ตอนที่ 43 ประมุขมารเมฆาขาวปะทะคุณชายเสวี่ยอิง (1) Ink Stone_Fantasy
กลางจวนท่านโหวหั่วเลี่ย เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่เดิมทีหลบหนีกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศต่างก็หยุดยั้งลง พวกเขามองเห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่กลางอากาศแล้วเคลื่อนที่ในพริบตามาถึงยังข้างกายท่านโหวหั่วเลี่ย
“เหตุใดพวกมารจึงไปกันหมดแล้วเล่า”
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิง! เมื่อครู่คุณชายเสวี่ยอิงฟันฉับๆๆ ก็กำจัดมารขั้นอลวนสี่คนได้เรียบร้อยแล้ว”
“อะไรนะ ขั้นอลวนสี่คนหรือ นั่นมิใช่ผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นเฟิงโหวกันทั้งสิ้นหรือไร”
“ถูกต้อง เพียงชั่วพริบตาก็ถูกผลาญจนสิ้นเสียแล้วมารทั้งหมดที่มีอยู่ก็ถูกทำให้ตกใจจนหนีกระเจิดกระเจิงกันไปหมดแล้ว”
เหล่าทหารข้างกายท่านโหวหั่วเลี่ย รวมถึงเหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่ได้เห็นการต่อสู้นั้นต่างก็พากันกระจายข่าวกันอย่างบ้าคลั่ง
สายตาที่บรรดาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนภายในจวนโหวมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนเต็มไปด้วยความยกย่องชื่นชม
ร้ายกาจเกินไปแล้ว
แม้กระทั่งทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคนที่นำโดยท่านโหวหั่วเลี่ย ต่างก็ถูกกดดันโดยสมบูรณ์
‘คุณชายเสวี่ยอิง’ เพียงแค่ฟันฉับๆๆ ก็จัดการขั้นอลวนสี่คนได้เรียบแล้ว ทำเอามารทั้งหมดที่มรอยู่พากันตกใจจนหนีไปหมดอย่างนั้นหรือ
ในขณะนี้
ในใจผู้คนตระกูลอิงซานจำนวนนับไม่ถ้วนของจวนโหว สถานะของคุณชายเสวี่ยอิงนั้นสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เหนือกว่าสถานะของท่านโหวหั่วเลี่ยเสียอีก
ร้ายกาจล้นฟ้าเกินไปเสียแล้ว!
“นี่คือผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศของตระกูลอิงซานของพวกเรา” เหล่าศิษย์ตระกูลอิงซานจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกภาคภูมิใจ ในใจเต็มไปด้วยความทระนง แต่ละคนมองเงาร่างที่อยู่กลางอากาศสายนั้นอย่างเคารพเทิดทูน…
“เสวี่ยอิง พลังยุทธ์ของเจ้านี้มันช่าง…” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ
“ท่านโหว สงครามครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด ในบรรดาพวกเขายังมีประมุขมารเมฆาขาวอยู่ด้วยคนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาทำอะไรท่านเมื่อถึงเวลานั้น จนรบกวนจิตใจข้า! ข้าก็จะเก็บพวกท่านเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เป็นการชั่วคราว”
“ได้สิ” ท่านโหวหั่วเลี่ยพยักหน้า
เขาเข้าใจดีว่า…ท่ามกลางการปะทะในระดับนี้ระหว่างอิงซานเสวี่ยอิงและประมุขมารเมฆาขาว เขาก็ทำได้เพียงแค่ร่นถอยเท่านั้น
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง
ท่านโหวหั่วเลี่ยกับทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคนที่อยู่ข้างกาย ถูกเก็บตัวเข้าไปภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์จนหมดสิ้นโดยที่แต่ละคนก็มิได้ต้านทาน
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายตัวไปกลางอากาศ มิอาจเห็นได้อีก
******
“จัดวางค่ายกลรบมารทมิฬ” ทางฝั่งตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา ขั้นอลวนสิบสองคนร่วมมือกันล้อมโจมตีร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้ เพิ่งจะบุกสังหาร แต่ในขณะนี้ ‘เฉินอู่’ ก็นำทัพขั้นอลวนสามคนมา พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความน่าหวาดหวั่นของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น ทันใดนั้นก็นึกอยากจะจัดวาง ‘ค่ายกลรบมารทมิฬ’ ขึ้นมา
ค่ายกลรบมารทมิฬมีความซับซ้อนเป็นที่สุด โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นขั้นอลวนจึงจะสามารถจัดวางได้
สี่คนที่ล้วนเป็นขั้นอลวนร่วมมือกัน
ถ้าหากเป็น ‘ค่ายกลรบมารทมิฬ’ ทั้งยังเป็น ‘ค่ายกลรบมารทมิฬ’ สี่แห่งประกอบเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับเป็นขั้นอลวนสิบหกคน ขณะนี้ที่นี่ก็มีอยู่สิบหกคนพอดิบพอดี
“พวกเราขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าที่นี่ก็มีอยู่สี่คน ทั้งยังมีขั้นอลวนคนอื่นๆ อีกสิบสองคน ประกอบกันเป็นค่ายกลรบมารทมิฬ ก็น่าจะสามารถกดดันประมุขมารได้บ้างแล้ว” บรรดาขั้นอลวนเหล่านี้ต่างก็มีความมั่นใจอย่างเต็มที่กันทุกคน
ประมุขมารเมฆาขาวเคลื่อนที่ในพริบตาปรากฏกายขึ้น
“ท่านประมุขมารขอรับ” มารขั้นอลวนสิบหกคนต่างก็พากันทักทายอย่างเคารพ
“พวกเซวี่ยฝูถูกสังหารในชั่วพริบตา หรือว่าพวกเจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ ต่อหน้าคุณชายเสวี่ยอิง ค่ายกลรบก็คือเรื่องน่าขัน วิชาหอกของเขาสามารถโจมตีผู้อ่อนแอภายในค่ายกลรบได้อย่างสมบูรณ์” ประมุขมารเมฆาขาวพูดเสียงเย็น
ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง
อะไรนะ โจมตีผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือ
กลวิธีที่สามารถหลีกเลี่ยงให้ค่ายกลรบโจมตีผู้อ่อนแอได้ ล้วนมิอาจเผยแพร่สู่ภายนอกได้โดยง่าย อีกทั้งการศึกษาให้สำเร็จได้นั้นก็ยังยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
“พวกเจ้าสี่คนรั้งอยู่ที่นี่ ส่วนขั้นอลวนคนอื่นๆ ก็ร่นถอยไปเป็นการชั่วคราวก่อน” ประมุขมารเมฆาขาวโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บตัวขั้นอลวนคนอื่นๆ สิบสองคนเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ บรรดามารเหล่านั้นต่างก็มิได้ต้านทาน พวกเขาก็เต็มใจจะหลบซ่อนตัวเป็นการชั่วคราว เพราะการหลบอยู่กับประมุขมารเมฆาขาวที่นี่นั้นพวกเขาต่างก็วางใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรหากค่ายกลรบไร้ประโยชน์ บรรดาขั้นอลวนชั้นที่เจ็ดชั้นที่แปดเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายเสวี่ยอิง ผลลัพธ์ที่จะเกิดได้ก็คือถูกสังหารหมู่
“พวกเจ้าสี่คนร่วมมือกันจัดวางค่ายกลรบแล้วก็ดูอยู่ข้างๆ ด้วย” ประมุขมารเมฆาขาวพูด
“ขอรับ” พวกเฉินอู่ ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าสี่คนจัดวางค่ายกลรบจนสำเร็จในทันที ชั่วขณะนั้นพวกเขาทุกคนสำแดงเคล็ดวิชาที่เชี่ยวชาญ บริเวณรอบๆ มีเพลิงอัสนีคุกรุ่น อีกทั้งยังมีระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดโคจรอยู่ด้วย แล้วยังมีเมฆดำแผ่ปกคลุม… ทุกกระบวนท่าของพวกเขามิได้ด้อยไปกว่าเซวี่ยฝูเลย สี่คนร่วมมือกัน ผลลัพธ์ก็ยิ่งล้ำเลิศ แน่นอนว่าสามารถอยู่ข้างๆ อย่างเงียบสงบได้
“คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ ก็ยกให้ข้าเสียเถิด” ประมุขมารเมฆาขาวยืนอยู่หน้าตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาอย่างเงียบเชียบ
……
ภายในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา ทุกส่วนงานล้วนปิดสนิท
ภายในห้องเงียบที่อยู่ด้านในสุดแห่งหนึ่ง
ฉุนอวี้เว่ยอีและคนกลุ่มหนึ่งต่างก็ซ่อนตัวกันอยู่ที่นี่
“อิงซานเสวี่ยอิงหรือ” ฉุนอวี้เว่ยอีก็ควบคุมค่ายกลย่อยทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติ รับสัมผัสทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติอยู่ตลอดเวลา ก็ได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารผลาญมารเฒ่าเซวี่ยฝูและขั้นอลวนสี่คนอย่างง่ายดาย
“พวกเรามีความหวัง มีความหวังในการใช้ชีวิตต่อไปแล้ว” ฉุนอวี้เว่ยอีดวงตาเปล่งประกาย
“ท่านประมุขตำหนัก ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนข้างนอกต่างก็ร่ำลือกันว่าคุณชายเสวี่ยอิงสังหารขั้นอลวนสี่คน เหล่ามารต่างก็พากันตกใจกลัวจนหยุดมือเลยทีเดียว” คนอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเงียบพูด
ฉุนอวี้เว่ยอีพยักหน้าอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง “ยังจำเป็นต้องรอก่อน”
ด้วยสถานะของเขา แน่นอนว่าต้องรู้กระจ่างดีอย่างยิ่งอยู่แล้วว่าบุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านนอกตำหนักในยามนี้ผู้นั้นเป็นบุคคลที่น่าหวาดหวั่นสักเพียงใด นั่นก็คือประมุขมารท่านหนึ่งในทะเลสาบมารทมิฬเลยทีเดียว!
******
ณ หอม่านเมฆ
“อะไรนะ เหล่ามารหยุดมือกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ”
“พี่เลี่ยฮู่ ได้ยินว่าคุณชายอิงซานเสวี่ยอิงบุตรชายท่านออกจากการปลีกวิเวกแล้วก็สังหารขั้นอลวนสี่คนในพริบตาเดียว ทำให้มารเหล่านั้นตกใจจนนิ่งงันกันไปหมด”
ที่บริเวณหน้าต่างของห้องรับแขกแห่งหนึ่งในหอม่านเมฆ ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงและอิงซานเลี่ยฮู่มองดูที่หน้าต่างไกลออกไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ กันสองคน
พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่ากลางอากาศไกลออกไปมีพลพรรคมารอยู่หลายกอง
ขณะนี้พลพรรคมารต่างก็หยุดมือ มิได้ทำการสังหารอีก
“เป็นบุตรชายข้าอย่างนั้นหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่กะพริบตาปริบๆ
“ข้าจะกล้าโป้ปดได้อย่างไร เป็นพี่ใหญ่ข้าบอกข้าด้วยตนเอง ท่านก็ระวังสักหน่อยล่ะ พี่ใหญ่กำชับข้ามาว่าจะต้องปกป้องท่านให้ดี” ฉุนอวี้เฟิงผู้อ้วนพีก็ตื่นเต้นเช่นกัน พลางมองไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง
พรึ่บ
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
อิงซานเลี่ยฮู่มองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศด้านนอกหน้าต่างอย่างตกตะลึง
ฉุนอวี้เฟิงที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งตะลึงตาค้าง “คุณชายเสวี่ยอิง”
“ท่านพ่อ ไม่จำเป็นต้องขัดขืนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“อืม” อิงซานเลี่ยฮู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือเก็บตัวบิดาเข้าไปภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ จากนั้นก็หันหน้าทอดสายตามองออกไปยังที่ห่างไกล เขาสามารถมองเห็นได้ว่ามี บุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งยืนอยู่ที่บริเวณไกลที่สุด อีกฝ่ายกำลังยืนอย่างสงบอยู่ที่นั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังรอเขาอยู่
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาจากไป
……
ด้านหน้าตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา
ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าสี่คนรวมทั้งเฉินอู่ยืนอยู่ข้างๆ ส่งกลิ่นอายงามสง่าไปทั่ว ทุกคนมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศตรงหน้าอย่างเย็นชา
“คุณชายเสวี่ยอิงแห่งตระกูลอิงซานผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ท่านโหวหั่วเลี่ยโชคดีเกินไปแล้ว เดิมทีข้ากับเซวี่ยฝูร่วมมือกัน ไม่ต้องนานสักเท่าใดก็สามารถสังหารท่านโหวหั่วเลี่ยจนตายได้แล้ว” เฉินอู่เอ่ยพึมพำ “ไม่ต้องรีบร้อน รอให้จัดการคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้เรียบร้อยเสียก่อน ถึงเวลานั้นการสังหารท่านโหวหั่วเลี่ยให้ตายก็เป็นเรื่องง่ายดายแล้ว”
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
มารขั้นอลวนสี่คนที่อยู่ห่างออกไปนั้นเขาก็มิอาจดูแคลนได้เลย เพราะว่าทั้งสี่คนนั้น สมาชิกทุกคนต่างก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การร่วมมือกันประกอบเป็นค่ายกลรบก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น แน่นอนว่า…ผู้ที่มีพลังคุกคามยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือประมุขมารเมฆาขาวตรงหน้าผู้นี้ นามอันน่าเกรงขามของประมุขมารเมฆาขาวในสี่รัฐมารทมิฬก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลจำนวนนับไม่ถ้วนหวาดหวั่น นามอันน่าเกรงขามของเขานั้นเพียงพอที่จะส่งแรงกดดันเทพจักรวาลที่ถือกำเนิดใหม่ได้เลยทีเดียว
ถ้าหากเป็นชาติก่อน ยามที่ตนไปถึงจุดสูงสุดก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของประมุขมารเมฆาขาวเลย แต่ในชาตินี้ตนเองโชคดีที่ได้ครอบครองหอกเทพเมฆาแดงอันสมบูรณ์นี้ เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญหมื่นห้าพันล้านปี ก็มิได้หวาดเกรงเขาเลย
“คุณชายเสวี่ยอิง” ประมุขมารเมฆาขาวเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสงบเงียบ
“ประมุขมารเมฆาขาว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดขึ้น หอกเทพเมฆาแดงในมือปลายด้ามหอกกระแทกลงกับพื้น เกิดเสียง ‘ตึง’ กึกก้องไปทั่วบริเวณรอบๆ
ประมุขมารเมฆาขาวพูดพลางยิ้มน้อยๆ “คุณชายเสวี่ยอิง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ รัฐเมฆทักษิณามียอดฝีมือผู้เปี่ยมพรสวรรค์อย่างท่านถือกำเนิดขึ้นมา ถ้าหากเป็นยามปกติ ข้าก็คงจะเชื้อเชิญท่านให้ร่วมดื่มกันสักหลายจอก มาถึงระดับพลังยุทธ์เช่นท่าน น้อยนักที่จะต้องมาตายจริงๆ! น่าเสียดายนัก คราวนี้เป็นวันบูชาโลหิต หมายถึงหน้าตาของทะเลสาบมารทมิฬของข้า! ข้าจำเป็นจะต้องฆ่าเจ้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาแต่กลับต้องมาตายเสียแล้ว”
“โอ้ ประมุขมารเมฆาขาว ช่างปากกล้าเสียเหลือเกิน กล้าแกร่งยิ่งกว่าพลังยุทธ์ของท่านเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายที่ชมดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ ในสถานที่แต่ละแห่งของดินแดนจิตโลกาต่างก็พากันลอบทอดถอนใจ
คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ใจกล้าใช้ได้เลยทีเดียว
“ฮ่าฮ่า…” ประมุขมารเมฆาขาวไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งทวีความเข้มข้น “ถ้าหากให้เวลาเจ้ามากพอ ให้เจ้าได้ทำให้พลังยุทธ์ของตนเองสมบูรณ์แบบ การที่ข้าจะสังหารเจ้าได้นั้นเกรงว่าคงจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับตอนนี้น่ะหรือ เทพจักรวาลที่เพิ่งบรรลุใหม่แล้วยังมิได้มีพลังยุทธ์อันสมบูรณ์แบบ เกรงว่าคงมิใช่คู่ต่อสู้ของข้าด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเจ้าเลย”
“จะทำให้จิตใจข้าสั่นไหวหรือ เสียแรงเปล่าแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ก็ดี”
ประมุขมารเมฆาขาวพยักหน้าน้อยๆ “เชื่อว่าในขณะนี้ ขุมอำนาจของดินแดนจิตโลกาที่กำลังชมดูการต่อสู้คงจะมีไม่น้อย ตายไปในการต่อสู้เช่นนี้ ก็คงมิได้นับว่าเป็นการดูแคลนเจ้าหรอกนะ รับกระบวนท่าเถิด”
เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป
ปัง… อาณาบริเวณสิบล้านลี้โดยรอบพลันมีเมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น เมฆหมอกทุกสายต่างก็ขยับพลิกม้วนตัว เมฆหมอกที่ดูเหมือนอ่อนแอ แต่กลับมีพลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุด บริเวณที่เคลื่อนผ่านไป อาคารบ้านเรือนเหล่านั้นต่างก็ล้มลงมาบนพื้นดินเสียงดังโครมคราม ถึงแม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ไกลออกไปจะหลบหนีไปไกลไม่กล้าเข้าใกล้ จนใจที่อาณาบริเวณสิบล้านลี้นั้นใหญ่โตเกินไป ผู้ที่อ่อนแอสักหน่อยยังมิได้หนีไปไกลสักเท่าใดนัก ก็ถูกเมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมแล้วผลาญทำลายจนหมดสิ้น
ในระยะสิบล้านลี้ แม้กระทั่งอาคารรอบนอกของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาก็ยังแหลกละเอียดไปจนสิ้น เหลือเอาไว้เพียงแค่ประกายค่ายกลที่กะพริบวับวาบของวังที่เป็นแก่นสำคัญทางด้านในเท่านั้น ยากที่จะต้านทานได้
เมฆหมอกนี้ก็แผ่กระจายมาถึงตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน
……………………………………………………….