ภาคที่ 4 บทที่ 221 ประชาพิจารณ์ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 221 ประชาพิจารณ์ (1)

ในห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยเหล่าแม่ทัพ

แม่ทัพเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับหลี่ฉงซาน แม่ทัพและผู้บัญชาการกองทัพเกือบทั้งหมดที่ประจำการอยู่ในปราการลุ่มน้ำทองเองก็อยู่ด้วย

ซูเฉินยืนอยู่ที่ชั้นล่างสุดของห้องโถง

ชายชราผมขาวนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน

ซูเฉินรู้จักชายคนนี้ เขาคือผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพปราบปรามจลาจล หงเฉียนจู้

หงเฉียนจู้มาจากทะเลสาบพิสุทธิ์ตระกูลหง เขามีสายเลือดราชาอสูรเพชฌฆาตที่เป็นสายเลือดจักรพรรดิอสูร ทำให้เขามีพละกำลังมหาศาลไม่มีใครเทียบ ในช่วงยุคทองของชายผู้นี้ เขาได้บุกเข้าโจมตีกลุ่มนักรบคนเถื่อนอย่างเด็ดเดี่ยวเพียงลำพัง และไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เทพเจ้าสงคราม’ และถือเป็นผู้มีชื่อเสียงและฐานะอันดับหนึ่ง หากไม่นับราชวงศ์

อย่างไรก็ตาม พลังอันแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ของราชาอสูรเพชฌฆาตนั้นแลกมาด้วยพลังชีวิต นอกจากนี้ควบคู่ไปกับวิธีการต่อสู้ที่กล้าหาญของชายชราแล้ว เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสมาหลายต่อหลายครั้ง อายุขัยของเขาเองก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จนค่อย ๆ เลยผ่านช่วงเวลารุ่งโรจน์ของตนมา

สถานะปัจจุบันของชายชราค่อนข้างคล้ายกับสภาพของซ่าเค่อเอ่อร์ก่อนที่เขาจะตายลงก่อนวัยอันควร

เมื่ออายุมากขึ้น พลังปราณและเลือดของเขาก็เริ่มลดลง ทำให้เขาสูญเสียกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ที่เคยมีไป ตอนนี้ชายชรายังคงฝึกฝนเพื่อรักษาเยียวยาร่างกาย และหน้าที่หลักของเขาคือการสนับสนุนเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำการอยู่ภายในปราการลุ่มน้ำทอง

ชายหนุ่มข้าง ๆ เขาคือรองแม่ทัพคนใหม่ องค์รัชทายาทหลินเหวินจวิ้น

เขามีรูปลักษณ์ที่สง่างาม สมฐานะของเขา

ทว่าถึงจะหล่อเหลาเพียงใด หากใบหน้าของเขายังคงแสดงอารมณ์หงุดหงิดอยู่เสมอ ก็คงไม่มีคนรอบข้างคนไหนรู้สึกสบายใจสักเท่าไหร่

หลินเหวินจวิ้นดูอารมณ์เสียมากกว่าปกติ หลังจากเขาเห็นซูเฉิน

งั้นชายผู้นี้ก็คือคนที่ช่วยชีวิตของกองทัพกำลังสวรรค์ และทำให้เขาต้องเสียหน้า ?

ยังไงซะ เขาก็เป็นผู้สนับสนุนให้กองทัพกำลังสวรรค์โจมตี ยิ่งกว่านั้นตัวเขาเองก็ยังเป็นหนึ่งในคนที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่ากองทัพกำลังสวรรค์ไร้ซึ่งทางรอดแล้ว อย่างหนักแน่นอีกด้วย

ขณะที่เขากำลังตัดแขนตัวเอง ซูเฉินกลับช่วยทั้งกองทัพกลับมา

คนคนเดียวกลับทำเรื่องแบบนี้ได้สำเร็จ

นี่มันตบหน้ากันชัด ๆ!

‘ไอ้โง่’ คนนี้กล้าเพิกเฉยต่อศักดิ์ศรีของเขา ผู้มีฐานะเจ้าชายได้อย่างไร ?

ยิ่งคิดอารมณ์ของหลินเหวินจวิ้นก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ

เขาเหลือบมองชั้นล่างของห้องโถงจากที่นั่งบนชั้นลอย บัณฑิตชิวชิงจื้อเข้าใจสัญญาณนี้ของอีกฝ่าย และตะโกนใส่ซูเฉิน “ซูเฉิน เราได้ทำการสอบสวนอย่างชัดเจนแล้ว ระหว่างที่เจ้ากลับมา ไม่มีการเคลื่อนไหวจากคนเถื่อนเลย แม้แต่การส่งทหารออกมาเพื่อหยุดเจ้าก็ไม่มี สารภาพมาตามตรงเสีย เจ้าไปทำข้อตกลงอะไรกับคนเถื่อนไว้กัน ?”

ซูเฉินยิ้ม “สร้างเรื่องโกลาหลขนาดนี้เพื่อถามข้าแค่นี้ ? หากข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทำ ท่านจะเชื่อข้าไหม ?”

ชิวชิงจื้อตบโต๊ะ “ไม่ว่าเราจะถามอะไร ก็จงตอบคำถามมา อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวข้องให้มากนัก”

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้ารู้วิธีใช้วิชามายาและมีพาหนะที่ใช้สำหรับเดินทาง เนื่องจากข้าเดินทางลำพัง มันจึงเป็นเรื่องยากที่เหล่าคนเถื่อนจะสังเกตเห็นข้า นั่นเป็นวิธีที่ข้าใช้เดินทางเข้าออกแดนคนเถื่อน”

ชิวชิงจื้อหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าพูดง่ายดีนะ”

ซูเฉินตอบกลับทันที “มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ตราบใดที่ท่านแข็งแกร่งพอ ท่านก็สามารถเดินทางผ่านดินแดนคนเถื่อนได้อย่างง่ายดาย การป้องกันของพวกมันไม่ได้มีอะไรดีเลย”

“ช่างเป็นการพูดที่ดูโอ้อวดเสียจริง”

ซูเฉินยิ้มและกล่าวว่า “ข้าแค่พูดตามจริง หากไม่เชื่อข้าพวกท่านก็ลองดูด้วยตัวเองได้ แต่หากไม่สามารถกลับมาได้… ก็ต้องขออภัยด้วย”

ชิวชิงจื้อชะงักไปชั่วครู่ ขณะที่แม่ทัพในห้องโถงพากันหัวเราะขึ้นเงียบ ๆ

การแสดงออกของเขากลายเป็นน่าเกลียด แน่นอนว่าเขาไม่กล้ารับคำท้าของชายหนุ่ม เขาอาจมีความกล้าที่จะยั่วยุซูเฉินในห้องโถงนี้ แต่เขาไม่วันจะมีความกล้าพอที่จะเดินทางไปยังดินแดนคนเถื่อน

ชิวชิงจื้อจ้องซูเฉินเขม็งและต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าแม่ทัพคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ เขากลับพูดขึ้นก่อน

“ซูเฉิน โปรดอย่าเข้าใจผิด เราไม่ได้สอบปากคำเจ้าเพราะสงสัยว่าเจ้าทรยศต่อเผ่ามนุษย์ ไม่ว่ายังไงก็ตามเราต้องขอขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือกองทัพกำลังสวรรค์กลับมา เหตุผลเดียวที่เรากำลังตั้งคำถามต่อเจ้า ก็เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้เปิดเผยความลับของกองทัพในขณะที่ช่วยชีวิตพวกเขา”

ซูเฉินพยักหน้า “แน่นอน นั่นเป็นข้ออ้างที่ดีทีเดียว… แม้แต่การกระทำที่ไร้สาระที่สุดก็ยังต้องการเหตุผลที่ฟังดูยุติธรรมและตรงไปตรงมาเพื่อสนับสนุน ไม่เลว”

แม่ทัพไม่ได้โกรธ เขาเพียงแค่ยิ้ม “ในฐานะวีรบุรุษที่ช่วยคนจากกองทัพกำลังสวรรค์ทั้ง 8,000 ชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าในตอนนี้นับเป็นเรื่องตลกในสายตาเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถให้สัญญากับเจ้าได้ว่าตราบใดที่สามารถพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้ขายความลับของเราออกไปได้ เจ้าจะไม่เป็นไร”

ซูเฉินถามขึ้น “ท่านคือ ?”

แม่ทัพตอบ “ข้าเว่ยเฟิง”

“เช่นนั้นท่านก็คือแม่ทัพของกองทัพปฐพีคลั่ง” ซูเฉินกล่าว “งั้นรางวัลทั้งหมดสำหรับการช่วยกองทัพกำลังสวรรค์กลับมาของข้า มีเพียงแค่สัญญาที่รับประกันว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับข้า ?”

หงเฉียนจู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางกล่าวขึ้น “แน่นอนว่าไม่ เจ้าได้ช่วยกองทัพกำลังสวรรค์เอาไว้ก็ย่อมได้รับรางวัลที่เหมาะสมกับผลงานของเจ้า ตราบใดที่เราสามารถหาหลักฐานพิสูจน์ได้ เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน ดังนั้นความคับข้องใจนี้เป็นเพียงความจำเป็นชั่วคราวเท่านั้น”

ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้นเอง”

เขาหันไปหาชิวชิงจื้อและพูดว่า “ท่านได้ยินหรือไม่ ?”

ใบหน้าของบัณฑิตชิวน่าเกลียดขึ้นกว่าเดิม “ได้ยินอะไร ?”

ซูเฉินกล่าวอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้กลัวข้าเลย แต่ข้าคิดว่าท่านควรจะกลัวสักหน่อยนะ”

ร่างชิวชิงจื้อสั่นเบา ๆ ในขณะที่การแสดงออกของหลินเหวินจวิ้นเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง

ช่างหยิ่งยโส !

อย่างไรก็ตาม ซูเฉินก็มีสิทธิ์ที่จะหยิ่งผยอง

หากเป็นคนที่ไม่มีผลงานอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว อีกฝ่ายจะมาเดินไปมาตรงหน้าเขาโดยอาศัยจุดยืนนี้ทำตัวเย่อหยิ่งเช่นนี้ได้หรือ ?

ซูเฉินหยุดพูดกับชิวชิงจื้อและหันไปหาหงเฉียนจู้ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากผู้บัญชาการสูงสุดและทุกท่านที่อยู่ที่นี่มีคำถามอะไร เช่นนั้นก็เชิญถามออกมาได้เลย”

เขาไม่ได้พูดถึงรองผู้บัญชาการเลย ทำให้ใบหน้าของหงเฉียนจู้มืดมน

“ทำไมเจ้าไม่เล่าให้เราฟังล่ะว่าเจ้าช่วยกองทัพกำลังสวรรค์เอาไว้ได้อย่างไร ?” คราวนี้เป็นเซียวเฟยหนานที่ถามขึ้น

เขาตั้งใจสร้างโอกาสนี้ให้กับซูเฉิน กองทัพกำลังสวรรค์กลับมาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะไม่รู้ว่าซูเฉินทำอะไรไปบ้าง ดังนั้นการตั้งคำถามนี้จึงเท่ากับการให้โอกาสอีกฝ่ายได้แสดงออก

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ทำให้เขาผิดหวัง ชายหนุ่มเริ่มอธิบายอย่างละเอียดถึงสิ่งที่เขาทำในดินแดนของคนเถื่อน โดยเริ่มจากวิธีที่เขาโน้มน้าวให้กองทัพกำลังสวรรค์ใช้เส้นทางที่ต่างออกไป ไปจนถึงวิธีที่เขานำเสบียงจำนวนมากมาให้ จากนั้นก็พูดถึงวิธีที่พวกเขาใช้แทรกซึมลึกเข้าไปในดินแดนของสัตว์อสูรและวิธีกระตุ้นขบวนอสูร ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนส่งผลต่อโอกาสในการเอาชีวิตรอดของกองทัพอย่างมาก และในที่สุดเขาก็จากไปอย่างราบรื่นผ่านทางเส้นทางล่าถอยที่เขาได้สั่งกังเหยียนจัดเตรียมเอาไว้

แม้ว่าคนเหล่านั้นจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ยังตกตะลึงอยู่ดีเมื่อได้ฟังเจ้าตัวเล่าเรื่องนี้ต่อหน้าพวกเขา ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเลือดกำลังเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น

แม้ว่าคำพูดของซูเฉินจะผ่อนคลายและสงบ แต่มันก็ยังไม่สามารถระงับอารมณ์ที่ไหลเวียนอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ฟังคำพูดของเขาได้

หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ ทั้งห้องโถงก็เงียบสนิท

หลังจากนั้นไม่นานหงเฉียนจู้ก็ยกมือขึ้น

และเริ่มปรบมือ

จากนั้นแม่ทัพคนอื่นก็เริ่มเข้าร่วมด้วยทีละคน จนทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ

แม้แต่หลินเหวินจวิ้นก็เริ่มปรบมือตาม

เขาอาจจะไม่ใช่ผู้บัญชาการที่ดีพร้อม แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม

ซูเฉินยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ เพลิดเพลินไปกับเสียงปรบมือชื่นชมรอบตัวเขา

นี่คือการรับรองจากบรรดาแม่ทัพ จากทหาร จากมนุษยชาติ รับรองในสิ่งที่เขาทำ แม้แต่บุคคลที่ถือครองอำนาจมหาศาลก็อาจไม่ได้รับการยอมรับเช่นนี้ เพราะมันเป็นความเคารพต่อวีรบุรุษตามสัญชาตญาณของผู้คน

ขณะที่ชายหนุ่มดื่มด่ำเสียงปรบมืออย่างเงียบ ๆ โดยปราศจากอาการอึดอัดหรือไม่สบายใจ นี่คือความมั่นใจในตนเอง เป็นพฤติกรรมที่ผู้ประสบความสำเร็จทุกคนควรจะมี

เมื่อเสียงปรบมือสงบ ห้องโถงใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง

หงเฉียนจู้ก็กล่าวขึ้น “ทุกสิ่งที่ควรถามถูกถามไปแล้ว มีใครมีคำถามอะไรอีกหรือไม่ ?”

“ข้ามีคำถาม” หลินเหวินจวิ้นกล่าว

หงเฉียนจู้ส่งสัญญาณเพื่อบอกว่าเขาอนุญาตให้ถามได้

หลินเหวินจวิ้นมองไปทางซูเฉิน ในขณะที่เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าไม่ได้ต้องการที่จะลดค่าผลงามของคุณชายซู ที่สามารถแทรกซึมเข้าแดนคนเถื่อนและช่วยกองทัพกำลังสวรรค์ออกมาได้ อย่างไรก็ตาม ข้าอยากรู้ว่าเจ้ารู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของคนเถื่อนชัดเจนเช่นนั้นได้อย่างไร ?”

เขาพูดต่อโดยไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย “หรือจะไม่ก็ขอให้ข้าถามตรง ๆ อีกแบบหนึ่ง เจ้าอาศัยวิชามายาเดินทางอย่างอิสระไปทั่วอาณาจักรเหล็กเลือด ราวกับปลาที่แหวกว่ายในน้ำเลยใช่ไหม ? เช่นนั้นอย่างน้อยเจ้าก็ต้องมีแผนที่หาได้ยากและเป็นสมบัติสำคัญที่สุดของอาณาจักรอยู่ แล้วเจ้าไปได้ของแบบมาจากที่ไหนกัน ?”

ซูเฉินไม่ได้ตอบในทันที

ในคำพูดของหลินเหวินจวิ้นมีจุดอ่อนของเขาอยู่

ความสัมพันธ์ของเขากับอารามนิรันดร์คือจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา หากความลับนี้ถูกเปิดเผย ซูเฉินอาจถูกมองว่าเป็นคนทรยศไปในทันที ในทางกลับกัน เขาทำธุรกิจกับอีกฝ่ายมานานแล้ว และเป็นไปได้ว่าความลับนี้จะแพร่กระจายออกไป เป็นผลให้มันกลายเป็นความลับที่สามารถเปิดเผยได้ง่ายที่สุด

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ความร่วมมือในการขายยาสามหยางเพียงอย่างเดียว ก็มากพอแล้วที่จะทำให้หลายคนสงสัยเขา

ผลกระทบของเรื่องนี้ยิ่งใหญ่เกินไป จนแม้แต่อารามนิรันดร์ก็ไม่สามารถซ่อนมันจากทุกคนได้ ทำให้มีบางคนค้นพบว่าคนที่ขายยาสามหยางนั้นเกี่ยวข้องกับอารามนิรันดร์

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หลังจากที่สร้างโทเทมโลหิตสลายแล้ว ความจริงที่ว่าซูเฉินเป็นอวิ๋นฝูปานั้นได้แพร่กระจายไปทั่วทั้ง 7 อาณาจักรของมนุษย์ ทำให้ไม่มีใครไม่รู้จักตัวตนนี้ของซูเฉินอีกต่อไป

เมื่อรวมเรื่องทั้ง 2 นี้เข้าด้วยกัน แม้แต่คนงี่เง่าก็สามารถบอกได้ว่าซูเฉินนั้นติดต่อกับอารามนิรันดร์

แต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถใช้ความลับนี้มาทำอะไรกับเขาก็ได้

การมีส่วนร่วมในวิธีทะลวงด่านโดยไร้สายเลือดของซูเฉิน ทั้งด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณ โทเทมโลหิตสลาย และทักษะวิชาอื่น ๆ ที่เขาเกี่ยวข้องอีกมากมาย มีส่วนช่วยสนับสนุนเผ่ามนุษย์อย่างมาก มากจนเรียกได้ว่าทุกคนรู้ดีว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ซูเฉินจะร่วมมือกับเหล่าคนเถื่อนก็คงไม่มีใครเอะอะโวยวายมากนัก แล้วจะนับประสาอะไรกับการร่วมมือเล็กน้อยระหว่างเขากับอารามนิรันดร์

ตลอดหลายชั่วอายุคน คนใหญ่คนโตสักกี่คนต่อกี่คนแล้วที่ขายความลับของเผ่ามนุษย์ออกไป แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะสถานะหรือผลงานของพวกเขา

แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าผู้กระทำจะยอมรับหรือไม่

หากพวกเขาเต็มใจที่จะยอมรับ จากนั้นพวกเขาจะสามารถกล่าวได้ว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อเผ่าพันธุ์ เพื่ออาณาจักร เพื่อประชาชนของเขา แม้จะผิดจริงแต่มันก็จะกลายเป็นเล็กน้อยที่ให้อภัยได้

ทว่าหากพวกเขาไม่เต็มใจ เรื่องมันก็อาจกลายเป็นว่าเขาได้หยิ่งผยองเพราะความสำเร็จของตัวเอง และขายอาณาจักรของตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แม้จะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักร แต่ก็อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนเช่นกัน ผลงานควรตอบแทนด้วยรางวัลสำหรับและความผิดก็สมควรตอบแทนด้วยบทลงโทษ รางวัลอาจเป็นอัญมณีล้ำค่าหรือทรัพยากรจำนวนหนึ่ง ในขณะที่การลงโทษนั้นเรียบง่ายยิ่ง เพียงแค่ดาบเล่มเดียวก็พอแล้ว

ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกตอบอย่างไร สิ่งที่คือพูดไปก็ยังคงเป็นความยุติธรรมและความชอบธรรมอยู่ดี

นี่คือสถานการณ์ของซูเฉิน หากคนระดับสูงมีความสุขทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่หากพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาสามารถปลิดชีวิตของชายหนุ่มได้ด้วยข้อกล่าวหาเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว

หลินเหวินจวิ้นชอบเขาหรือไม่ ?

แน่นอนว่าไม่

แต่มันก็ไม่มีเหตุผลมากพอที่ทำให้หลินเหวินจวิ้นต้องการสังหารซูเฉิน

เห็นได้ชัดว่าหลินเหวินจวิ้นมีความคิดในแบบของเขาเอง แต่ก่อนที่จะทันได้ตระหนักถึงพวกมัน เขาก็คิดว่าควรพยายามปราบปรามอิทธิพลของซูเฉินเอาไว้ก่อน เพื่อที่ความคิดเห็นของสาธารณชนจะไม่อยู่ข้างเขามากเกินไป

ซูเฉินไม่รู้ว่าหลินเหวินจวิ้นกำลังวางแผนอะไร แต่เขารู้ดีว่าการยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับอารามนิรันดร์ ไม่ได้ช่วยให้เกิดผลดีอะไรเลย

เขาก็เลยตอบไปว่า “ข้าไม่มีแผนที่”

หลินเหวินจวิ้นจี้ถามต่อในทันที “แล้วเจ้าหากองทัพกำลังสวรรค์พบได้อย่างไร ? แล้วเหตุใดถึงสามารถเข้าใจภูมิประเทศของดินแดนคนเถื่อนได้ดีขนาดนั้น ?”

“ข้าสามารถพูดภาษาคนเถื่อนได้ ข้าจึงสอบถามไปตลอดทาง และเขียนแผนที่โดยอ้างอิงจากสิ่งที่ข้าพบเจอ ก่อนออกเดินทางข้าไม่มีแผนที่ เมื่อถึงเวลากลับ ข้าก็ใช้แผนที่ที่ข้าทำขึ้นเพื่อออกมาจากอาณาจักรเหล็กเลือด ฝ่าบาท ท่านกล่าวว่าแผนที่คือสมบัติที่สำคัญที่สุดของอาณาจักร ? เช่นนั้นหากข้ามอบแผนที่นี้ให้พวกท่าน ข้าจะได้รับประโยชน์มากเพียงใด ?” ซูเฉินตอบกลับ