจ้าลัทธิทั้งสามผู้เลื่องชื่อของดินแดนจิตโลกาต่างก็นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด เบื้องล่างมีเทพจักรวาลเจ็ดคนและเหล่าประมุขมารกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ เดิมทีทุกคนอยู่ในบรรยากาศผ่อนคลาย มองดูภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนกระจกยลฟ้าด้วยรอยยิ้ม สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คืองานเลี้ยงอันรื่นเริงงานหนึ่ง พวกเขามองดูผู้ใต้บังคับบัญชาของตนบูชาโลหิตที่รัฐเมฆทักษิณาอย่างเบิกบานใจยิ่ง
“หืม”
“นี่ นี่มัน…”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ทุกคนตะลึงงันไปเสียแล้ว
เจ้าลัทธิทั้งสามผู้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งสูงด้านบนต่างก็ตกตะลึง เพียงชั่วพริบตาบรรยากาศอันสุขสันต์ภายในโถงตำหนักก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงัดแทน
“เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้เล่า เป็นยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบของดินแดนจิตโลกาคนใดให้ที่พักพิงในเมืองอัคคีโชติ” ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งสามด้านบน เจ้าลัทธิเหยียนโม๋ผู้นั่งอยู่ตรงกลางเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเรื่อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักอิงซานเสวี่ยอิงเลย ถึงอย่างไรด้วยสถานะของเขา ก็ย่อมไม่สนใจที่จะรู้ข่าวคราวพวกนี้อยู่แล้ว
“เรียนท่านเจ้าลัทธิ เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามว่าอิงซานเสวี่ยอิงขอรับ” ร่างแปรของชายชราผมเขียวรูปร่างซูบผอมยืดกายลุกขึ้นในทันใด แล้วเริ่มเอ่ยตอบอย่างเคารพนบนอบ “เขาเป็นศิษย์ตระกูลอิงซาน ยามที่ถือกำเนิดนั้น…”
******
การสอดแนมทุกหนทุกแห่งของโลกภายนอกอยู่ห่างๆ รวมถึงภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ รัฐเพรียกหิมะ รัฐวอเฟิง และรัฐประเทศโดยรอบ การสอดแนมจำนวนหนึ่งในรัฐโบราณจันทร์โรจน์ ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็สังเกตพบหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้ได้ในทันที แล้วก็ต้องพรั่นพรึงด้วยพลังยุทธ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้ เริ่มต้นรวบรวมข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับเขาในทันที
แต่ที่เมืองอัคคีโชติ การต่อสู้กลับยังคงดำเนินต่อไป
“อะไรนะ!”
เดิมทีมีแววสังหารล้นฟ้า ‘เฉินอู่’ บุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งผู้ที่กำลังนำลูกน้องสามคนล้อมโจมตีกลุ่มคนของท่านโหวหั่วเลี่ยตกใจจนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว เขาสามารถป่ายปีนจากระดับล่างสุดของทะเลสาบมารทมิฬขึ้นมาทีละก้าวๆ จนถึงตำแหน่งสูงในปัจจุบันนี้ดูคล้ายว่าการ ‘เสาะหาลาภ หลีกเลี่ยงภัย’ จะเป็นสัญชาตญาณของเฉินอู่
“ไปเร็ว!” เฉินอู่ถ่ายเสียงตะโกนพูด
“ไป” มารขั้นอลวนคนอื่นๆ อีกสามคนล้วนตื่นตระหนก พวกเขาตกใจกลัวอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว!
มารเฒ่าเซวี่ยฝูนำทัพลูกน้อง แต่ก็มิได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงพริบตาก็ถูกผลาญไปเสียแล้ว
“ปัง”
พวกเขาขั้นอลวนสี่คนถอยหลังกรูดในทันใด รักษาเขตพลังเอาไว้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาพาตัวเข้ามาใกล้ได้ในทันที หลังจากที่อยู่ห่างจากท่านโหวหั่วเลี่ยเป็นระยะทางหนึ่งแสนลี้แล้วก็ถอนแรงกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตนไปในทันที จากนั้นก็เคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
……
“ไป”
“น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว”
“ไปเร็วเข้า”
“ถ้าสายเกินก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว”
พลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งกองอื่นๆ อีกสี่กองร้อยที่อยู่ภายในจวนโหว แต่ละคนต่างก็พากันเคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีด้วยสัญชาตญาณ มารเฒ่าเซวี่ยฝูผู้สูงส่งนำทัพขั้นอลวนสามคนก็ถูกผลาญในชั่วพริบตา แล้วใครจะไปต้านหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นกันเล่า
……
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องสูงของทั้งศูนย์กลางเมืองอัคคีโชติ ในขณะนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อยเช่นกัน เขาเก็บขวดมารบูชาโลหิตตรงหน้าขึ้นมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงออกคำสั่งว่า “หยุดการบูชาโลหิตเอาไว้ชั่วคราว ห้ามสังหารเป็นการชั่วคราว”
“ขอรับ”
พลพรรคมารกองแล้วกองเล่าที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งของเมืองอัคคีโชติพากันรับคำสั่งกันจนสิ้น ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังหลบหนีอย่างสิ้นหวังเหล่านั้นต่างก็พากันงงงันอยู่บ้าง พลพรรคมารเหล่านั้นถึงกับหยุดมือเสียแล้วอย่างนั้นหรือ
เก็บขวดมารขึ้นมาเป็นการชั่วคราว
ต่อให้ทำการสังหารในตอนนี้ พลังงานอันเป็นพื้นฐานที่สุดสายนั้นที่หลบหนีภายในวิญญาณก็จะเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่งเป็นการชั่วคราวก่อน
“อิงซานเสวี่ยอิงหรือ” ประมุขมารเมฆาขาวเก็บขวดมารบูชาโลหิตขึ้นมา แววตาจับอยู่บนร่างของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้อยู่กลางท้องฟ้าเบื้องบนของจวนโหวผู้นั้นอย่างรางๆ
……………………………………….