“เฝิงกง คุณค่าของของชิ้นนี้ไม่ได้สูงอย่างที่เจ้าคิด” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อวิ๋นเยี่ยก็พูดประโยคนี้ออกมา หลี่อันหลานมองอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาประหลาดใจ เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร นางก็เลยนั่งเป็นหุ่นอยู่บนเก้าอี้
“อวิ๋นเยี่ย ชีวิตนี้ข้าฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน เห็นวีรบุรุษที่ต่อสู้ด้วยดาบและปืนมานับไม่ถ้วนเช่นกัน ข้าไม่เคยนึกกลัว แม้แต่ความตายบนน้ำมือของศัตรู ข้าก็จะตายด้วยรอยยิ้ม แต่ช่างน่าเสียดาย หลายปีที่ผ่านมา คนที่ได้รับชัยชนะมักจะเป็นข้า…”
เห็นท่าทางชีวิตที่โชกโขนของเขา ไม่เข้าใจว่าต้องการพูดอะไร ทว่ากลับเห็นเขาหยิบลูกธนูออกจากด้านหลัง แล้ววางไว้ในมือของอวิ๋นเยี่ย
ลูกธนูนี้หนาเท่านิ้วชี้ ยาวเกือบสามฟุต หางธนูมีขนสีดำ หัวธนูมีรูปร่างแปลกๆ หัวธนูของคนอื่นจะมีปลายแหลมบ้าง ปลายสามเหลี่ยมบ้าง แต่หัวธนูของเฝิงอั้งกลับเป็นพลั่วขนาดเล็ก ส่องแสงระยิบระยับ ความแรงของลูกธนูเช่นนี้ไม่แรงเท่าธนูเจาะเกราะ แต่การยิงธนูก็จะส่งผลไม่เหมือนลูกธนูทั่วไป
เฝิงอั้งไม่พูดไม่จา เดินมาที่กำแพง ขณะนั้นเองอวิ๋นเยี่ยถึงเพิ่งเห็นว่ามีคันธนูยักษ์พิงกำแพงอยู่ อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นว่าเขาขยับตัวตอนไหนอย่างไร เห็นอีกทีธนูยักษ์ก็ถูกดึงออกมาเรียบร้อยแล้ว หัวธนูที่ส่องแสงแวววาวเล็งไปยังอวิ๋นเยี่ย
หลี่อันหลานร้องด้วยความตกใจ วิ่งมาบังธนูให้อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์สนใจลูกธนูที่หมายจะเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ แต่เขากลับก้มหน้าลงมองหลี่อันหลาน เห็นนางหลับตาแน่น ตัวสั่นไปหมด แล้วที่ตายังมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ปากสั่นเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก
ตบที่ไหล่ของหลี่อันหลานเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ยัยโง่ ตัวเจ้าบังลูกธนูลูกนั้นให้ข้าไม่ได้หรอก ต่อไปหากอยากจะบังให้ข้า ให้ใส่ชุดเกราะก่อนแล้วคอยมาบัง” อยากจะผลักหลี่อันหลานออก แต่กลับเห็นว่านางกอดตัวเองไว้แน่น
“อวิ๋นเยี่ย ชีวิตนี้ข้าเดินมาจนถึงทุกวันนี้อย่างไม่เคยเกรงกลัวอะไร เมื่อครู่ ตอนที่เจ้าพูดถึงเรื่องโรคแผลเน่า ข้ากลัวแล้วจริงๆ หากคนอื่นเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ข้า ข้าจะตัดหัวมันทันที มีเพียงเจ้า! ที่ข้าไม่กล้า! ตอนที่ลูกชายของข้า จื้อไต้ ได้เรียนการแพทย์กับซุนซือเหมี่ยว เคยได้ยินเขาพูดว่าเจ้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโรคแผลเน่า หากบนโลกใบนี้มีเพียงคนเดียวที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ เช่นนั้นก็คือเจ้า เจ้ารักษามันได้ นั่นหมายความว่าเจ้าเอาชนะมันได้ เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถทำให้โรคนี้ระบาดที่หลิ่งหนาน ข้าคงไม่กล้าไม่เชื่อ
ในช่วงเวลาสามปีของฤดูใบไม้ร่วง บ้านสิบห้าหลังกลายเป็นบ้านของผีไป ผู้คนหลายสิบคนมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า น่ากลัวยิ่งกว่าผี เร่ร่อนอยู่บนภูเขา ไม่กล้าออกมาพบปะผู้คน พวกเขาถูกเรียกว่าคนหน้าผี นี่คือเรื่องที่ข้าเห็นเองกับตา
หนึ่งปีก่อนในราชวงศ์สุย โรคแผลเน่าระบาดที่เกาโจว คนที่มีความเมตตาอย่างแม่ของข้า สั่งปิดเมืองเกาโจวด้วยตัวเอง ในเมืองตื่นตระหนกร้องไห้นานกว่าสามเดือน แม่ของข้ายืนอยู่บนแท่นสูง น้ำตาไหลดั่งสายเลือด เกิดความโกลาหล พึ่งจะขึ้นครองราชย์ได้เพียงสองปี แม่ของข้าก็ล้มป่วยจนตายที่กว่างโจว อนาถเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าไม่กลัวโรคแผลเน่าได้อย่างไร
อวิ๋นเยี่ย! เจ้าออกไปจากหลิ่งหนานเสียเถิด ออกไป ไม่เช่นนั้นข้าคงอดไม่ได้ที่จะฆ่าเจ้า ลูกชายของข้าตายไปแค่สามคน หากเจ้าฆ่าลูกชายของข้าทั้งหมด เจ้าลองดูว่าข้าจะขมวดคิ้วหรือไม่
ข้าเกิดที่นี่โตที่นี่ ถึงแม้ว่าหลิ่งหนานจะรกร้างและห่างไกล แต่มันก็คือดินแดนเพาะปลูกของบรรพบุรุษข้า เป็นดินแดนที่พวกเขาหลงเหลือไว้หลังจากผ่านการฆ่าฟันกับพวกสัตว์ป่า ต่อสู้กับพวกมังกร ตระกูลเฝิงของข้าก็ยังคงจะเติบโตที่นี่ไปหลายชั่วอายุคน เจ้าเป็นปีศาจ หลิ่งหนานไม่กล้าเก็บเจ้าไว้ หากเจ้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ก็จะทำลายล้างที่นี่โดยไม่มีที่สิ้นสุด แค่เทพภูเขาตีกลองก็ทำให้คนกว่าสองร้อยของข้าต้องตายอนาถไม่เหลือซากศพ แค่สมบัติล้ำค่ามากมายของหลิ่งหนานก็ทำให้พวกขุนนางวิ่งไล่ตามกันมา สงครามข้ามช่องแคบไม่เคยหยุดพัก ออกไป ออกไปให้เร็วที่สุด เอาสมบัติล้ำค่า เสบียงอาหาร พวกทหารดุร้ายของเจ้ากลับไปด้วย แล้วก็อย่ากลับมาอีก ไม่เช่นนั้นข้าสาบานว่าจะฆ่าเจ้า!”
พึ่งจะพูดเสร็จ ลูกธนูขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมาเฉียดผ่านหูของอวิ๋นเยี่ย ทะลุห้องออกไป ไม้ไผ่ที่ใหญ่เท่าแขนถูกยิงแตกเป็นสามส่วน กิ่งหนาของต้นไม้ก็หักตกลงบนพื้นทันที
หลิวจิ้นเป่าถือโอกาสวิ่งเข้ามา ยืนอยู่ระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับเฝิงอั้ง ขอแค่อวิ๋นเยี่ยออกคำสั่ง เขาก็จะกระโจนเข้าใส่ทันที อู๋เสอก็ยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่างเงียบๆ
“ไสหัวออกไป!” อวิ๋นเยี่ยและเฝิงอั้งชี้ด่าหลิวจิ้นเป่า หลิวจิ้นเป่าก็เลยเก็บมีดลงอย่างน้อยใจ และเดินออกไปตามมุมกำแพง ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังเล่นอะไรกัน อู๋เสอก็หายไปออกจากหน้าต่างเช่นกัน
“เหล่าเฝิง เจ้าบ้าไปแล้ว กล้ายิงธนูใส่ข้า รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ผมของข้าขาดไปแล้วกี่เส้น เจ้าชดใช้ให้ข้าได้หรือ เจ้าคิดว่าข้าชอบมาดินแดนที่แม้แต่นกยังไม่ขี้ใส่แห่งนี้หรือ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของข้าก็คือการที่ได้ตายอยู่ที่เขาอวี้ซัน ฝังอยู่กับหลุมศพของบรรพบุรุษ ฟังให้ดี ข้าถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวมาที่แคว้นหนานจ้าว หลังจากที่ฆ่าโต้วเยี่ยนซานได้แล้วถึงมาที่หลิ่งหนาน มาหาลูกของตัวเอง ผิดตรงไหน
ลูกชายสารเลวสามคนของเจ้ากล้าคิดอะไรกับเมียของข้า ถูกฆ่าตายแล้วจะทำไม เพราะว่าไว้หน้าเจ้าถึงได้ใช้เรื่องเทพภูเขาตีกลอง หากไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ข้าคงไม่ทำเช่นนี้ กระดูกของอวิ๋นโจวก็หักไปตั้งนานแล้ว หากข้ายักคิ้วหลิ่วตากับเมียของเจ้า คิดอะไรไม่ดี เหล่าเฝิง เจ้าก็คงยิงลูกธนูใส่ข้าไปนานแล้ว ยังจะคิดไว้หน้าข้าหรือ
หากข้าไม่มา ลูกของเจ้าก็คงจะกลายเป็นพ่อของลูกข้า เจ้าก็จะกลายเป็นพ่อของข้า? ไม่ชำระความแค้นครั้งนี้ ข้ากลับไปฉางอันก็คงจะถูกหัวเราะเยาะจนตาย จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เจ้าไม่ต้องมาไล่ข้า หากไม่ใช่เพราะลูกข้าเมียข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่อยากจะอยู่สถานที่ผีสิงเช่นนี้ สมบัติล้ำค่า ข้าเอากลับไปแน่ แล้วหกส่วนของตระกูลเจ้า เอาออกมาให้ข้า เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท ไม่ใช่ข้าอยากได้ เสบียงอาหารข้าก็จะเอากลับไปด้วย เพราะกองทัพกำลังต้องการ คนของข้า ข้าจะให้อยู่ที่นี่หนึ่งพันคน ข้าจะได้แน่ใจว่าถูกชายของเจ้าจะไม่มาคิดไม่ซื่อกับเมียของข้าอีก
เหล่าเฝิง นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหนึ่งพันปี ความเจริญรุ่งเรืองกำลังจะมาถึง ทหารม้าต้าถังของข้าถูกสั่งให้เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำมาแล้วนับพัน เจ้าจะหดตัวอยู่ในหลิ่งหนานได้เช่นไร สร้างเรือใหญ่สักสองลำเจ้าจะตายเหรอ เอาแต่เป็นวีรบุรุษบนดิน แน่จริงเจ้าก็ลงทะเลไปเอง เจ้าไม่ไปข้าไปเอง ตอนเด็กๆ ข้าฝันอยากเป็นโจรสลัดมานานแล้ว”
ตอนที่พูดประโยคพวกนี้ หลี่อันหลานบีบแขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างสุดชีวิต โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงเรื่องคิดไม่ซื่อ นางบีบอย่างไม่คิดชีวิต
“ขอแค่เจ้าไสหัวไป ข้ากับองค์หญิงคุยกันได้ ฝ่าบาทส่งซุนเหรินซือมาแล้วไม่ใช่หรือ ถึงว่าเจ้าปีกกล้าขาแข็งขึ้นไม่เบา คำสองคำก็เหล่าเฝิง คำสองคำก็ข้า อยากจะเป็นลูกของข้า ต้องไปถามพ่อของข้าก่อน เขาเป็นคนมีความสามารถราวกับเสือดุร้าย แม่ของข้าก็เป็นคนมีความกล้าหาญ แน่จริงเจ้าก็ไปถาม ข้าก็อยากจะเห็นเช่นกัน
ลงทะเล เจ้าจะรู้อะไร ออกไปใกล้ๆ ก็ไร้ประโยชน์ ออกไปไกลก็ออกไปตาย ตายเป็นลำๆ ข้าก็แปลกใจเหมือนกันว่าเหตุใดคนบนเรือของเจ้าไม่ตาย เพราะเหตุใดกัน หากเจ้าบอกข้ามา ลูกชายของข้าทั้งสามคนเจ้าก็ไม่ต้องชดใช้”
อวิ๋นเยี่ยเดินไปที่สวน เด็ดส้มสีเขียวโยนให้เฝิงอั้งแล้วพูดว่า “นี่คือโรคชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าโลหิตเป็นพิษ เกิดจากการที่ร่างกายขาดแคลนบางสิ่งบางอย่าง เจ้าไม่ต้องถาม พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ รู้แค่ว่ากินส้มก็สามารถสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้ แล้วกินถั่วงอกทุกวัน เช่นนี้เมื่อลงทะเลเจ้าก็จะไม่มีปัญหา กินส้มวันละหนึ่งถึงสองลูก บำรุงร่างกาย!”
เหล่าเฝิงผู้ยิ่งใหญ่นั่งคิดบนเก้าอี้สักพักแล้วพูดว่า “เรื่องเช่นนี้ก็ควรที่จะฟังเจ้า ลูกชายทั้งสามคนของข้าก็ถือว่าตายบนเรือไปแล้ว ต่อไปไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้อีก เจ้าต้องการหกส่วนของข้าที่หลิ่งหนาน หรือว่าที่ฝั่งตรงข้ามของช่องแคบ พูดให้ชัดเจน”
“แน่นอนว่าต้องเป็นหกส่วนที่ตรงข้ามช่องแคบ หากเป็นหกส่วนที่หลิ่งหนาน ตระกูลของเจ้ายังมีเหลืออยู่อีกหรือ”
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเลวทราม แต่เจ้าก็ถือว่าเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ไม่ได้คิดที่จะเอากิจการที่ตระกูลเฝิงของข้าสั่งสมมาหลายร้อยปี ทำชั่วแต่ก็ทำถูก คนเช่นนี้ยังพอพูดคุยกันได้ ไอ้จางเลี่ยง คราวนี้เล่นงานทุกคนอย่างหนัก ต่อไปข้ากลับไปฉางอัน ทำอาหารให้ข้ากินถือว่าเป็นการไถ่โทษ ที่นี่ก็ช่างมันเถอะ เจ้ารีบไปทำเรื่องของเจ้า แล้วรีบไสหัวออกไปจากหลิ่งหนาน ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาลูกเจ้าบ่อยนัก หากคิดถึงก็ส่งคนมารับเขาไปฉางอัน แล้วเมียของเจ้า หากชอบมากนักก็เอากลับไปด้วย ข้ารับประกันว่าที่ดินของนางจะปลอดภัย”
พูดเสร็จก็ไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยออกไปส่ง แบกธนูและถือหูเครื่องแก้วกระต่ายเดินออกไปเอง
ทันทีที่เฝิงอั้งเดินออกไป อวิ๋นเยี่ยก็โล่งอกอย่างมาก เหงื่อแตกราวกับฝนตก เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด ขาอ่อนจนขยับก้าวเดินไม่ได้ การเผชิญหน้าเมื่อครู่ทำให้เขาแทบจะหมดเรี่ยวแรง ตอนที่ถูกเฝิงอั้งเอาลูกธนูเล็งมา อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว โชคดีที่ฝึกฝนมาหลายปี ไม่เช่นนั้น เขาคงจะฉี่รดกางเกงเหมือนตอนที่ถูกฟ้าผ่าบนตำหนักไท่จี๋ เมื่อคนคนหนึ่งถูกความโมโหอันทรงพลังล็อกเอาไว้ ความรู้สึกในช่วงเวลานั้น ยากที่จะลืมไปได้
“พยุงข้ากลับห้องนอนที ขาอ่อน เดินไม่ไหวแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้ช่างโง่เขลา อวิ๋นเยี่ยแทบจะทรุดตัวลงกับพื้นอยู่แล้ว แต่นางยังคงทำหน้าโมโห ได้ยินเสียงเรียก ถึงได้เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ปกติ รีบพยุงเขาเอาไว้ พาเดินกะเผลกไปยังห้องนอน
ทันทีที่เข้ามาในห้อง อวิ๋นเยี่ยก็ถอดเสื้อผ้าออก เหนียวตัวจนอึดอัดไปหมดแล้ว เมื่อเห็นเขาถอดเสื้อ หลี่อันหลานก็รีบกระโดดไปอยู่อีกฝั่ง คิดว่าเขาจะทำอะไรกับตัวเอง
“กลางวันแสกๆ ไม่ได้ เมื่อถึงกลางคืน ก็แล้วแต่เจ้า”
“ฝันไปเถอะ ข้าตกใจจนตัวสั่นไปหมด ใครจะมีอารมณ์สนใจเจ้า รีบไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบ เหงื่อเต็มไปหมด ลูกธนูของเฝิงอั้งช่างน่ากลัว คนที่ขี้ขลาดตาขาวคงจะตกใจตายไปแล้วด้วยซ้ำ”
“ข้าก็ถูกลูกธนูเล็งเหมือนกัน เหตุใดถึงไม่ตัวสั่นล่ะ”
“เจ้าถูกเล็งไปข้างหลัง ข้าถูกเล็งข้างหน้า แล้วอีกอย่างเจ้าเอาแต่คิดที่จะตายเพื่อความรัก แต่ข้ากลับคิดว่าจะทำเช่นไรให้มีชีวิตรอด แน่นอนว่าต้องไม่เหมือนกัน” อวิ๋นเยี่ยหยิบเสื้อผ้า เช็ดที่รักแร้กับที่ใต้สะโพกสองสามที แล้วค่อยเอาเสื้อผ้าโยนออกไปไกลๆ
“หากเราตายด้วยกัน เราจะได้ฝังด้วยกันไหม แล้วเจ้าจะดีใจไหม”
“เจ้าโง่เหรอ จะตายอยู่แล้วใครจะดีใจ ต่อไปอยากตายเจ้าก็ไปตายเอง เอาลูกไว้ให้ข้า ข้ายังอยากจะดูเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นฝั่งเป็นฝา ยังไม่ได้ลิ้มรสชาติต่างๆ บนโลก จะตายได้อย่างไร หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เข็มขัดของข้าอยู่ตรงนั้น เอาห้อยคอ เดี๋ยวก็ตาย หลังจากที่ข้าฝังเจ้าแล้ว ข้าก็จะท่องบทสิบปีแห่งชีวิตและความตาย ประโยคสั้นยาวที่น่าจดจำ จากนั้นก็จะหัวเราะอย่างโศกเศร้า พาลูกชายกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ฉางอัน”