บทที่ 220 กลับ
ไม่นานหลังจากนั้น
เสียงร่ำไห้น่าสงสารก็ได้ยินดังไปทั่วป่า
“ทำไม ? ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ? ข้าทะลวงถึงด่านเทียบเท่าเจ้าอสูรแล้ว แต่ทำไมยังเอาชนะเขาไม่ได้อีก ? ข้าไม่ยอม…… อ๊าก !!”
ซูเฉินขัดการคร่ำครวญของอีกฝ่ายด้วยการเฉือนเอาพลังชีวิตของอีกฝ่ายออกมา
“รู้ไว้เถอะว่าโชคดี คนที่ทรยศข้าหาได้ยากนักที่จะได้รับโอกาสที่สอง” ซูเฉินพูดเสียงเบา “หากคิดจะทำอีก จำไว้ว่าต้องเจอกับอะไร”
“ข้า…… รู้ซึ้งถึงความผิดแล้ว…… นายท่าน !” กระเรียนกระดาษร่ำไห้อยู่แทบเท้าซูเฉิน
“หากรู้ว่าตนผิดแล้วก็ไปกันเถอะ” ซูเฉินเหยียบขึ้นร่างกระเรียนกระดาษ
ซูเฉินสามารถบินเองได้ ทั้งยังมีเรือเคลื่อนเมฆา แต่ในตอนนี้เขาอยากใช้กระเรียนกระดาษบินมากกว่า
กระเรียนกระดาษจึงพาซูเฉินบินไปตามทางกลับ
7 วันให้หลัง กระเรียนกระดาษก็มาถึงทุ่งหญ้าฮาเหวย อันเป็นที่ตั้งของชนเผ่ากิ้งก่ากรวด ในตอนนี้ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดกลายเป็นชนเผ่าที่มีอำนาจมากที่สุดในเขตทางใต้ของแดนคนเถื่อนแล้ว ตานปาทำตัวบ้าคลั่ง เข้าปราบปรามชนเผ่าอื่นกว่า 10 แห่งภายในคราวเดียว
ซูเฉินได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากตานปา
3 วันให้หลัง ซูเฉินก็จากไป กระเรียนกระดาษยังคงมุ่งหน้าลงใต้
ครั้งนี้ ซูเฉินคิดจะกลับบ้านแล้วจริง ๆ
ทว่าไม่เหมือนเช่นกองทัพกำลังสวรรค์ ซูเฉินคิดจะใช้เส้นทางที่ผ่านปราการลุ่มน้ำทอง
เขาคิดจะกลับบ้านไปด้วยความมั่นใจ
ณ ปราการลุ่มน้ำทอง
ทหารทั้งหลายยืนอยู่บนกำแพงปราการ คุยกันไปเรื่อย
“ช่างน่าเบื่อจริง ๆ นะ พี่ปัวเล่าเรื่องเกี่ยวกับกองทัพกำลังสวรรค์บุกตะลุยแดนคนเถื่อนให้ฟังหน่อยสิ” ทหารหนุ่มคนหนึ่งพูดกับทหารอีกคนที่กำลังนั่งหน้าเคร่งอยู่
คำพูดนั้นทำให้คนอื่น ๆ สนใจ
“ใช่ ๆ! เล่าให้ฟังอีกสิ !”
ทหารผู้นั้นมีนามว่าข่งปัว เมื่อได้ยินเสียงทหารหนุ่มทั้งหลายก็หัวเราะ “หลายวันมานี้ข้าก็เล่าเท่าที่เล่าได้ไปแล้ว อย่างอื่นที่ไม่ได้เล่าคือเรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แล้วยังจะเล่าอะไรได้อีก ?”
ได้ยินดังนี้พวกทหารทั้งหลายก็อารมณ์เสีย
ทหารอีกนายว่า “มีอะไรพูดไม่ได้ ? ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขาไม่ใช่สิ่งของพวกเขานี่ ? ท่านอาจไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรนี่นา มีคนคิดจะใช้วิธีเช่นนี้หลอกลวงพวกเราแน่”
“หุบปากเสีย ปากพล่อย ๆ ของเจ้าจะนำปัญหาไม่รู้จบมาให้” คนที่อยู่ไม่ไกลเอ่ย
คนที่พูดขึ้นก่อนหน้าเอ่ยเสียงโกรธ “กลัวเขาตายล่ะ……”
เขาคิดจะพูดอย่างอื่นอีก แต่มีคนเข้ามาห้าม
ทหารที่เข้ามาหยุดอีกฝ่ายไว้มองไปยังข่งปัว “พี่ปัว ขอโทษด้วย”
“ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดี” ข่งปัวไม่ใส่ใจ
เรื่องของกองทัพกำลังสวรรค์ถูกยกขึ้นมาพูดและถูกตัดออกไปภายในเวลาอันสั้น
แต่การปิดบังเรื่องราวไว้โดยบังคับเช่นนี้ย่อมทำให้หลายคนไม่พอใจ
เพราะมันมีเรื่องให้เล่ามากมายจริง ๆ จึงไม่แปลกที่จะมีบางคนปิดปากไม่มิด
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารอีกคนก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “ข้าไม่เข้าใจเลยพี่ปัว”
“ไม่เข้าใจอะไร ?” ข่งปัวยืนเฝ้ากำแพงปราการด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทอดสายตามองไปไกล ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างกำลังบินเข้ามา
ข่งปัวจึงจ้องไปทางนั้นตามสัญชาตญาณ
“ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาปฏิบัติกับท่านเช่นนี้ และทำไมพวกท่านถึงยอมรับมัน” ทหารผู้นั้นยังบ่นต่อ
ข่งปัวยังคงมองสิ่งที่กำลังบินเข้ามาแล้วตอบเสียงสบาย “ท่าทางของพวกข้าแปลกประหลาดถึงเช่นนั้นเลยหรือ ? แล้วเจ้าจะให้พวกข้าทำอย่างไร ? ลุกขึ้นเรียกหาความยุติธรรม ? จะให้ก่อกบฏหรือ ?”
“……ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“ข้ารู้” ข่งปัวเอ่ย “แต่หากเจ้าได้พบประสบการณ์เช่นเรายามที่อยู่แดนคนเถื่อน ก็คงไม่ใส่ใจเรื่องที่พวกข้ากำลังเผชิญอยู่เช่นนี้หรอก…… หากสามารถรอดพ้นสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนั้นมาได้ เรื่องเล็กแค่นี้จะนับเป็นอะไร ? อย่างไรก่อนจะกลับมาพวกเราก็คิดไว้อยู่แล้ว”
“รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังกลับไม่ถึงเลยหรือ ?” ทุกคนตกใจ “แต่ท่านก็ยัง……”
ข่งปัวหัวเราะ “ต้องมีเรื่องได้พูดแน่ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น”
จุดดำที่ขอบฟ้าใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ข่งปัวเริ่มเห็นเงาร่างมนุษย์กำลังขี่อยู่บนหลังสัตว์อสูรรูปร่างประหลาด
ข่งปัวทำสัญลักษณ์ให้ทุกคนเตรียมตัวและพร้อมตั้งรับ
“เป็นเมื่อไหร่ ?” ยังมีอีกหลายคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
“เป็นตอนที่คนที่รู้ว่าควรจะเป็นเวลาไหนกลับมาไง” ข่งปัวตอบเสียงนิ่ง
เขาพูดไปเช่นนั้น แต่แท้จริงคือปมของปัญหา
วันคืนที่ผ่านในแดนคนเถื่อน ผู้นำทัพในใจของเหล่าทหารก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป
เหตุผลที่ทุกคนอดทนมาถึงตอนนี้ได้เพราะรู้ว่ายังมีคนที่เต็มใจยอมเสี่ยงเพื่อพวกเขาอยู่ คนผู้นั้นมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าเมื่อไหร่จะเป็นเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งเขายังไม่กลับมา
พวกเขาจึงได้แต่รอ
นับเป็นสิ่งที่พวกทหารตัดสินใจกันเอาเอง และเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจในกองทัพกำลังสวรรค์มีความเห็นพ้องต้องกัน
แต่เรื่องเช่นนี้ไม่อาจบอกกล่าวได้ บางอย่างก็ถูกเก็บไว้ในใจคนไม่ให้ใครเห็น แต่ทุกคนก็รู้ดี
คนที่สามารถตัดสินใจได้ ? เป็นใครกันนะ ?
ในตอนที่ทุกคนกำลังคาดเดา ข่งปัวก็เบิกตากว้างตัวสั่นน้อย ๆ
“เป็นเขา ! เขากลับมาแล้ว ! กลับมาแล้ว !” ข่งปัวเริ่มตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“ใครกัน ?” คนอื่น ๆ ถามพลางมองสิ่งที่กำลังบินเข้ามาจากที่ไกล
ข่งปัวเผยรอยยิ้มบาง “ย่อมเป็นคนที่เราพูดถึงไม่ได้น่ะสิ”
กระเรียนกระดาษบินเข้ามา กำแพงปราการลุ่มน้ำทองค่อย ๆ ฉายชัดให้เห็น ตัวซูเฉินเองยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว
ซูเฉินไม่ได้สั่งให้กระเรียนกระดาษลงจอดบนกำแพง เขามาจากแดนคนเถื่อน ยังต้องถูกตรวจสอบ ดังนั้นซูเฉินจึงสั่งให้กระเรียนกระดาษเคลื่อนไหวช้าลง พวกทหารประจำการจะได้มีเวลาตอบรับทัน
ไม่นานไฟบนกำแพงก็ถูกจุด
แสงเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ สั่งให้ซูเฉินลงจอดที่จุดหนึ่ง ทั้งยังเป็นคำเตือน แจ้งให้รู้ว่าทหารโดยรอบเตรียมการพร้อมแล้ว
ซูเฉินสั่งกระเรียนกระดาษให้มุ่งหน้าไปยังทางที่ไฟจุดขึ้นมา
เพิ่งจะก้าวเท้าลงมาจากกระเรียน ก็เห็นทหารนายหนึ่งคุกเข่าลงตรงหน้า “ข่งปัวคำนับคุณชายซู !”
“ข่งปัว ? มาจากกองทหารเขาใต้สมุทรแห่งกองทัพกำลังสวรรค์ใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินถามขึ้น
ข่งปัวดีใจเป็นยิ่งนัก “คุณชายซูยังจำข้าได้ !”
ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “เจ้าอยู่ที่ปีกซ้ายยามเราโจมตีปราการ จำได้ว่าเจ้านำทัพออกไปด้วยความกล้าหาญไร้แววหวากกลัว ทั้งยังจำได้ว่ายังเป็นคนที่ฝึกวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ได้รวดเร็วที่สุด แล้วทำไมตอนนี้……”
ซูเฉินจึงสังเกตว่าเขาจำทหารรอบกายข่งปัวไม่ได้เลย
แน่นอนว่าเขาคงจำหน้าไม่ได้ทุกคน แต่มีเพียงข่งปัวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ทหารคนอื่นมีแต่ดึงให้เขาลุกขึ้น ทำให้รู้ทันทีว่าไม่ใช่ทหารจากกองทัพกำลังสวรรค์
ปัญหาหลักคือข่งปัวเป็นทหารจากกองทัพกำลังสวรรค์แท้ ๆ แล้วทำไม……
ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นในใจซูเฉิน
แน่นอนว่าข่งปัวตอบคำ “หลังจากกองทัพกำลังสวรรค์กลับมาก็ถูกยุบทัพ ไม่มีกองทัพกำลังสวรรค์อีกต่อไป”
“กองทัพกำลังสวรรค์ถูกยุบทัพ ?” ซูเฉินถามเสียงประหลาดใจ
ไม่แปลกที่ข่งปัวเรียกเขาว่าคุณชายซู อย่างไรเขาก็เป็นรองผู้บัญชาการกองทัพกำลังสวรรค์ แม้หลายวันมานี้จะไม่ได้ทำหน้าที่ แต่ฐานะทางการก็ยังอยู่ ดังนั้นข่งปัวจึงควรจะเรียกด้วยฐานะนั้นของเขา พวกที่รู้จักประจบประแจงหน่อยอาจจะละคำว่า ‘รอง’ ไปเลยก็ได้ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ในเมื่อกองทัพกำลังสวรรค์หายไปแล้ว ฐานะของเขาก็หายไปเช่นกัน ข่งปัวจึงได้แต่เรียกเขาว่าคุณชายซู
“ขอรับ” ข่งปัวก้มหน้าลง “กองทัพกำลังสวรรค์กลับมาได้ไม่นาน เบื้องบนก็ส่งฎีกาลงมาว่ากองทัพของเราไม่สนใจคำสั่ง บุกตะลุยเข้าแดนศัตรู เป็นความผิดใหญ่หลวง ดังนั้นจึงถูกลงโทษหนักหน่วง”
“ผลออกมาเป็นเช่นนี้เองหรือ ?” ซูเฉินพึมพำ ไม่ได้ตกใจมากมาย
ทุกคนคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ไว้แล้วตั้งแต่ก่อนที่กองทัพกำลังสวรรค์จะกลับมาเสียอีก
ใครที่รอดมาจนถึงจุดนี้ได้คงไม่ใช่คนโง่ ต่างรู้เรื่องที่กองทัพกำลังสวรรค์เป็นมลทินต่อกลุ่มอำนาจหนึ่ง
หากรอยด่างพร้อยนั้นหายไป ใช้เวลาสักหน่อยทุกอย่างก็จะคลี่คลาย แต่หากรอยด่างพลอยนั่นกลับรอดชีวิตมาได้…… ชั่วชีวิตนี้ก็จะเป็นรอยด่างพร้อยตลอดไป
องค์รัชทายาทคงไม่อาจยอมรับผลเช่นนี้ได้
แต่การโยนข้อหาก่อกบฏให้กองทัพกำลังสวรรค์ก็คงจะมากเกินไปหน่อย และคงไม่มีใครเชื่อ ดังนั้นจึงได้แต่โยนความผิดอื่นให้กองทัพกำลังสวรรค์แทน
แม้จะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดา เป็นเพียงเรื่องที่อาจเป็นไปได้เท่านั้น สีหน้าของซูเฉินยังคงทะมึนลงไม่ได้ยินข่าวร้าย “เลยเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขายุบกองทัพกำลังสวรรค์ ?”
มันเป็นกองทัพที่มีประสบการณ์การรบโชกโชน การที่รอดจากแดนคนเถื่อนมาได้ก็ทำเอาคนจำนวนมากตกตะลึงแล้ว
การรับมือกับทัพใหญ่เช่นนี้เป็นปัญหายาก
จะฆ่าก็ไม่ได้ จะตกรางวัลก็ไม่อยาก
คิดแล้วคิดอีก ทางที่ง่ายที่สุดคือแยกแล้วจัดทัพเสียใหม่ น่าจะทำลายความกลมเกลียวในทัพลงได้ เพื่อสิ่งนี้จึงห้ามไม่ให้พวกทหารคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในอาณาจักรเหล็กเลือด
โดยหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย พวกทหารก็ไร้หนทางติดต่อ ความสามัคคีย่อมค่อย ๆ สลายหายไป นับเป็นวิธีรับมือกับปัญหาที่ได้ผลดีไม่น้อย
แต่แม้จะแก้ปัญหาได้ ประสบการณ์ที่ได้จากการรบขนาดใหญ่และพลังอิทธิพลทั้งหลายที่ทัพมีเองก็หายไปเช่นกัน
“เช่นนั้นกองทัพกำลังสวรรค์รั้งอยู่อาณาจักรเหล็กเลือดได้เป็นปี แต่เมื่อกลับไปได้กลับมีคนกวาดล้างให้หายไปภายในไม่กี่วัน ?” ซูเฉินพึมพำ
ข่งปัวตอบเสียงขุ่นใจ “คุณชายซู กองทัพกำลังสวรรค์ถูกยุบได้ แต่จิตวิญญาณยังอยู่ ! พวกเรารอคอยการกลับมาของท่านมาโดยตลอด ให้ท่านต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมแทนพวกเรา”
“รอข้า ? ผู้บัญชาการหลี่ล่ะ ? อาจารย์ข้าเล่า ?”
“ผู้บัญชาการลี่ถูกข้อหาใช้อำนาจในทางที่ผิดจึงถูกถอดยศ รองผู้บัญชาการฉือ…… ถูกกักบริเวณในบ้านขอรับ”
“กักบริเวณในบ้าน ? กล้าดีนัก !” ซูเฉินหน้าทะมึน
ตอนนั้นเองเสียงทุ้มก็ดังขึ้น “ใครกล้าบุกรุกปราการลุ่มน้ำทอง ? ไปจับมันมา !”
สิ้นคำ ทหารจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมายอดกำแพงปราการ ใช้หน้าไม้หนักและหอกทั้งหลายเล็งไปยังซูเฉิน
ชายคล้ายบัณฑิตเดินออกมาเผชิญหน้ากับซูเฉิน
ข่งปัวรีบเอ่ย “คนผู้นี้คือซูเฉิน ผู้มีพระคุณที่ช่วยกองทัพกำลังสวรรค์ไว้ขอรับ !”
“ซูเฉิน ?” บัณฑิตผู้นั้นสายตาเรืองรอง “เจ้าคือซูเฉินนี่เอง”
“ใช่ คือข้าเอง” ซูเฉินตอบ
“แต่กระทั่งคุณชายซูเองก็ยังไร้อำนาจบุกปราการลุ่มน้ำทองเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ?” บัณฑิตถาม
ซูเฉินเหลือบมองไปรอบกาย “ข้าเพิ่งกลับมาจากแดนคนเถื่อน หากไม่มาตามทางปราการลุ่มน้ำทองแล้วจะให้กลับไปทางไหน ?”
“เช่นนั้นยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ คุณชายซูเป็นพลเรือนนอกทัพ จะกลับมาจากแดนคนเถื่อนได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร ? ไม่แน่ว่าคุณชายซูขายความลับของเผ่ามนุษย์ให้กับศัตรู กลายเป็นสายลับของคนเถื่อนไปแล้ว ? ทหาร เข้ามาจับตัวเขาไว้ สอบปากคำแล้วเราค่อยตัดสินใจ !”