ภาคที่ 4 บทที่ 218 สู้จนตัวตาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 218 สู้จนตัวตาย

“ซู…… เฉิน……”

ใจสีเลือดค่อย ๆ ลุกขึ้นพลางเอ่ยน้ำเสียงเกลียดชังเย็นชาออกมา

ร่างลอยขึ้นไปในอากาศ หน้าซีดขาวเล็กน้อย กระนั้นนัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แรงกดดันทรงพลังเริ่มแผ่ออกจากร่าง ส่งผลให้ตุ๊กตากระดาษขาวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

“หาข้าเจอได้อย่างไร ?”

ซูเฉินวาดแขน บนฝ่ามือพลันเกิดพลังสีดำกะพริบขึ้นมา

“แดนมืดหรือ ? เจ้าสามารถควบคุมความมืดได้เหมือนกันหรือ ?” ใจสีเลือดถามด้วยความตกใจ

“ข้าเรียกมันว่าสสารต้นกำเนิดแห่งความมืด” ซูเฉินตอบ

ร่องรอยสสารต้นกำเนิดแห่งความมืดยังติดอยู่บนร่างใจสีเลือดหลังใช้พลัง ไม่ว่าไปไหนก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ปกติแล้วคนอื่นไม่สามารถมองเห็นสสารต้นกำเนิด แต่ซูเฉินสามารถมองเห็น

ดังนั้นเขาจึงตามสสารต้นกำเนิดแห่งความมืดมาจนถึงต้นทางโดยง่าย

เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับเขา

“เป็นเช่นนี้ ก็ช่างเถอะ ข้าเองก็อยากตามหาเจ้าอยู่พอดี แต่เจ้ามาเยือนถึงที่” ใจสีเลือดว่า “สมบัติของข้าเล่า ? ยังอยู่กับเจ้าใช่หรือไม่ ?”

“ถูกต้อง” ซูเฉินพยักหน้า “ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกาย เม็ดทรายกาลเวลา โทเทมวิญญาณสายฟ้า หญ้าต้นน้ำ เลือดเทพอสูร และศิลาดนตรีแห่งสัจธรรมอยู่กับข้าทั้งสิ้น แต่ตอนนี้ท่านคงต้องการผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายมากที่สุด ถูกต้องหรือไม่ ? หากมีมันก็จะฟื้นกำลังได้เร็วขึ้น”

ใจสีเลือดหัวเราะเสียงทะมึน “เจ้าจึงกล้าโจมตีข้างั้นหรือ? คิดว่าจะสามารถคุมสถานการณ์ได้ยามที่ข้าบาดเจ็บสินะ ? เสียใจด้วย เจ้ามาช้าเกินไป ให้เวลาฟื้นฟูร่างกายเสียหลายวัน หากมาก่อนหน้านี้ก็อาจพอมีโอกาส แต่ตอนนี้……”

“หากข้าพบท่านก่อนหน้า ก็คงเป็นข้าที่ต้องตาย” ซูเฉินขัดขึ้น “บางครั้งปัญหาบางอย่างก็ต้องใช้เวลากว่ามันจะเผย เหตุผลที่ข้าเพิ่งมาเอาป่านนี้เป็นเพราะรอจังหวะให้บาดแผลท่านเปิดออก ตอนกำลังหลบหนีท่านก็คงกดบาดแผลไว้อย่างเต็มที่ ด้วยเกรงว่าจะมีใครติดตามมาหรือไม่ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน คงรู้สึกได้ว่าไม่มีใครไล่มาแล้ว จึงได้เริ่มฟื้นฟูบาดแผล ตอนนี้จึงอยู่ในขั้นที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดใช่หรือไม่ ?”

ใจสีเลือดสีหน้าพลันเปลี่ยน

มันปล่อยไอสังหารออกมา “คำพูดคำจาน่าเชื่อถือ แต่อย่างไรข้าก็เป็นจักรพรรดิอสูร ! เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ตัวกระจิ๋วเช่นเจ้าไม่อาจมองเมินได้ แม้ข้าจะบาดเจ็บเล็กน้อยก็ตาม”

ซูเฉินพยักหน้า “หากไม่ใช่เพราะ 2 ข้อนี้ท่านก็คงพูดถูก ข้อแรก ท่านไม่ได้บาดเจ็บเล็กน้อย เรียกว่าบาดเจ็บสาหัส จะบอกว่าใกล้ตายก็ยังได้ ประการที่สอง ข้าไม่ใช่เพียงมนุษย์ตัวกระจิ๋ว”

เขาดึงดาบหั่นภูผาออกมาหน้านิ่งแล้วใช้ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด

ใจสีเลือดสีหน้าทะมึนลง “ใช่ ข้าบาดเจ็บหนัก แต่หากข้าสู้เต็มกำลังก็อย่าคิดว่าเจ้าจะรอด !”

“เช่นนั้นจะพูดมากทำไมอีก ?” ซูเฉินโต้

ใจสีเลือดแข็งค้างไป

จริง ๆ แล้วการที่เขาคิดใช้คำพูดขู่ซูเฉินให้กลัวกลับเป็นการเปิดเผยความหวาดกลัวให้เห็น

เขาอยากถ่วงเวลา ซูเฉินก็ไม่มีปัญหา เพราะอย่างไรสภาพใจสีเลือดในตอนนี้ และการที่ซูเฉินยังต้องเดินทางอยู่ตลอดย่อมหมายความว่าต้องใช้กำลังมากสักหน่อยอยู่แล้ว

เมื่อรู้ถึงจุดนี้ ใจสีเลือดจึงเข้าใจว่าถ่วงเวลาไปก็ไร้ประโยชน์ หากยังหาวิธีฟื้นพลังไม่ได้จริง ก็คงถูกซูเฉินจัดการเป็นแน่ !

เมื่อรู้ดังนี้จึงคำรามลั่น “ตาย !”

ระลอกพลังรุนแรงคำรามใส่ซูเฉิน

“ต้องแบบนี้สิ !” ซูเฉินร่างกะพริบหาย

ท่าดาบเป็นแค่ท่าหลอก คำกล่าว ‘นิสัยเก่าแก้ยาก’ แสดงให้เห็น ว่าเขาไม่คิดจะต่อสู้กับใจสีเลือด

เมื่อพบเจอกับคนเช่นนี้ ดีที่สุดคือถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด

ตู้ม !

“อ๊าก !” เสียงโหยหวนดังขึ้น

เป็นเสียงของตุ๊กตากระดาษขาว

การโจมตีของใจสีเลือดไม่ถูกตัวซูเฉิน โดนตุ๊กตากระดาษขาวแทน ร่างมันปลิวไปราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง

“ไม่ต้องกลัว เจ้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก” ซูเฉินหัวร่อ

เขารู้ดีว่าตุ๊กตากระดาษขาวแข็งแกร่งเพียงไหน รูปร่างไม่เหมือนใครของอีกฝ่ายทำให้สามารถรับมือกับวิชาจากพลังต้นกำเนิดได้ดี ทำให้สังหารได้ยาก แต่ถึงจะถูกสังหารไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ซูเฉินพาเขามาด้วยก็เพื่อใช้ทดสอบพลังของใจสีเลือดอยู่แล้ว

หากใจสีเลือดสามารถสังหารตุ๊กตากระดาษขาวได้ในกระบวนท่าเดียว ซูเฉินก็จะรีบหันหน้าวิ่งหนีใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายโดยพลัน

แต่หากใจสีเลือดทำไม่ได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าใกล้จะสิ้นใจแล้ว

เหตุผลเบื้องหลังนั้นเข้าใจไม่ยาก ในตอนนี้ใจสีเลือดไม่เหลือทางใด มีแต่ต้องสู้สุดตัว

ตุ๊กตากระดาษขาวกรีดเสียงร้องแหลมแล้วกระเด็นกระแทกพื้น

พลังจิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด กระดาษสีขาวที่โอบล้อมร่างเหมือนควันถูกใช้ไป

แต่เขาก็ยังไม่ตาย ทั้งยังไม่ได้บาดเจ็บสาหัส

ซูเฉินหัวเราะ “บอกแล้วใช่หรือไม่ ? ท่านไม่รอดแน่ !”

ดาบหั่นภูผาตวัดเข้ามา

ครั้งนี้เป็นการโจมตีของจริง

“บัดซบ !” ใจสีเลือดร้องเสียงโกรธแล้วหันหลังกลับ คลื่นพลังออกจากร่างอย่างรุนแรง

ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอ่อนแอเพียงไหนอย่างไรก็ยังเป็นจักรพรรดิอสูรกาย

ความสง่างามของจักรพรรดิอสูรเผยให้เห็น หนาแน่นเสียจนแทบจับต้องได้ ในความกดดันแฝงไปด้วยพลังสูงส่ง พร้อมกันนั้นใจสีเลือดก็หันมาเหลือบมองซูเฉิน

เมื่อสายตาบรรจบกัน ซูเฉินก็รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง

พลังจิตกล้าแข็งจริง !

กระทั่งซูเฉินที่มีพลังงานจิตถึง 2000 หน่วยยังรู้สึกจะวูบ เผยให้เห็นว่าพลังจิตของใจสีเลือดนั้นกล้าแข็งเพียงไหน

เขาอึ้งไป ใจสีเลือดก็เช่นกัน

เขาเป็นจักรพรรดิอสูรกาย แต่กลับใช้การโจมตีจิตกับซูเฉินได้ไม่รุนแรง แม้วิญญาณผู้พิทักษ์จะยอมแตกสลายจนทำลายพลังจิตเขาลงมาก แต่เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น

กระทั่งคนด่านผลาญจิตวิญญาณคงจะสติแตกไปในทันใด แต่มนุษย์ตรงหน้าเขากลับยังอยู่สบายดี

ไม่เพียงเท่านั้น ดาบหั่นภูผายังตวัดลงมาไม่หยุดการโจมตี

ถ้ายังเป็นปกติก่อนหน้านี้ ใจสีเลือดคงรับมือมันได้ง่าย

แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าปัดป้องมันแล้ว

ทำได้แค่หลบเลี่ยงเท่านั้น

แสงสีน้ำเงินเรืองออกจากร่างใจสีเลือดขณะถอยร่นไปด้านหลัง ในตอนนี้เขาเคลื่อนกายไปไหนไม่ได้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ใช้พลังจะเจ็บปวดไปทั่วร่าง พลังของศัตรูกำลังกัดกินกำลังของเขาไปเรื่อย ทั่วร่างรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง พึ่งพาได้เพียงแก่นพลังชีวิตอันทรงพลังเพื่อให้ยังมีกำลังยืนหยัดอยู่เท่านั้น ค่ายกลของซูเฉินบีบให้อย่างไรเขาก็ต้องใช้พลัง

ในตอนที่กำลังต้านทานการโจมตีของซูเฉิน ความปั่นป่วนในร่างยิ่งเพิ่มสูง ส่งผลกระทบหนักหน่วง ความเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งมากขึ้นคล้ายว่าร่างกายจะแยกออกเป็นสองส่วน

ซูเฉินเหมือนจะรู้สึกได้จึงหัวเราะออกมา “เจ็บมากใช่หรือไม่ ? ให้ข้าสังหารท่านไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ? เช่นนั้นจะทำให้เรื่องง่ายขึ้นมาก”

คำพูดของซูเฉินดูโน้มน้าวใจสีเลือดได้เล็กน้อย มันทะลุทะลวงเข้าสู่จิตใจของใจสีเลือด

นั่นสิ หากต่อต้านไปแล้วต้องเจ็บปวดรวดร้าวจะยังฝืนทนต่อไปเพื่ออะไร ? ตายไปเสียแล้วให้เรื่องมันจบตรงนี้ไม่ดีกว่าหรือ ?

ใจสีเลือดยกมือขึ้นไปในอากาศแล้วกดลงบนหน้าผากช้า ๆ

ซูเฉินยังคงค่อย ๆ เอ่ยคำ “ใช่แล้ว อย่างนั้นเลย ปล่อยพลังออกจากฝ่ามือแล้วทำให้ความเจ็บปวดนี้จบลงเสีย”

“ทำให้ความเจ็บปวดนี้จบลง……” ใจสีเลือดพึมพำ ในตอนที่กำลังทำตาม สติเสี้ยวหนึ่งกลับดึงความคิดเอาไว้

เขาหยุดมือแล้วจ้องซูเฉินเขม็ง “วิชามายาหรือ ? เจ้ากล้าใช้วิชานี้กับข้าเลยหรือ ?!”

“น่าเสียดาย” ซูเฉินถอนหายใจ

ต้องต่อสู้กับใจสีเลือดที่ทรงพลังเช่นนี้ ซูเฉินจึงยังต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่ามันจะดูง่ายดายแค่ไหนก็ตาม พลังจิตของเขาอาจจะดูกล้าแข็ง แต่น่าเสียดายที่วิชามายายังอ่อนแออยู่บ้าง สุดท้ายก็ลวงใจสีเลือดไม่ได้ ทำได้เพียงให้อีกฝ่ายหวั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะได้สติเท่านั้น

ในเมื่อลงมือครั้งแรกแล้วล้มเหลว ซูเฉินจึงไม่กล้าลองเป็นครั้งที่สอง เขารีบถอยออกมาแล้ววาดมือทันใด “ตาเจ้าแล้ว”

“ทำไมเป็นข้าอีกแล้วล่ะ ?” ตุ๊กตากระดาษขาวร้องเสียงโกรธ

กระนั้นเขาก็เป็นข้ารับใช้ของซูเฉิน มีหน้าที่ต้องคอยปกป้องซูเฉิน

ในเมื่อซูเฉินออกคำสั่งมาเขาก็ต้องทำตาม

พริบตาต่อมาเขาก็เปลี่ยนเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าใส่ใจสีเลือด

“ไสหัวไป !” ใจสีเลือดคำราม เจตจำนงอันแข็งแกร่งราวกับจับต้องได้พุ่งเข้าหา ตุ๊กตากระดาษขาวร่างสั่นเทิ้มราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่ เส้นกระดาษสีขาวที่ปกคลุมร่างกลายเป็นเถ้าถ่านระหว่างที่ถูกมอดไหม้ เผยให้เห็นก้อนควันด้านใน

“ข้ารับมือต่อไปไม่ไหวแล้วนายท่าน !” ตุ๊กตากระดาษขาวร้องบ้าคลั่ง

“เช่นนั้นก็ถอยมา” ซูเฉินเอ่ยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถึงขีดจำกัดแล้วจริง

เขาจ้องใจสีเลือดนิ่ง “โจมตีข้าถึง 2 ครั้งแต่ยังสังหารข้าไม่ได้ แสดงให้เห็นว่ากำลังของท่านไม่เป็นปัญหาต่อข้าอีกต่อไป”

ดาบอัสนีบาต

ปราณดาบลึกล้ำรวมพลังหมุนเวียนอยู่รอบแขน

สีหน้าใจสีเลือดยังดูแปลกไป “วิชาดาบงดงามยิ่ง !”

แล้วก็หัวเราะ

กล่าวว่า “แต่หากคิดจะใช้มันสังหารข้าได้ก็นับว่าอ่อนต่อโลกไป ! ข้าเป็นจักรพรรดิอสูรกาย เป็นผู้ปกครองเหนือใต้หล้า ! แม้จะมีมังกรเกยฝั่ง ทว่ากุ้งตัวจิ๋วเช่นเจ้าก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้ ตายเสียเถอะ !”

เขาส่งเสียงคำรามลั่น แสงจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันรอบร่าง ตอนนั้นเองที่กรีดอายสูงส่งพลุ่งพล่านบ้าคลั่ง พลังในร่างใจสีเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แย่ล่ะ !” ซูเฉินรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี ใจสีเลือดหมายจะสู้สุดใจ ไม่คิดใช้เกราะปกป้องร่างกายตนเองอีกแล้ว

อีกฝ่ายไม่คิดยั้งมือแล้ว !

ซูเฉินรีบใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย

“ไร้ประโยชน์ !” ใจสีเลือดคำรามลั่น

ด้วยความประหลาดใจ ซูเฉินพบว่าเขาไม่สามารถใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายได้อีก

กักการเคลื่อนไหว !

ใจสีเลือดใช้กำลังบีบบังคับการเคลื่อนไหวของสภาพแวดล้อมโดยรอบ !

ไม่ยั้งมือแล้วจริง ๆ

พลังทั่วร่างไหลออกมาไม่หยุด เดือดไหลพล่านปุด ๆ พร้อมกันนั้นร่างกายก็เริ่มสลายกลายเป็นผงแล้วลอยหายไปกับสายลม

พายุรุนแรงกำลังก่อตัว กักเก็บพลังทั้งหมดของใจสีเลือดเอาไว้ เขากำลังปล่อยพลังทั้งหมดภายในร่างออกมาอย่างไม่ยั้งมือและไม่อาจมีอะไรมาควบคุมได้

ดังนั้นซูเฉินจึงเห็นแสงหลากสีปรากฏขึ้นมากมาย ถักทอเข้าด้วยกันกลายเป็นแสงสว่างจ้า แต่เมื่อรวมกันที่สุดท้ายก็กลายเป็นแสงสีขาว

แสงสีขาวนี้คือแสงที่เกิดจากสีทั้งหลายรวมตัวกัน เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ

“ตายเสียเถอะ !” ใจสีเลือดคำรามสนั่น

คลื่นพลังพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน

ทำให้ตอนนี้ซูเฉินไร้กลยุทธ์ใดรับมือ

ได้แต่ต้องฝืนรับมันไว้เท่านั้น

ซูเฉินกัดฟันสู้ รวมพลังทั่วร่าง จากนั้นพุ่งออกไปปะทะการโจมตีของอีกฝ่าย

ตู้ม !

ด้วยเสียงอันแผ่วเบา แท่นบงกชปรากฏขึ้นหัวศีรษะ ส่องแสงสว่างจ้าพร้อมกับมีพลังต้นกำเนิดกระเพื่อมออกมา

แสงสีทองนี้อ่อนแอกว่าคลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกมาโดยใจสีเลือด แต่ก็เป็นเหมือนแสงเทียนที่ถูกลมพัดจนกะพริบไหว ยึดมั่นฝืนทนไม่ยอมดับไปง่าย ๆ

แรงลมพัดอย่างบ้าคลั่ง หมายจะดับแสงเทียนอันริบหรี่ หากแท่นบงกชของเขาถูกทำลาย ชีวิตของเขาก็สิ้นลงเช่นกัน ซูเฉินคงถึงจุดจบ ในขณะเดียวกันร่างกายใจสีเลือดก็สลายไปเรื่อย ๆ

ทั้งสองต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก ใครที่ทนได้นานกว่าเป็นฝ่ายชนะ

ใจสีเลือดสีหน้าบิดเบี้ยว “ข้าขอสาบานในฐานะจักรพรรดิอสูรกาย ผู้ถือครองใต้หล้าแห่งนี้ ว่าอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องถึงจุดจบ !”

คำรามลั่นจบ แรงลมก็ยิ่งพัดรุนแรงมากขึ้น ทำให้แท่นบงกชที่เรืองแสงเริ่มแผ่วลง

ในตอนนั้นเองที่มีลำแสงหนึ่งฉายขึ้นฟ้า ปกป้องร่างซูเฉิน ป้องกันการโจมตีของใจสีเลือดเอาไว้ได้

แสงนี้เรืองออกมาจากอกซูเฉิน !