จะบอกว่าไม่กังวลเลยก็คงไม่ใช่ ในต้าถังไม่มีใครสามารถมองข้ามเฝิงอั้งได้ นึกถึงตอนที่เฝิงอั้งเข้ามาฉางอันตอนแรก ดูจากของรางวัลที่หลี่ซือหมินมอบให้เขาก็รู้ว่าเขามีอำนาจมากเพียงใด
ในแคว้นหลิ่งหนานแห่งนี้เขาคือคนที่มีอิทธิพล
พยายามคิดหาวิธีที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเฝิงอั้ง ถึงได้ใช้วิธีปีศาจดินปืนเช่นนี้ ผลักเรื่องราวทุกอย่างออกไป แต่ช่างน่าเสียดายที่คิดแล้วคิดอีกแต่ก็คิดพลาดไปจุดหนึ่ง ตระกูลเฝิงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน แค่คำพูดคำสองคำก็เพียงพอแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะผิด แต่ตระกูลเฝิงก็จะทำให้มันถูกจนได้
ลูกชายของตัวเองน่าจะถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตาย หรืออาจจะถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตาย คงจะถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตาย เช่นนั้นก็แสดงว่าถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตายจริงๆ นี่คือหลักการของตระกูลเฝิง ทำเช่นนี้ที่หลิ่งหนานมาแล้วหลายปี เฝิงจื้อหย่งก็ใช้หลักการนี้มาเอาเรื่องกับหลี่อันหลาน เพียงแต่รู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยน่าสงสัยมากกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมาย
สำหรับการคุกคามของคนในตำนานที่ยิงธนูแค่ลูกเดียวก็ทำให้เรื่องราววุ่นวายสงบลงได้ อวิ๋นเยี่ยต้องการวิธีรับมือที่ดีกว่านี้
บนโลกใบนี้ คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะกอบกู้โลกได้ก็คือหลี่ซือหมินคนเดียวเท่านั้น หากเฝิงอั้งเป็นเสือที่ดุร้ายในป่าเขา หลี่ซือหมินก็คือมังกรที่บินอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า อวิ๋นเยี่ยในฐานะหมาป่า ตอนนี้จำเป็นจะต้องหาความช่วยเหลือ รับมือกับเสือร้ายที่กำลังโมโห ต้องหามังกรมารับมือจึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหลี่ซือหมินเป็นหัวหน้าที่เข้าใจคนอื่นมากที่สุด ความสำเร็จอย่างหนึ่งของเขาก็คือเขาไม่เคยทำให้น้องชายของเขาผิดหวัง เมื่อตอนที่อวิ๋นเยี่ยเสแสร้งยิ้มและอยู่ไปราวกับว่าวันๆ หนึ่งนานนับปี ขณะเดียวกันเขาก็ส่งอู๋เสอให้เดินทางมาถึงยงโจวโดยที่ไม่ต้องบอกอะไร
ไม่ทันได้ทักทายปราศรัย ไม่ทันได้ดื่มน้ำจิบชา เรื่องแรกที่อู๋เสอทำก็คือตรวจสอบคลังสมบัติของค่าย เห็นสมบัติล้ำค่ากองเท่าภูเขา เขาถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก กลับมามีท่าทางเคร่งขรึมดังเดิมอีกครั้ง ระหว่างทำการตรวจสอบก็หยิบสิ่งของบางอย่างมาไว้ในแขนอย่างไม่รู้ตัว ยิ้มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยกับหงเฉิงว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดี เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้านำพระราชโองการของฝ่าบาทมา ฉบับนี้ให้อวิ๋นโหว ฉบับนี้ให้แม่ทัพหงเฉิง อยู่ที่หลิ่งหนาน ข้าจะไม่ป่าวประกาศ เจ้าไปอ่านดูเอง ข้าต้องการหาที่พักผ่อน”
หงเฉิงที่โง่เขลาอยากจะให้ขันทีท่านนี้ไปพักผ่อนที่หอนางโลม นี่เป็นผลมาจากการถูกลาเตะสมองนับครั้งไม่ถ้วน อวิ๋นเยี่ยหลับตาลงทนเห็นไม่ได้ เสียงกรีดร้องที่ราวกับเสียงหมูถูกฆ่าของหงเฉิงดังเข้ามาในหู กรงเล็บนกอินทรีอันทรงพลังของอู๋เสอได้ทักทายกับข้อต่อทั่วร่างกายของหงเฉิง ล้วนแต่เป็นคนรับใช้ที่จงรักภักดีของฮ่องเต้ ความโง่ของหงเฉิงเป็นที่รู้กันไปทั่ว ไอ้หมอนี่อาศัยความจงรักภักดีตั้งแต่สิบขวบจนถึงอายุสามสิบก็ยังไม่ถูกตัดหัว ก็ถือว่าหลี่ซือหมินมีความเมตตามากพอแล้ว
อู๋เสอมาแล้ว ปัญหาทั้งหมดก็ควรตกเป็นของหลี่ซือหมิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ลูกชายสามคนของตระกูลเฝิงถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย ถึงแม้ว่าลูกชายทั้งหมดของตระกูลเขาจะถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย เฝิงอั้งก็ควรคิดที่จะมีลูกชายเพิ่มอีกสักสองสามคน ไม่ใช่คิดที่จะมาหาเรื่องใครเช่นนี้
เมื่อเรื่องราวเลวร้ายผ่านพ้นไปจึงพาอู๋เสอมาที่จวนองค์หญิง เขาควรที่จะอยู่ที่บ้านของเจ้านายตัวเอง อู๋เสอพอใจเป็นอย่างมาก โค้งคำนับองค์หญิง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากการพลัดพรากจากกันไป ทั้งสองคนพูดคุยพลางหัวเราะกันอย่างมีความสุข
มีองครักษ์ฟรีๆ มาถึงที่ จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร ห้องที่จัดไว้ให้อู๋เสออยู่ติดกับห้องของหลี่อันหลาน อู๋เสอรู้ดีว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยถึงทำเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าอนาคตตัวเองยังต้องกลับไปอยู่ที่สำนักศึกษา ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คอยดูแลรักษาความปลอดภัยของพวกหลี่อันหลานสองแม่ลูกด้วยความสมัครใจ
กลับมาที่ห้อง เปิดดูพระราชโองการของหลี่ซือหมิน ทั้งหมดเต็มไปด้วยคำว่าเงิน สองล้านเหรียญเป็นตัวเลขของสมุหนายกซึ่งได้รับการคำนวณมาอย่างละเอียดโดยเจ้ากรม ทว่าหากมีน้อยกว่านี้ หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยกลับไปเขาจะต้องถูกส่งตัวไปยังแนวหน้าในฐานะเสบียงอาหารของเหล่าทหารกองทัพ นี่มันตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ บอกอวิ๋นเยี่ยว่าขุนนางทุกฝ่ายเห็นพ้องตรงกันว่าจะบริจาคเงินหกส่วนให้กับหลิ่งหนาน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของราชสำนัก ให้อวิ๋นเยี่ยขนส่งทรัพย์สมบัติกลับเมืองหลวงโดยเร็ว เหล่าขุนนางกำลังรอเงินเดือนกันอยู่
รู้สึกดีตอนเห็นคำที่บอกว่าให้ตัดสินใจด้วยตัวเองมากที่สุด หลี่ซือหมินรู้ดีว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการตำแหน่งขุนนางระดับล่างจำนวนมาก เขาจึงให้กรมมหาดไทยมอบตำแหน่งว่างห้าร้อยตำแหน่งให้แก่อวิ๋นเยี่ย แต่ที่มีประโยชน์ต่อแคว้นหลิ่งหนานจริงๆ ก็มีผู้บัญชาการหนึ่งคน แม่ทัพสี่คน พร้อมทหารใกล้ชิดอีกหนึ่งร้อยนาย ต่อไปพวกเขาจะเป็นผู้ควบคุมแคว้นหลิ่งหนานในอนาคต สำหรับการควบคุมขุนนาง หลี่ซือหมินไม่เคยยืดหยุ่น ถึงแม้ว่าจะเป็นดินแดนที่เป็นพิษเป็นภัยอย่างหลิ่งหนาน นี่คือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เขากลายเป็นฮ่องเต้ที่ประสบความสำเร็จ
ด้วยสังคมกองทัพทหารของอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เคยได้ยินชื่อเเม่ทัพไหวฮว่าระดับสี่คนนี้ คนต้นแบบของเมืองหลวง หน้าเหลี่ยม คิ้วหนาตาโต ไว้หนวดสั้น แขนยาวขายาว ร่างใหญ่ เดินไปไหนก็มีท่วงท่าสง่างาม ดูรู้ทันทีว่าเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญ กระเป๋าเก็บของของหลี่ซือหมินดูเหมือนจะไม่สามารถคาดเดาได้
“แม่ทัพซุนเหรินซือคารวะอวิ๋นโหว เรื่องกองทัพที่หลิ่งหนาน ยังต้องการคำแนะนำจากอวิ๋นโหว” คนอายุสี่สิบกว่าโค้งคำนับให้ชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบแล้วขอคำแนะนำ จิตใจไม่คับแคบเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นคนใจกว้าง
“แม่ทัพเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ากำลังกังวลเรื่องที่ทำให้เฝิงกงไม่พอใจ พอคิดว่าเฝิงกงจะต้องมาเอาเรื่องข้า ข้าก็นั่งไม่ติด คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพจะมาถึงที่นี่ ข้าโล่งใจไม่น้อย นักฆ่าข้างนอกที่อยากรับตำแหน่งพวกนั้น ให้เจ้าเป็นคนจัดการจะดีกว่า ข้าจะได้นอนหลับสักตื่น”
ส่งมอบอำนาจกองทัพทหารออกไปให้เร็วที่สุดเป็นวิธีปฏิบัติของต้าถัง เจ้าสามารถยืดเวลาออกไปได้ เพียงเพื่อผลประโยชน์ จัดการต้นสายปลายเหตุให้เรียบร้อย ทุกคนต่างเข้าใจ หรือยืดเวลาสักสิบวันครึ่งเดือนทุกคนก็ยังคงหัวเราะ ไม่มีใครว่าอะไร แต่อำนาจทางกองทัพทหารไม่ใช่เรื่องง่าย แม่ทัพคนใหม่มาแล้ว หากเจ้ายังไม่ยอมปล่อยมือ เจ้าต้องการทำอะไร
“อวิ๋นโหวเกรงใจเกินไปแล้ว ตอนที่ข้าเดินทางมา ฝ่าบาทบอกว่าดินแดนทุรกันดารย่อมมีกฎระเบียบของดินแดนทุรกันดาร แนวทางปฏิบัติของเมืองหลวงอาจจะใช้ในหลิ่งหนานไม่ได้ ดังนั้นข้ายังต้องฟังคำแนะนำจากอวิ๋นโหว”
“ไม่ได้มีอะไรมาก ก่อนหน้านี้ข้าจัดการไปแล้วนิดหน่อย เพียงแต่เฝิงอั้งคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าลูกชายสามคนของเขา ตอนนี้กำลังขี่ม้าเร็วมาเอาเหตุผลจากข้า เรื่องนี้จะปล่อยปละละเลยไม่ได้”
“ข้าได้ยินมาว่าลูกชายทั้งสามของเขาถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย เหตุใดถึงได้มาลงที่อวิ๋นโหวได้ คาดเดาเหตุการณ์เหลวไหลไม่ใช่พฤติกกรรมของเฝิงกง”
ไอ้เจ้านี่ดูเหมือนจะติดต่อกับคนของตัวเองที่หลิ่งหนานอยู่แล้ว คงรู้เรื่องอะไรแล้วบ้าง เมื่อครู่ในคลังสมบัติ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังฝืนยิ้ม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลี่ซื่อหมินเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลเขาไปแล้วเท่าไหร่
“เรื่องนี้ต้องโทษข้า ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยขึ้นไปตีกลองบนภูเขา ใครจะรู้ว่าสัตว์ป่าในหลิ่งหนานตกใจตื่น พากันวิ่งไปตามถนนบนภูเขา ลูกชายสามคนของตระกูลเฝิง แล้วยังมีพวกคนที่ไม่ชอบต้าถังอีกกว่าร้อยคนถูกสัตว์ป่าพวกนั้นเหยียบตาย ท่านชายที่หกของตระกูลเฝิงก็เลยมาเอาเรื่องที่จวน บอกว่าต้องการคำอธิบายจากข้า ตอนนี้แม้แต่เฝิงกงก็ตื่นตระหนกไปด้วย ต้องการมาคิดบัญชีกับข้า”
ล้วนแต่เป็นคนฉลาด หากต้องการให้เขารับผิดชอบแทนก็จะต้องอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เขาไม่พอใจ กลายเป็นหาศัตรูให้ตัวเองโดยใช่เหตุ เมื่อหลี่ซือหมินส่งเขามา แสดงว่าเห็นถึงความสามารถและความจงรักภักดีของคนคนนี้ การปิดบังเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด
“ที่แท้ก็ไม่ใช่เทพภูเขาตีกลอง ต้องเรียกว่าอวิ๋นโหวตีกลองถึงจะถูก คนไม่รักดีตายไปไม่กี่คน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อยู่ที่หลิ่งหนาน เรามีคนอยู่ไม่กี่คน ไม่เชือดไก่ให้ลิงดู จะรอให้พวกเขาขึ้นมาขี่คองั้นหรือ เฝิงกงมาครั้งนี้ ข้าออกไปต้อนรับเอง ล้วนแต่เป็นชายชาติทหารด้วยกัน ทำร้ายความรู้สึกกันมันไม่ดี เฝิงกงมีลูกชายตั้งมากมาย ตายไปสักสองสามคนไม่ใช่ปัญหา มีเพิ่มอีกก็ได้” เมื่อพูดจบตัวเองก็รู้สึกตลกขบขันจึงหัวเราะชอบใจกับอวิ๋นเยี่ยสองคน
“เหล่าซุน ข้าต้องไปแล้ว พระราชโองการของฝ่าบาทเร่งรัด เมื่อขนเสบียงอาหารขึ้นเรือเรียบร้อย ข้าก็จะต้องออกเดินทางแล้ว ซึ่งตามกฎแล้ว เรื่องทรัพย์สมบัติพวกนี้ก็ต้องมีที่มาที่ไป”
เมื่อครู่เป็นเรื่องของกองทัพทหาร ตอนนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ถึงอวิ๋นเยี่ยจะไม่ได้วางท่าทางแบบขุนนางระดับสาม ซุนเหรินซือก็ถอดหมวดเกราะออก โค้งคำนับ นั่งลงตรงข้ามกันและกันก่อนจะเริ่มดื่มเหล้า เหล่าซุนคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว มีอารมณ์ขัน พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในฉางอัน เรื่องแปลกๆ ของท้องตลาด เรื่องความลับของพวกขุนนาง เรื่องสาวงาม รู้ไปหมดทุกเรื่องทุกราว เวลาผ่านไปไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถึงเวลาพระอาทิตย์ตก
ดื่มเหล้ากินอาหารไปได้พอสมควรแล้ว ซุนเหรินซือสะบัดมือแล้วพูดว่า “บ้านของข้าล้มละลายไปแล้ว เดิมทีคิดว่าผลประโยชน์ที่ได้จากหลิ่งหนานจะสามารถช่วยเหลือตระกูลได้บ้าง ถูกไอ้จางเลี่ยงทำลายหมดแล้ว เมื่อครู่เห็นพวกสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในคลัง มองแต่ละอันก็อยากจะฆ่าตัวตาย หกส่วน หกส่วนเลย เมื่อของพวกนั้นไปถึงลั่วหยางเมืองฉางอันแล้วแลกเป็นเงิน จะให้กองทัพรบไปถึงขอบฟ้าก็ยังทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่ามีเสบียงอาหารอีกตั้งมากมายอยู่ตรงข้ามของฝั่งทะเล มันไม่จำเป็นต้องเอาถึงหกส่วน แค่สองส่วนก็เพียงพอแล้ว
เดิมทีในนี้มีส่วนของข้า แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว สหาย เจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย แนะนำข้าหน่อย ชี้ทางรวยให้ข้าหน่อยสิ”
“ไม่ต้องสนใจพวกคนจนของดินแดนแห่งเหลียว ถึงแม้ว่าจะบีบเค้นออกมาจนหมดก็ไม่ได้อะไร ดินแดนที่ร่ำรวยอยู่ที่นี่ต่างหาก” อวิ๋นเยี่ยพาซุนเหรินซือมายังหน้าแผนที่ วางถ้วยเหล้าลงบนฝั่งตรงข้ามของอ่าวทะเล
“ที่นั่นยิ่งจะยากจนกว่าเดิม คนไม่แตกต่างอะไรจากลิง ตระกูลของข้าไม่ได้ขายเนื้อคนซะหน่อย”
แค่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นคนโหดเ**้ยม อวิ๋นเยี่ยชอบใจเพราะเขาไม่มีความรู้สึกอะไรกับคนที่นั่นเลยแม้แต่น้อย หยิบไข่มุกออกมาจากแขน ขนาดเท่าเม็ดลำไย วางไว้บนพื้นทราย ยิ้มแล้วพูดว่า “สาวเก็บไข่มุก เจ้าเคยได้ยินไหม”
ซุนเหรินซือจ้องมองไข่มุกแล้วส่ายหน้า
“ไข่มุกเม็ดนี้คือไข่มุกที่สาวเก็บไข่มุกเป็นคนเก็บมา พ่อบ้านของข้าเอาน้ำตาลเป็นถุงไปแลกมา น้ำตาลตั้งครึ่งกิโล” อวิ๋นเยี่ยใช้มือวาดขนาดของถุงน้ำตาล
หยิบหยกสีเขียวมรกตออกมาจากแขนอีกครั้ง ข้างในนั้นราวกับว่ามีน้ำไหลอยู่ ซุนเหรินซือไม่เคยเห็นมาก่อน คิดโดยสัญชาตญาณว่ามันต้องเป็นของดี
“ของชิ้นนี้ยิ่งแล้วใหญ่ พ่อบ้านของข้าจนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดไม่หาย คิดว่าทำให้ตระกูลต้องสูญเสีย เขาเอาหม้อเหล็กสิบห้าใบแลกกับของชิ้นนี้มา คิดว่าคนป่าเถื่อนบนเขาโกหกเขา”
“แม่ครัวของข้าตอนนี้ใช้ฟืนทำอาหารยังแคลงใจไม่ชอบใช้ไม้ฟืนที่ไร้กลิ่นหอม คิดว่าจะทำอาหารออกมาไม่อร่อย เครื่องเทศราคาแพงในฉางอันคือชีวิตของฟืนที่นี่ เหล่าซุน เจ้าคิดว่ายังจำเป็นต้องขอเสบียงอาหารจากชาวเหลียวพวกนั้นอีกหรือ ฝั่งอ่าวทะเล เก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวสามฤดูต่อปี เยอะจนกินไม่หมด ของดีๆ เน่าเสียอยู่ตามพื้นก็ไม่มีคนเก็บ
แค่เมล็ดข้าวที่ผลิตในประเทศเล็กๆ ก็เกือบจะเท่าของต้าถังอยู่แล้ว!”
ซุนเหรินซือทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างแรง โมโหอย่างมาก “ยังมีหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์อยู่หรือไม่”