ภาคที่ 4 บทที่ 219 สัตว์เลี้ยง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 219 สัตว์เลี้ยง

“เกิดอะไรขึ้น ?”

ใจสีเลือดมองช่องแสงนั้นด้วยความตกตะลึง

ภายใต้อิทธิพลของแสงนั่น ร่างกายของซูเฉินซึ่งก่อนหน้านี้กำลังเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็วกลับขยายออก กล้ามเนื้อผุดออกมา ดูเต็มไปด้วยพลังไร้ขอบเขต

“กรรร !” ซูเฉินแหงนหน้าคำรามออกมาราวกลับเป็นสัตว์อสูรโบราณ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้ใจสีเลือดตัวสั่นเล็กน้อย

“นี่มัน…… แสงจากโทเทมนี่ ?” เขาช่องมันด้วยสายตาว่างเปล่า

แววตาอันคุ้นเคยปรากฏขึ้น ร่างของซูเฉินเริ่มส่องแสงขณะที่อักขระโทเทมปรากฏขึ้นบนผิวกาย

แสงตรงหน้านั้นสว่างจ้ามากแบบที่ใจสีเลือดไม่เคยเห็นมาก่อน เท่าที่เขาจำได้ มีเพียงคนเถื่อนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีอักขระส่องสว่างมากถึงขั้นนี้

นี่มัน…… ปรมัตถ์ !

โทเทมแห่งพลังชีวิตกับพลังขั้นปรมัตถ์ !

ใจสีเลือดไม่อาจเข้าใจ

มนุษย์จะถือครองพลังปรมัตถ์ที่เป็นของคนเถื่อนได้อย่างไรกัน ?

ตอนนี้ซูเฉินเหมือนกับจะกลายร่างเป็นคนเถื่อนผู้บ้าคลั่ง กล้ามเนื้อบนร่างเต็มไปด้วยพลังงานขณะขยายตัวออก ทั้งยังตัวสูงใหญ่ขึ้นเล็กน้อยในพลัน

แท่นบงกชกลับเข้าไปอยู่ในร่างเขาอีกครั้ง ตอนนี้เขาใช้เพียงกำลังกายต้านแรงพลังที่ใจสีเลือดปล่อยออกมา

เขาเป็นดั่งขุนเขากลางทะเลที่ถูกคลื่นซัด ไม่ว่าลมจะพัดแรงเพียงไหนหรือถูกฝนสาดแรงเท่าไร แต่ก็ยังยืนหยัดมั่นคง

“ออกมาสักทีนะ โทเทมแห่งพลังชีวิต” ซูเฉินหัวเราะพอใจพลางสำรวจตน

นับตั้งแต่หลอมมันเข้าร่างมา ซูเฉินก็รอจังหวะที่มันจะเผยประโยชน์มาตลอด น่าเสียดายที่ลองหลายครั้งแล้วกลับไร้ผล

ดังนั้นเขาจึงสรุปว่ามันคงจะใช้งานได้ยามตกอยู่ในอันตรายคับขันเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้ลองทฤษฎีนั้นสักที

เขาไล่ตามใจสีเลือด แท้จริงแล้วด้วยหลายเหตุผล เหตุผลหนึ่งคือการสลัดคนที่ไล่ตามเขาอยู่ให้หลุด อีกเหตุผลหนึ่งคือเพื่อลองหาวิธีใช้โทเทมแห่งพลังชีวิต

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเพียงต้องการลองใช้โทเทมแห่งพลังชีวิต ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังเป็นสำคัญ แต่กระนั้นเมื่อมีหวังเขาจึงยอมลองเสี่ยงดู

ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินทางมาแม้จะรู้ว่าใจสีเลือดอาจจะยังมีไพ่ตายพี่สามารถลากเขาลงหลุมไปด้วย

จะใช้ชีวิตโดยไม่เสี่ยงอันตรายใดย่อมเป็นไปไม่ได้ หากมีเหตุผลสำคัญรองรับให้ลองเสี่ยง เท่านั้นก็มากพอแล้ว

ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะเข้าข้างเขาไม่น้อย

เมื่อยามพลังชีวิตถูกบีบถึงขีดจำกัด โทเทมแห่งพลังชีวิตก็เผยตัว ไม่มีใครรู้ว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง

แล้วเขาก็เข้าศูนย์ด่านปรมัตถ์ได้จริง ซึ่งเป็นสถานะที่ทำให้เขามีร่างกายพร้อมสู้ศึกอันแข็งแกร่งในตำนานมาครอบครอง

กระทั่งแรงกดดันอันน่าขวัญผวาของใจสีเลือดยังทำอะไรเขาไม่ได้

แต่แน่นอนว่าการที่ใจสีเลือดบาดเจ็บสาหัสเป็นสาเหตุสำคัญ แต่ความยืดหยุ่นที่โทเทมแห่งปรมัตถ์มอบให้ก็นับว่าสูงเช่นกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าพลังมันมีจำกัด ซูเฉินรู้สึกได้ว่าพลังของอักขระโทเทมกำลังลดลง เขาอาจอยู่ในสถานะนี้ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเขาจะสามารถเอาชนะใจสีเลือดได้เป็นแน่

“ไม่ !” ใจสีเลือดเห็นดังนั้นแล้วก็คำรามลั่น

ร่างกายเขายังสลายไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นผุยผง

สภาพร่างกายในปัจจุบันของเขาไม่สามารถทะลวงผ่านร่างดั่งเหล็กของซูเฉินในตอนนี้ได้ จึงได้แต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไป

คลื่นพลังและแรงลมเริ่มบรรเทาลงเรื่อย ๆ จากลมพายุกลายเป็นเพียงลมแรง กลายเป็นลมพัดพาในที่สุด

และเมื่อมันพัดผ่านออกไป ใจสีเลือดก็ร่างสลายกลายเป็นผุยผงทั้งหมด ถูกพัดปลิวหายไปไม่เหลือร่องรอย

ซูเฉินถอนหายใจ โทเทมแห่งพลังชีวิตกลับไปจำศีลดังเดิม ความรู้สึกหิวกระหายเกิดขึ้นอีกครั้ง

แต่ความหิวกระหายในครั้งนี้ก็ได้รับการเติมเต็มอย่างรวดเร็ว

“เอิ้ก !”

ซูเฉินเรอพอใจราวกับเพิ่งจัดอาหารมื้อใหญ่มา

“เช่นนี้นี่เอง” ซูเฉินพลันเข้าใจ “หากสังหารศัตรู ก็ดูดแก่นพลังชีวิตมาและเก็บไว้ในโทเทมแห่งพลังชีวิตได้ พอถึงจังหวะคับขันมันก็จะเปิดใช้แล้วเพิ่มพลังชีวิตเราได้”

จากนั้นก็ลองดูทั่วร่าง “ไม่เท่านั้น แต่พอเปิดใช้โทเทมแห่งพลังชีวิตแล้ว พลังที่เหลืออยู่จะตรงเข้าร่างและถูกปรับเปลี่ยนใหม่อย่างเงียบ ๆ”

ซูเฉินทำความเข้าใจวิธีการทำงานของโทเทมแห่งพลังชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง

โทเทมแห่งพลังชีวิตมีวิธีการใช้หลักอยู่ 2 แบบ หนึ่งคือการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงร่างกายของผู้ใช้ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง สองคือมันจะใช้ได้เฉพาะยามคับขัน เพิ่มพลังชีวิตให้ผู้ใช้อย่างพุ่งพรวด

ตอนนี้ดูเหมือนว่าขีดจำกัดของซูเฉินมีเทียบเท่ากับคนเถื่อนด่านปรมัตถ์แล้ว

แต่ถ้าร่างกายของซูเฉินยังพัฒนาต่อไปเรื่อยจะเกิดอะไรขึ้น ?

ซูเฉินเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน

อย่างไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องในอนาคตยาวไกลเช่นนั้นอยู่แล้ว เรื่องสำคัญตรงหน้าคือจัดการกับใจสีเลือดเสียก่อน

ใจสีเลือดต่อสู้จนร่างสลายไป ไม่เหลือศพให้เห็น ไร้ทรัพยากรใดทิ้งไว้ กระทั่งผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายยังไม่มี

กลับกัน ใจสีเลือดทิ้งของดีไว้หลายอย่าง

หนึ่งในนั้นคือแหวนพลัง

ด้วยฐานะของใจสีเลือด หากไม่มีก็คงเป็นไปไม่ได้

ร่างอาจถูกกลืน แต่แหวนไม่ใช่อวัยวะในร่างจึงไม่ถูกกลืนไปด้วย

ซูเฉินหยิบมันขึ้นมาดู เป็นแหวนพลังที่ใหญ่เป็นพิเศษ วงที่ซูเฉินมีใส่ของได้มากมาย แต่ที่เก็บของเจ้านี่เทียบเท่ากับแหวนพลังระดับต่ำนับ 100 รวมกัน เก็บของได้มากมายทีเดียว

แหวนเช่นนี้ย่อมมีของอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญ ใจสีเลือดเพิ่งจะบุกตะลุยไปทั่วอาณาจักรเหล็กเลือด ดังนั้นของมีค่าทั้งหลายย่อมถูกเก็บไว้ในแหวน

ซูเฉินเปิดแหวนมาเห็นของด้านในก็เกือบเป็นลม

“ถามจริง ? เก็บมาแม้แต่หญ้าเจ็ดเงากับจักจั่นไฟร้อยปีเนี่ยนะ ? คงไม่จนขนาดนั้นกระมัง ?” แทนที่จะดีใจที่ใจสีเลือดเก็บทรัพยากรมาอย่างหลากหลาย ซูเฉินกลับเริ่มบ่นขึ้น

ในสายตาเขา สิ่งของของใจสีเลือดไร้ค่านัก

ไม่ใช่ว่าราคาไม่ดี แต่เพราะเขามีแล้วต่างหาก

การเก็บสมบัติที่เขาหมายตาเอาไว้นับเป็นการดูถูกฐานะจักรพรรดิอสูรกายนัก

แต่นั่นก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ อย่างไรในแดนคนเถื่อนก็ยากจนข้นแค้น หลายสถานที่ถูกกองทัพกำลังสวรรค์ปล้นชิงไปแล้ว ดังนั้นทรัพยากรที่เหลือจึงมีจำกัด

แต่ตัวแปรสำคัญยังคงเป็นการยุแหย่ของซูเฉิน

ซูเฉินยั่วยุจนใจสีเลือดไม่อาจรักษาความสงบไม่ได้ ต้องออกตามชิงของที่หายไปคืนมาโดยเร็วที่สุด สุดท้ายแล้วความละโมบก็พุ่งขึ้นสูง เก็บมาแม้กระทั่งทรัพยากรระดับธรรมดาด้วย

“หิวมากเสียจนไม่สนว่าตนจะต้องกินอะไรเลยสินะ” ซูเฉินพึมพำ

แต่แน่นอนว่าก็มีของดีอยู่ไม่น้อยด้วย

ยังมีผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกาย ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังหายาก และของหายากของคนเถื่อนอีกบ้าง

แต่ของล้ำค่าที่สุดก็คือกล่องไม้หนึ่ง

จังหวะที่แตะโดน ก็รู้สึกถึงพลังสูงส่งที่แผ่ออกมา

ซูเฉินรู้ทันทีว่าคืออะไร

“วิญญาณเทพสงคราม…… ต้องเป็นวิญญาณของซ่าเค่อเอ่อรแน่ !” ซูเฉินพึมพำ

เช่นเดียวกันกับแก่นพลังชีวิตของเผ่าสัตว์อสูรที่มีประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ จิตวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็มีประโยชน์ต่อเผ่าสัตว์อสูรมากเช่นกัน สามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันได้ แปรเปลี่ยนประสบการณ์เป็นกำลังของจริง แต่สติปัญญาของใจสีเลือดถึงขั้นสุดมานานแล้ว มันจึงไร้ประโยชน์ต่อเขา แต่หากเป็นระดับราชันอสูรกายนับเป็นของล้ำค่าที่ทำให้ทะลวงสู่ขั้นจักรพรรดิได้ ด้วยสิ่งมีชีวิตระดับราชันที่อยู่ในจิตวิญญาณนั้นมีความเข้าใจและประสบการณ์ลึกล้ำยิ่ง

แต่ของเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสัตว์อสูรเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ เช่นเดียวกับแก่นพลังสัตว์อสูร

เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดและเผ่าพันธุ์อัจฉริยะส่งเสริมกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

“น่าเสียดาย ไม่มีสัตว์เลี้ยงให้ลองใช้เลย” ซูเฉินถอนหายใจเศร้า

“น-นายท่าน……” ตุ๊กตากระดาษขาวพลันเอ่ย

“หือ ?” ซูเฉินหันไป

ตุ๊กตากระดาษขาวว่า “ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านไงขอรับ”

ซูเฉินพูดไม่ออก

เขายังไม่คุ้นเคยกับการมองตุ๊กตากระดาษขาวเป็นสัตว์เลี้ยงเท่าไหร่

กระนั้นความเป็นจริงคือ แม้ตุ๊กตากระดาษขาวจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด แก่นพลังชีวิตเป็นมวลอากาศ แน่นอนว่าไม่ใช่สัตว์อสูร แต่ก็นับเป็นสัตว์เลี้ยงได้ อย่างไรก็เรียกเปรยเท่านั้น แต่จะหน้าตาท่าทางเหมือนสัตว์เลี้ยงหรือไม่นั่นอีกเรื่อง

วิญญาณเทพสงครามไร้ประโยชน์ต่อซูเฉิน แต่ล้ำค่าต่อตุ๊กตากระดาษขาวมาก

เพิ่มพลังให้ตุ๊กตากระดาษขาวได้มากทีเดียว

ซูเฉินคิดเล็กน้อย “ข้าไม่ชินกับการมีสัตว์เลี้ยงที่หน้าตาเหมือนมนุษย์เท่าไหร่”

ตุ๊กตากระดาษขาวตอบทันควัน “ก็เพราะได้พบท่านเลยจงใจใช้ร่างนี้ต่างหาก กระดาษก็แค่เปลือกนอก ข้าเปลี่ยนเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

ตุ๊กตากระดาษขาวพูดจบ กลุ่มหมอกก็เปลี่ยนรูป กลายเป็นอสูรตัวน้อยน่ารัก เปลือกกระดาษภายนอกยังไม่งอกออกมาด้วยซ้ำ

พยายามไม่น้อยเลยเพื่อที่จะได้วิญญาณเทพสงครามมา

เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนั้น ซูเฉินก็หัวเราะ “ดูท่าจะไม่โกรธที่ถูกข้าหลอกใช้นะ”

ตุ๊กตากระดาษขาวรีบตอบ “ข้าเป็นทาสรับใช้ หากนายท่านต้องการ จะทำอะไรกับข้าก็ย่อมได้”

“แต่ก็ถือว่าพยายามได้ดี”

“นั่นเป็นวิญญาณเทพสงคราม หากได้มา ทั้งกำลังและสติปัญญาของข้าจะสูงขึ้นมาก พัฒนาต่อยอดได้ง่ายขึ้นกว่าเก่า” ตุ๊กตากระดาษขาวเอ่ยเสียงตื่นเต้น

“เช่นนั้นก็เป็นของเจ้าแล้ว” ซูเฉินยื่นให้

ตุ๊กตากระดาษขาวใช้กลุ่มควันรับมันไว้และดูดซับพลังงานด้านใน เส้นสายพลังจิตอันทรงพลังถูกดูดซึมเข้าร่าง พละกำลังของตุ๊กตากระดาษขาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นกลุ่มก้อนควันก็เริ่มขยายกลายเป็นกลุ่มพลังพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง เปลือกนอกที่เป็นกระดาษของเจ้าตุ๊กตากระดาษขาวเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่และฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้อยู่ในรูปร่างของมนุษย์อีกต่อไป กลายเป็นกระเรียนกระดาษแทน เขาบินไปมาอยู่ในอากาศแล้วหัวเราะลั่น “ข้าทะลวงด่านสำเร็จแล้ว ! ข้าทะลวงด่านได้แล้ว !”

“อ้อ ? กลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเจ้าอสูรไปแล้วหรือ ?” ซูเฉินพึมพำแล้วสัมผัสกลิ่นอายจากตุ๊กตากระดาษขาว

วิญญาณเทพสงครามยังไม่อาจทำให้ตุ๊กตากระดาษขาวฟื้นจากบาดแผลได้ทันที แต่ทำให้ทะลวงด่านสูงขึ้นได้ อีกทั้งยัง

ได้สติปัญญาและประสบการณ์ของซ่าเค่อเอ่อร์ ทำให้ต่อไปจะทำการบ่มเพาะอะไรก็ง่ายนัก

“ฮ่า ๆ มนุษย์หน้าโง่ ! ตอนนี้จะยังคุมข้าได้อยู่หรือไม่ !” ตุ๊กตากระดาษขาว ไม่สิ เจ้ากระดาษหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ทะลวงด่านแล้วก็กะจะแทงข้างหลังกันเลยสิ ?” ซูเฉินไม่แปลกใจ

เขาเคยคุมแก่นพลังของเงามรณะมาก่อน แต่ก็พบว่าตอนนี้อีกฝ่ายต่อต้านเขาได้แล้ว

“ไม่ได้ผลหรอก ! ข้า เงามรณะ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดธรรมดา ทุกครั้งที่ทะลวงด่าน แก่นพลังชีวิตก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เจ้าไม่รู้กระมัง ? ฮ่า ๆๆ!” กระเรียนกระดาษยังหัวเราะคลั่งต่อ

“อ้อ ไม่แปลกใจเลย สิ่งมีชีวิตประหลาดเช่นเจ้ามีไพ่ตายเช่นนี้นี่เอง ไม่เลว ๆ” ซูเฉินพยักหน้าพอใจ

“ไม่กลัวหรือ ?” เห็นดังนั้น กระเรียนกระดาษขาวก็ชะงัก

“กลัว ? ทำไมต้องกลัว ?” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “จริง ๆ ข้าอยากทดสอบอยู่พอดีว่ายังอยู่ห่างจากด่านผลาญจิตวิญญาณเท่าไหนมานานแล้ว ข้ายังงัดกับด่านผลาญจิตวิญญาณแก่ ๆ ไม่ลง แต่ถ้าเป็นตัวอะไรที่เพิ่งทะลวงไปสู่ด่านระดับเจ้าได้เนี่ย…… ข้ายังมั่นใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้”

พูดจบก็ยกดาบหั่นภูผาขึ้น “ในเมื่อดื้อรั้นก็คงต้องสั่งสอนอีกสักครา ดูดพลังชีวิตเจ้าอีกสักหน่อย !”