[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 35 การข่มขู่ของอวิ๋นเยี่ย

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

สัจธรรมมีอยู่ในระยะของปืนใหญ่เท่านั้น ใช้ภาษาของต้าถังก็คือหมัดของใครใหญ่ คนนั้นมีสัจธรรม ซุนเหรินซือคิดว่าหมัดของตัวเองไม่เล็ก แข็งมากกว่าหินแกรนิตเสียอีก ช่วงอายุสามสิบปีคือช่วงอายุที่มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ บวกกับการที่อวิ๋นเยี่ยเอาทรัพย์สมบัติออกมาล่อหน้าล่อตาเขาไม่หยุด เขาจึงยืนหยัดคิดว่าสิ่งของดีๆ ทั้งหมดควรเป็นของต้าถัง ดินแดนที่ดีก็ควรเป็นของต้าถังเช่นกัน ทำไมประชาชนที่ขยันขันแข็งของต้าถังทำมาหากินตลอดทั้งวันแต่ก็ยังกินข้าวไม่อิ่มท้อง แต่คนขี้เกียจพวกนั้นกลับแค่หว่านเมล็ดพืช รอสักสิบกว่าวันก็มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้แล้วล่ะ หลักธรรมชาติเเห่งสวรรค์อยู่ที่ไหน

 

 

เขาคิดว่าตัวเองสามารถแก้ไขความอยุติธรรมนี้ได้ด้วยตัวเอง มันคือเอกลักษณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของแม่ทัพต้าถัง อดไม่ได้ที่จะบริหารจัดการกองทัพทหารให้ดีขึ้นในวันเดียว พรุ่งนี้ก็จะเริ่มต่อสู้กับความอยุติธรรมนี้แล้ว

 

 

เดินจากไปด้วยความโมโห เขาอยากจะร่ำรวยเต็มทีแล้ว…

 

 

หลี่อันหลานยกกาน้ำชาแล้วเปิดม่านเดินเข้ามา เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังหลับตา นางตบที่โต๊ะเบาๆ กำลังจะพูด แต่อวิ๋นเยี่ยก็สะบัดมือแล้วพูดออกมาก่อนว่า “อันหลาน อย่าพึ่งรบกวนข้า ข้าขออยู่เงียบๆ สักเดี๋ยว จิตใจข้าสับสนวุ่นวายไปหมด วุ่นวายมากทีเดียว หากจัดการกับเรื่องวุ่นๆ พวกนี้ไม่ได้ ข้าคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิต”

 

 

หลี่อันหลานวางกาน้ำชาลง แต่กลับไม่ได้เดินออกไป ในห้องมืดสลัวเห็นเพียงเงาเลือนรางของคนสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ อีกคนพิงอยู่กับเสา

 

 

ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่อวิ๋นเยี่ยก็ยังออกมาจากโลกของตัวเองไม่ได้ ในโลกใบนั้น มีดดาบและง้าว ขวานตะขอและส้อม อาวุธกว่าสิบแปดชนิดกำลังฆ่าฟันกัน เสียงม้าร้องดัง โหดเ**้ยมอำมหิต ภายใต้ท้องฟ้าที่ราวกับทะเลเลือด มีแต่การฆ่าฟัน เดี๋ยวก็เป็นเหล่าเฉิง เดี๋ยวก็เป็นเหล่าหนิว สุดท้ายกลายมาเป็นซุนเหรินซือ ฟันของเขาเต็มไปด้วยเลือด กำลังร้องคำราม กำลังร้องประท้วง

 

 

ฆาตกรมีความชอบธรรมจริงหรือ อะไรคือศัตรู คนที่ไม่ดีต่อตัวเองคือศัตรู นี่คือคำที่เหล่าหนิวสอนตัวเขาเอง เด็กสองคนยืนเถียงกันเรื่องพระอาทิตย์หน้าดำหน้าแดง เพียงแต่ใครพูดถูกกันแน่ล่ะ พูดไม่ถูกสักคน ทั้งสองทางไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเลย

 

 

โต้วเยี่ยนซานตายไปแล้ว แต่เขากลับคืนชีพในใจของอวิ๋นเยี่ย สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้แตกต่างอะไรจากสิ่งที่โต้วเยี่ยนซานทำตรงไหน สองร้อยคนตายด้วยน้ำมือของตัวเองโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย เหล่าหนิวฆ่าคน จนถึงตอนนี้ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ ตัวเขาเองฆ่าคน แต่กลับต้องพึ่งพาพลังที่ยิ่งใหญ่กว่ามาปกป้อง แล้วยังหาข้อแก้ตัวที่ไร้สาระมาปกปิด ช่างน่าสงสาร…

 

 

ได้ยินเสียงคำรามของซุนเหรินซือ ก่อนจะเอาตัวเองออกมาจากทะเลเลือดที่ไร้ขอบเขต โยนตัวที่เปียกโชกลงบนฝั่ง อาเจียนเลือดที่กลืนลงไปในท้องออกมาทีละนิด ตัวเขาเองกลายเป็นคนโหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าแท้จริงแล้วกระดูกของข้าคือคนโหดเ**้ยมใจคออำมหิตจริงๆ?

 

 

“อันหลาน ข้าควรตกนรกชั้นสิบแปด”

 

 

หลี่อันหลานกอดอวิ๋นเยี่ยมาจากทางด้านหลังแล้วพูดซ้ำๆ ว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทาง เจ้าเป็นคนดี คนที่ตกนรกควรจะเป็นข้า ข้าทำร้ายเจ้า เป็นข้าที่ทำร้ายเจ้า หากไม่ใช่เพราะความทะเยอทะยานของข้า เจ้าก็ไม่มีทางฆ่าคน ไม่มีทางฆ่าใครสักคน”

 

 

“อย่าพูดจาเหลวไหล ในเมื่อเราเป็นคนจุดไฟ ถูกไฟเผาก็ต้องอดทน หากอยากได้รับมันมา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ลงทุน ข้ารู้สึกว่าข้าเหมาะสมที่จะเป็นลูกผู้ลากมากดี มีพัดเสียบอยู่ที่คอเสื้อ ในมือจูงสุนัขดุร้ายมากับทาสชั่วอีกสักสองคน เช่นเดียวกับหลิวจิ้นเป่า หยอกล้อสาวงามบนถนนเมืองฉางอัน รังแกพวกชาวนาแก่ๆ หรือหากจะลักพาตัวสาวงามกลับบ้านไปด้วยสักคนสองคน มันคงจะดีมาก”

 

 

“ไม่ได้นะท่านพี่ เจ้าจะถูกคนในฉางอันตีตายเอาได้ ตีไม่ตายก็อาจจะถูกขุนนางอย่างเว่ยเจิงจับตัวไป สุดท้ายอาจจะถูกขับไล่ออกไปแปดพันลี้ แล้งยังต้องมาทำลายล้างชาวพื้นเมืองที่หลิ่งหนานอีก”

 

 

“เจ้าบอกว่าฆ่าเป็นคนทำลายล้างใช่หรือไม่ ไปที่ไหนทำลายล้างที่นั่นใช่หรือเปล่า คนดีๆ อย่างซุนเหรินซืออยู่กับข้าแค่ชั่วโมงเดียว เขาก็กลายเป็นหงเฉิงอีกคน เจ้ารู้หรือไม่ว่าการฆ่าคนของเหล่ากองทัพมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการรวมตัวคนสามพันคนเสียอีก ซุนเหรินซือแค่หาข้ออ้าง ถึงแม้ว่าลาตัวเมียของตระกูลตัวเองหายไปตัวหนึ่ง เขาก็จะไปถล่มประเทศอื่นเพื่อตามหา และแน่นอนว่าผลสุดท้ายก็คือหาลาตัวเมียไม่เจอ แต่เขากลับเอาควายของคนอื่นกลับมาตั้งหลายร้อยตัว บางทีเขาอาจจะผ่าท้องของกษัตริย์เพื่อหาดูลาตัวเมียของตัวเองก็ได้ หากหลิ่งหนานต้องการความสงบสุข คงต้องรอให้ประเทศเล็กๆ รอบข้างถูกกวาดล้างไปให้หมดเสียก่อน

 

 

ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถเพาะปลูกตกปลาได้อย่างสบายใจ มีชีวิตที่สงบสุขในสถานที่ที่สวยงามแห่งนี้”

 

 

จู่ๆ หลี่อันหลานก็สงบลง ตบที่หน้าของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ “ตื่นได้แล้ว เจ้าคือท่านโหวของต้าถัง ไม่ใช่ท่านโหวของแคว้นที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้น สถานะของเจ้าเป็นตัวกำหนดให้เจ้าคิดถึงได้แต่ต้าถังเท่านั้น ประชาชนของตัวเองยังกินอิ่ม ใครยังจะไปสนใจประชาชนของคนอื่น พวกเขาถูกรังแก ก็เพราะพวกเขาเป็นคนรนหาที่เอง พวกเราก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกรังแก เจ้าเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษา อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องโศกนาฏกรรมของความโกลาหลทั้งห้าแคว้น ชาวฮั่นถูกฆ่าเกือบหมด เจ้าฆ่าครั้งหนึ่ง ข้าฆ่าครั้งหนึ่ง ตอนที่ท่านอาจารย์เซี่ยวอวี่เล่าเรื่องนี้ เขาร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออกตั้งหลายครั้ง เจ้าจะมาเป็นคนดีอะไรที่นี่ รีบขนทรัพย์สมบัติกลับฉางอัน ช่วยเหลือประชาชน นี่คือเรื่องที่ท่านโหวต้าถังอย่างเจ้าควรจะทำ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้สึกโมโห ตัวเองถูกลูกสาวของชาวหูสั่งสอน นี่คือเรื่องอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ต้องแก้แค้น ไม่ลอบฆ่าคนสักร้อยกว่าคนคงจะชำระล้างความแค้นนี้ไม่ได้…

 

 

แก้แค้นเหนื่อยจะตาย โดยเฉพาะช่วงเอว คนที่จะถูกลอบฆ่าลุกออกจากเตียงด้วยรอยยิ้มในตอนเช้า ผู้ช่วยมือสังหารนวดเอวให้มือสังหาร นวดไปด้วยดูถูกมือสักหารไปด้วย “ร่างกายบอบบางเช่นนี้จะทำอะไรได้บ้าง เหตุใดถึงไม่ลอบฆ่าสักหนึ่งพันคน หม่อมฉันยังนับได้อยู่ นาทีสุดท้ายฆ่าไปได้แค่ห้าสิบคน คิดว่าข้านับเลขไม่เป็นหรือ”

 

 

ไม่สนใจนาง ข้าปวดเอว วันนี้ไม่เจอใครทั้งนั้น อวิ๋นเยี่ยห่มผ้าเตรียมตัวนอนตั้งแต่เช้าวันนี้จนถึงเช้าวันพรุ่งนี้

 

 

พึ่งจะงีบไปได้สักพัก หลี่อันหลานก็เข้ามาอีก ดึงผ้าห่มของอวิ๋นเยี่ยออก ยังเปลือยอยู่เลย นางจึงสวมชุดเครื่องแบบให้เขา

 

 

“เจ้าจะให้ข้าแก้ผ้าออกไปเจอแขกหรือ” นี่คือคนที่ไม่เคยดูแลใครมาก่อน แม้แต่กางเกงในก็ไม่ใส่ให้

 

 

หลี่อันหลานหากางเกงในออกมา เร่งอวิ๋นเยี่ยอยู่นั่น “เร็วเข้า เร็วเข้า เฝิงอั้งมาแล้ว อยู่ที่ห้องรับแขก บอกว่าอยากเจอเจ้า”

 

 

ต้องรีบหน่อย ยิ่งรีบก็ยิ่งใส่ไม่ได้ กว่าจะใส่เสื้อผ้าเสร็จ อวิ๋นเยี่ยก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ล้างหน้าล้างตา จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปที่ห้องรับแขก

 

 

“ไอ๊หยา เฝิงกงมาถึงที่นี่ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ออกมาต้อนรับ ขออภัย ขออภัย” เดินเข้ามาเห็นเฝิงอั้งกำลังจิบชาอยู่ก็เลยรีบพูดออกมาเช่นนั้น

 

 

เฝิงอั้งไม่ขยับไปไหน ไม่เงยหน้าขึ้น จิบชาอีกครั้งแล้วพูดว่า “ครั้งก่อนยังจิบชานี้อยู่ที่เมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าอยู่ที่หลิ่งหนานก็จะมีโอกาสได้จิบ เป็นเพราะบารมีของอวิ๋นโหวแท้ๆ เพียงแต่บารมีอันน้อยนิดของลูกข้า แบกรับความปรารถนาดีของอวิ๋นโหวไม่ไหว ตายอย่างน่าอนาถบนเขาทุรกันดารเช่นนั้น อวิ๋นโหวจะไม่อธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยหรือ”

 

 

“ข้าอยากจะบอกเฝิงกงว่าเทพเจ้าเป็นผู้ตีกลอง แต่เมื่อเจอกับเฝิงกง แค่โกหกท่าน ข้าก็รู้สึกละอายใจ เฝิงกง ลูกของท่านแย่งผู้หญิงของข้า แล้วยังจะมาเป็นพ่อของลูกข้า ข้าทนไม่ได้จริงๆ ข้าก็เลยไปตีกลองบนภูเขาสองสามที ท่านจะทำเช่นไร ข้าก็ยอมจำนน”

 

 

“ดี กล้าทำกล้ารับ ต้าถังของข้าไม่มีท่านโหวที่ไร้ประโยชน์ หากวันนี้เจ้ายังกล้าเอาเรื่องเทพภูเขามาหลอกข้า วันนี้ของปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า”

 

 

ชายเฒ่าตบลงบนโต๊ะอย่างแรงจนโต๊ะแตกออกเป็นชิ้นๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเทพภูเขาเป็นคนทำ แล้วข้าจะบอกว่าเทพเจ้าเป็นคนทำบ้างไม่ได้หรือ เจ้าถูกเทพเจ้าฆ่าตาย นี่ก็ถือว่าเป็นข้ออ้างที่ดีเช่นนั้น”

 

 

คำพูดเพียงคำเดียวทำให้อวิ๋นเยี่ยเหงื่อไหลซึมออกมา เขารู้จักความไร้เหตุผลของชายเฒ่าคนนี้เป็นอย่างดี คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมา

 

 

“ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้ไข ลูกของข้าตายไปสามคน ถือว่าพวกเขาเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ให้เจ้าชดใช้เป็นเงินสามแสนคงไม่ถือเป็นการขู่เข็ญเจ้าเกินไปหรอกใช่ไหม”

 

 

เฝิงอั้งเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ ตัวเองมีลูกชายตั้งสามสิบกว่าคน ตายไปไม่กี่คนเขาไม่สนใจด้วยซ้ำ ลูกชายแต่ละคนทำเงินให้ตระกูลเป็นแสน ถือเป็นกิจการที่ดี

 

 

“โชคดีที่ข้าน้อยฆ่าไปแค่สามคน หากฆ่าลูกชายของท่านทั้งหมด ทรัพย์สินทั้งหมดในคลังของต้าถังก็คงชดใช้ให้ท่านไม่ได้” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็เลยพูดออกไปให้ถึงที่สุด ไอ้อู๋เสอกับซุนเหรินซือก็ไม่รู้ว่าไปตายอยู่ที่ไหน ยังไม่มาช่วยอีก

 

 

“อย่าเอาชีวิตของจื้อไต้ที่เมืองหลวงมาขู่ข้า เจ้าพูดถูก ลูกชายของข้ามีเยอะแยะ ตายเพิ่มไปคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ศักดิ์ศรีของตระกูลเฝิงยังต้องรักษาไว้ เพื่อศักดิ์ศรีของตระกูลเฝิง ชีวิตของจื้อไต้ก็แค่นั้น”

 

 

“ตระกูลอวิ๋นไม่เหมือนกัน ตระกูลของข้ามีทายาทยากลำบาก จนถึงตอนนี้ก็มีเพียงแค่สองคน ขาดหายไปคนหนึ่งก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครขาดหายไป ข้าก็จะเอาชีวิตของทุกชีวิตในหลิ่งหนานมาชดใช้ เฝิงกง เจ้าจะลองดูก็ได้”

 

 

ชายเฒ่าคนนี้จงใจพูดถึงจื้อไต้ก็เพื่ออยากจะบอกอวิ๋นเยี่ยว่าเขาก็มีลูกคนหนึ่งอยู่ที่หลิ่งหนาน หากเจ้าฆ่าลูกของข้า ข้าก็จะฆ่าลูกของเจ้า

 

 

“อวิ๋นเยี่ย ชีวิตของคนในหลิ่งหนานมีตั้งเป็นล้าน ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร”

 

 

“เฝิงกง เจ้าอาจจะเคยได้ยินว่าข้ามาจากสถานที่แปลกๆ ที่นั่นมีคนบ้ามากมาย หนึ่งในนั้นก็มีคนที่คอยศึกษาว่าทำเช่นไรถึงจะสามารถฆ่าคนทั่วโลกด้วยวิธีที่รวดเร็วและได้ผลมากที่สุด การศึกษาของพวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เท่าที่ข้ารู้มีอยู่สี่วิธี หนึ่งในนั้นคือวิธีที่ง่ายที่สุด ถึงแม้ว่าจะฆ่าคนทั้งโลกไม่หมด แต่ฆ่าคนทั้งหลิ่งหนานได้ แล้วภายในสามปี ใครที่เข้ามาในที่แห่งนี้ คนนั้นก็จะต้องตาย เฝิงกง เจ้าอยากจะลองดูไหม”

 

 

“เทพเจ้าสอนลูกศิษย์ของเขาเช่นนี้หรือ”

 

 

“ที่นั่นบ้าคลั่งเกินไป อาจารย์ของข้าถึงได้พยายามพาข้าออกมาจากที่นั่นอย่างสุดชีวิต น่าเบื่อเสียยิ่งกว่าการฆ่าคน เฝิงกง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องไข้ทรพิษ เจ้าไม่รู้ว่าอะไรคือไข้ทรพิษ แต่เจ้าต้องรู้แน่ว่าอะไรคือโรคแผลเน่า แค่เรื่องนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้หลิ่งหนานของเจ้าล่มสลายตลอดไป”

 

 

เฝิงอั้งลุกขึ้นมาทันที ชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่กลัวเทพเจ้าลงโทษเลยหรือ”

 

 

“หากถูกบังคับ ข้ากล้าทำทุกอย่าง ใครแตะต้องลูกของข้า ข้าจะทำให้ตระกูลของมันตายให้เรียบ กวาดล้างทั้งหลิ่งหนานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทางที่ดีเจ้าควรจะอวยพรให้ลูกของข้าอายุยืนยาว มิเช่นนั้นเจ้าก็คอยดูว่าข้าจะกล้าหรือไม่กล้า”

 

 

สำหรับคนสมัยก่อน โรคแผลเน่าเป็นปีศาจที่น่ากลัว พูดถึงยังไม่ได้ แต่ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยพูดถึงเรื่องที่น่ากลัวนี้ขึ้นมาทำให้หนังหัวของเฝิงอั้งที่กล้าหาญชาไปหมด กลัวจนสั่น ไม่มีใครกล้าลองความเป็นไปได้ที่น่ากลัวเช่นนั้น

 

 

“อวิ๋นเยี่ย เจ้าฆ่าลูกของข้า”

 

 

“ใช่ ข้าเป็นคนฆ่า นอกจากชดใช้คืนด้วยชีวิตแล้ว เจ้าต้องการเงินข้าก็ให้ได้ แต่สามแสนกว่า ข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น เอาสมบัติตกทอดของตระกูลข้าไปแทนได้หรือไม่”

 

 

“จะต้องดูก่อนว่าเป็นสมบัติอะไร หากเป็นอัญมณีข้าไม่ต้องการ ตระกูลเฝิงไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้ หากเป็นเครื่องแก้วชั้นดีก็ยังพอพิจารณาได้” ทั้งสองคนกลับมาที่หัวข้อเดิมอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยไม่พูดถึงเรื่องไข้ทรพิษอีกต่อไป เฝิงอั้งก็ไม่พูดถึงเรื่องชีวิตคนอีกต่อไป

 

 

หลี่อันหลานถือเครื่องแก้วกระต่ายออกมาจากหลังบ้าน เอามาวางไว้บนโต๊ะ เฝิงอั้งมองไปที่กระต่ายตัวนั้นด้วยความโศกเศร้าราวกับกำลังมองดูลูกชายของตัวเองที่ตายไป…