ลูกพี่สวี๋ฝืนทำต่ออีกหนึ่งเดือน ก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
ขาดทุนตลอด เขาขอขึ้นราคา ลูกค้าก็บ่นแล้วหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง แล้วไปสั่งกระดาษกับบ้านเฉิน
คนงานเห็นไม่มีออเดอร์ ไม่มีงานทำ ก็รุมเขาขอค่าแรง เขาไม่ได้ให้ค่าแรงมาสองเดือนแล้ว
ลูกพี่สวี๋ไม่รู้ว่าจะทำโรงงานนี้ต่อไปดีไหม เขาไม่อยากให้ค่าจ้างคนงาน
เขาไม่จ่าย คนงานก็ไม่มีจิตใจทำงาน มาหาเขาทุกวัน ทำจนเขาไม่กล้าอยู่โรงงานเลย ทุกวันอยู่แต่ในเมือง
เขาอยากจะหาคนมาขัดขาโรงงานบ้านเฉิน
แต่คนที่เขาหามาบอกเขาว่า เขาสามารถลดราคาเพื่อต่อสู้ได้ ถ้าชนะก็เป็นความสามารถของเขา แต่พวกเขาจะไม่ช่วยเขาลอบทำร้ายบ้านเฉิน เพราะไม่ใช่ว่าบ้านเฉินจะไม่มีคนหนุนหลัง ถ้าต่อสู้กับบ้านเฉินอย่างชัดเจน คนที่หนุนหลังบ้านเฉินจะไม่อยู่เฉยแน่
ตอนนั้นซินชานเกิดเรื่องอย่างนั้น เห็นอยู่ว่าชีวิตนี้จบเห่แล้ว แต่เขาไม่เพียงแต่ออกมาจากปลอดภัย ยังได้ขึ้นตำแหน่งอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าบ้านซินรู้จักคนใหญ่คนโต
แล้วบ้านเฉินเป็นญาติกับบ้านซิน ถ้ามีคนจงใจเป็นศัตรูกับบ้านเฉิน บ้านซินต้องไม่รามือแน่
แล้วบ้านเฉินก็ทำธุรกิจอย่างสมเหตุสมผลมาตลอด อีกทั้งคนบ้านเฉินมีเมตตา ชื่อเสียงดีมาก ไม่มีความแค้นกับใคร ใครจะกล้าหาเรื่องบ้านเฉิน?
ลูกพี่สวี๋รู้ว่าไม่มีหวังแล้ว
แต่โรงงานกระดาษนี้ใช้เงินลงทุนไปเยอะมาก จะให้เขาล้มเลิก เขาจะยอมได้ยังไง?
ลูกพี่สวี๋รู้สึกเครียดจนผมหงอกหมดแล้ว
เขาคิดจะลองเสี่ยงดูเพราะเข้าตาจนแล้ว แต่เขามีครอบครัวอยู่ ถ้าพลาดพลั้งไป คนที่บ้านจะทำยังไง?
ลูกพี่สวี๋ลำบากใจมาก
สุดท้ายภรรยาและแม่เขาเห็นเขาถอนหายใจทั้งวันก็ถามว่าเขาเป็นอะไร
เขาเล่าเรื่องให้ที่บ้านฟังอย่างเสียไม่ได้
แม่เขาโกรธจนตบเขาไปทีหนึ่ง บอกว่าเขาลืมคุณสมบัติความประพฤติตัวเป็นคน ว่าเขาแม้แต่คนยังเป็นไม่ได้ จะไปทำธุรกิจให้ดียังไง?
ภรรยาก็ผิดหวังในตัวเขามาก บอกคิดไม่ถึงว่าสามีตัวเองจะเป็นคนแบบนี้ อีกหน่อยถ้าพูดขึ้นมา แล้วลูกจะไปมีชีวิตอยู่ข้างนอกได้ยังไง?
ลูกพี่สวี๋อึ้งไป เดิมทีคิดว่าครอบครัวจะสนับสนุนเขา จะด่าบ้านเฉิน แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่บ้านจะบอกว่าเขาผิด
เขาไม่เข้าใจ กุมศีรษะคิดทั้งคืน
เขาคิดถึงตอนที่เพิ่งทำธุรกิจใหม่ๆ เขาไม่ใช่คนแบบนี้
ตอนนั้นเขาไม่มีเงิน ลำบากมาก แต่กลับบ้านทุกวัน ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ภรรยาเขาคอยเขาเสมอ ปรนนิบัติพัดวีเขาทุกอย่าง
ต่อมาเขาเป็นหุ้นส่วนกับคนทำธุรกิจรถเก่า ตอนที่เริ่มทำก็ดีมาก ต่อมาทั้งสองคนเริ่มมีปัญหากัน ธุรกิจนับวันยิ่งไม่ดี เงินก็ยิ่งได้น้อยลง เขาก็บ่นมากยิ่งขึ้น
ที่จริงแล้วเขามีปัญหากับหุ้นส่วนนั้น ตอนแรกสุดเลย เป็นเพราะเขาโลภ
ตอนแรกแบ่งกำไรกันอย่างเท่าเทียม เขาโลภ เลยคิดหาทางที่เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองมากขึ้น
ไม่มีใครโง่ เวลาผ่านไปนาน หุ้นส่วนเขารู้ตัว เลยไม่พอใจเขา
แต่เขากลับคิดว่ามีเงินแล้วไม่เอาคือคนโง่ คนเราก็ต้องทำเพื่อตัวเอง ไม่มีใครที่รังเกียจเงินมากหรอก
ดังนั้นเขาเลยหาวิธีทำเงินเยอะๆ ใช้สารพัดวิธี นับวันใจเขายิ่งเปลี่ยนไป เขาหลงจมอยู่ในกองเงิน
หุ้นส่วนเขาโกรธมาก ทะเลาะกับเขา แบบนี้ธุรกิจนับวันยิ่งไม่ดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ยิ่งแข็งกร้าว
แต่เขาไม่รู้จักแก้ไข ซ้ำยังคิดว่าหุ้นส่วนเขาใช้ไม่ได้
เขาอยากจะเปิดโรงงานกระดาษ เขาอยากจะได้เงิน นี่ไม่ใช่ปัญหา
ปัญหาคือเขาไม่ได้เดินทางที่ถูกต้อง
เขาคิดจะบีบคนอื่นจนหมดทาง เขาอยากจะหาเงินให้ตัวเองคนเดียว แต่เขาลืมไป คนอื่นไม่ใช่หุ้นส่วนเขา คนอื่นก็ไม่โง่เช่นกัน
แบบนี้พอบ้านเฉินตอบโต้กลับ ไม่เพียงแต่เขาไม่มีวิธี ยังเสียเงินอีกมากมาย แล้วยังไม่มีเหตุผลอีก คนอื่นพูดก็คงพูดได้แค่เขาทำตัวเอง แล้วยังด่าว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ ขาดคุณธรรมด้วย
แม่กับภรรยาด่าเขานั้นไม่ผิดเลย โทษคนอื่นที่เอาใจออกห่างจากเขาไม่ได้ เป็นเขาที่เดินผิดทางเอง
ลูกพี่สวี๋เข้าใจแล้ว เขาวิ่งไปตรงหน้าแม่เขาและภรรยายอมรับผิดแล้ว
เห็นลูกพี่สวี๋ผมเพ้ายุ่งเหยิงกับตาแดงก่ำ แม่เขาตาเปียกชื้นรื้นน้ำตา บอกเขาว่าเป็นคนนั้นต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบ ทำร้ายคนอื่นไม่ได้ คุณธรรมขั้นพื้นฐานของการเป็นคนนั้นขาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีทางยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ
แล้วยังบอกเขาว่า สำนึกผิดได้ตอนไหนนั้นก็ยังไม่สายเกินไป ขอแค่เขารู้ว่าทำผิดตรงไหน ขอแค่ปรับปรุงตัวได้ก็พอแล้ว
ถึงแม้ว่าจะขาดทุนจนหมด ไม่มีเงินแล้ว เขากลับบ้านมา ก็ยังมีคนคอยสนับสนุนเขาอยู่ ขอแค่ครอบครัวพวกเขาประสานใจกัน ไม่มีทางอดตาย
ลูกพี่สวี๋ร้องไห้ จากนั้นเขาออกจากบ้านไป ไปหาหุ้นส่วนของเขา เขายอมรับผิดแล้ว เล่าเรื่องทั้งหมดที่เขาทำหลายปีที่ผ่านมาให้ฟัง บอกไม่ว่าหุ้นส่วนเขาจะให้อภัยหรือไม่ เขาจะคืนเงินที่เอาไปหลายปีนี้กลับมาชดใช้ให้หุ้นส่วน
หุ้นส่วนเห็นว่าลูกพี่สวี๋นั้นจริงใจ ยอมรับผิดแล้วจริงๆ ก็ตบบ่าเขา ให้อภัยเขา
แล้วยังบอกว่าธุรกิจรถเก่าพวกเขายังคงทำต่อไป เขาเชื่อว่าลูกพี่สวี๋จะไม่ทำร้ายเขาอีก
วินาทีนั้นในใจของลูกพี่สวี๋รู้สึกเจ็บปวดมาก ที่แท้เขาต้อยต่ำจริงๆ
ออกมาจากบ้านหุ้นส่วน เขาไปที่โรงงานอีกครั้ง
พอคนงานพวกนั้นเห็นเขา ก็ห้อมล้อมรุมเขาถามเรื่องค่าจ้าง แล้วยังบอกว่าถ้าไม่ให้ค่าจ้าง ก็จะไม่ให้ลูกพี่สวี๋ไป ถ้าไม่ยอมอีก ก็จะเอาเครื่องจักรในโรงงานไปขาย
ลูกพี่สวี๋รู้สึกสะเทือนใจมาก ตอนนั้นเขาได้ยินมาว่าคนงานบ้านเฉินถึงแม้จะไม่ได้เงินก็ยังจะทำงานให้บ้านเฉิน แล้วยังพูดก่อนอีกว่า ถ้าคับขัน ไม่ต้องจ่ายค่าแรงก็ได้
แล้วมาดูฝั่งตัวเอง ความแตกต่างของคนทำไมถึงได้มากขนาดนี้นะ!
เขายอมรับว่าเขาแพ้แล้ว ธุรกิจล้มเหลว ประพฤติตนก็ยิ่งล้มเหลว
คนงานได้รับคำสัญญาก็กระจายตัวออกไป ส่วนลูกพี่สวี๋ไปหาเฉินจง
เขาบอกว่าเขาไม่ควรใช้วิธีต่ำช้ามาแย่งธุรกิจ ทำร้ายจนสุดท้ายมาโดนที่ตัวเอง ที่เป็นอย่างวันนี้ก็สมน้ำหน้าเขาแล้ว
เขาบอกว่าต่อจากนี้จะไม่แย่งลูกค้าบ้านเฉินแล้ว เขาจะทำอย่างถูกต้อง ถึงแม้จะไม่มีลูกค้า สุดท้ายต้องขายโรงงาน เขาก็จะไม่ทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมแบบนั้นอีกแล้ว
เฉินจงพิจารณาลูกพี่สวี๋อย่างละเอียดอยู่นาน สุดท้ายคิดว่าที่ลูกพี่สวี๋นั้นพูดจากใจจริง เขาบอกว่าขอแค่ลูกพี่สวี๋ไม่กดราคาต่ำจนน่าเกลียด แบบนั้นก็ต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเองทำธุรกิจไป เขาก็จะไม่ทำอะไรลูกพี่สวี๋อีก
จากนั้นลูกพี่สวี๋ยังไปหาลูกค้าหลายรายที่เค้าแย่งมาจากบ้านเฉินด้วยตัวเองไปเล่าเรื่องให้ฟัง บอกว่าราคาของเขาแท้จริงแล้วนั้นขาดทุน เพราะตั้งใจจะแย่งลูกค้ามาจากบ้านเฉิน บอกว่าต่อจากนี้จะไม่ให้กระดาษราคาถูกอีกแล้ว ให้พวกเขาทำธุรกิจกับบ้านเฉินต่อ
ส่วนตัวเขาก็จะเริ่มเปิดตลาดขายกระดาษเขาอย่างช้าๆ
คุณภาพกระดาษเขาสู้บ้านเฉินไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยกำหนดราคาที่ต่ำกว่าบ้านเฉินเล็กน้อย ถ้าลูกค้าไม่ต้องการ เขาก็ไม่ท้อถอย ไปหาลูกค้าแต่ละเจ้า เขารู้ว่าเขาได้กลับไปเหมือนตอนแรกที่เขาทำธุรกิจ ลำบากแต่มั่นคง
จนสุดท้ายเฉินจงเห็นว่าลูกพี่สวี๋นั้นเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เลยแนะนำลูกค้าให้ลูกพี่สวี๋อีกด้วย
ลูกพี่สวี๋คิดไม่ถึงว่าบ้านเฉินไม่เพียงแต่ให้อภัยเขา ยังใจกว้างช่วยเหลือเขาด้วย ในใจเขารู้สึกหลายอย่าง รู้ว่าแม่เขาพูดไม่ผิด คนเราไม่สามารถขาดความชอบธรรมได้ ไม่สามารถทำเรื่องไร้คุณธรรมได้ ไม่อย่างนั้นคนที่ลำบากก็คือตัวเองนั่นแหละ ตั้งแต่นี้ต่อไปลูกพี่สวี๋และบ้านเฉินต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ธุรกิจโรงงานกระดาษก็ค่อยๆ ดีขึ้น เริ่มได้กำไรแล้ว