เฉินเยี่ยนฟังเฉินจงและเฉินกุ้ยเล่าเรื่องลูกพี่สวี๋ให้ฟัง เธอไม่คัดค้านกับการกระทำของเฉินจง
ทั้งสองฝ่ายควรกำจัดความเกลียดชังออกไป อย่าไปยึดถือ ถ้าฝ่ายตรงข้ามปรับปรุงตัวแล้วจริงๆ ก็ให้โอกาสเขาได้
เฉินเยี่ยนรู้อยู่ลึกๆ ไม่ใช่ว่าบางคนทำเรื่องผิด เขาจะเป็นคนเลว บางคนทำเรื่องดี แล้วเขาจะเป็นคนดี
คนเลว ขอแค่เขาไม่ได้ทำเรื่องฆ่าคน วางเพลิง ถึงแก่ชีวิต เขาปรับปรุงตัวได้ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นคนดีได้
ไม่ใช่ว่าเฉินเยี่ยนเป็นแม่พระ แต่คนเราเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
ส่วนที่เฉินจงยอมช่วยลูกพี่สวี๋นั้น หนึ่งเพราะเห็นลูกพี่สวี๋ปรับปรุงตัวแล้วจริงๆ
สองเพราะเฉินเยี่ยนบอกเขา อีกหน่อยโรงงานกระดาษจะมีมากขึ้น คนที่ทำตามกระแสก็จะมากขึ้น ไม่สามารถอยู่เจ้าเดียวได้
ถ้าลูกพี่สวี๋เปลี่ยนเป็นคนดีแล้วจริง พวกเขาร่วมมือกับลูกพี่สวี๋ แบบนั้นไม่ว่าในอนาคตโรงงานกระดาษจะมีมากเท่าไร พวกเขาก็จะเป็นเจ้าที่ใหญ่สุด ไม่มีใครเอาชนะพวกเขาได้
ต่างดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันไปแบบนี้
คำพูดของเฉินเยี่ยนมีเหตุผล และผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ต่อมาโรงงานกระดาษจะมากขึ้น บางเจ้าก็ทำต่อไม่ไหว ส่วนโรงงานกระดาษของบ้านเฉินและลูกพี่สวี๋ยังอยู่ได้ และมีลูกค้า ได้กำไรกันหมด
แน่นอน ตอนนี้เฉินจงยังไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ เขารู้เพียงแต่ว่า เป็นคนควรมีน้ำใจ ไม่ใช่แล้งน้ำใจไปหมด คุณช่วยเหลือคนอื่น ยังไงก็ดีว่าโกรธแค้นกันอยู่แล้ว
จนสะสางเรื่องของลูกพี่สวี๋ได้ เด็กสองคนก็อายุสิบเอ็ดเดือนแล้ว
เยว่เยว่เดินได้แล้ว
เยว่เยว่ผอมกว่าเช่อเช่อหน่อยหนึ่ง ลงมาคลานก็เร็วกว่าหน่อย ตอนสิบเดือนก็จะเดินแล้ว เฉินเยี่ยนกลัวว่ากระดูกเธอยังโตไม่เต็มที่ ไม่กล้าให้เธอเดิน
ตอนอายุได้สิบเอ็ดเดือน อุ้มเยว่เยว่ไม่ไหวแล้ว ทุกวันจะบิดขยับตัว ต้องลงไปที่พื้นให้ได้
เฉินเยี่ยนทำอะไรไม่ได้ จึงให้เธอหัดเดิน
ตอนแรกกลัวว่าเธอจะล้ม ไม่เพียงแต่เฉินเยี่ยน ยังมีซินห้าว ไป๋ซิ่วเหมย ลุงซินต่างใช้มือประคองเธอ
แต่ไม่ทันสองวัน เธอก็เดินได้แล้ว อีกทั้งยังเดินอย่างมั่นคงด้วย
พอเดินได้ เยว่เยว่ก็ไม่หยุดเลย เดินไปโน่นมานี่ทุกวัน กลัวว่าเธอจะล้มจะชนอะไร ข้างหลังต้องมีผู้ใหญ่คอยตามเธอตลอด พอหมดวัน คนที่ตามเธอก็เหนื่อยเอวเคล็ดปวดหลังไปหมด
พอเช่อเช่อเห็นพี่สาวเดินได้แล้ว เขาก็ขัดขืนไม่ยอมให้อุ้ม จะเดินให้ได้
แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินไม่ได้ พอเดินก็ล้ม หนึ่งอาทิตย์ ไม่รู้ว่าล้มไปกี่ครั้ง หน้ากระแทกจนมีรอยช้ำเขียว ก็ยังเดินไม่ได้
แบบนี้ ทุกวันเยว่เยว่เดินไป เล่นไปไม่หยุด ส่วนซินเช่อกลับต้องให้ผู้ใหญ่ประคองพาเดินตามเยว่เยว่ไป
เด็กสองคน ต้องให้ผู้ใหญ่สองคนเฝ้าดูทุกวัน คนเดียวดูไม่ไหว
แน่นอน เหมือนครอบครัวอื่น ผู้ใหญ่ต่างยุ่งกันจนเท้าไม่ติดพื้น ไม่มีคนดู เด็กก็เอาไปปล่อยไว้ที่บ่อปุ๋ย ปล่อยให้เขาจะปีนจะเล่นยังไงก็ได้ แค่ป้อนอาหารให้ ถึงแม้จะปัสสาวะแล้ว จะหยิบอุจจาระไปกินก็ไม่สนใจ
พอทำงานเสร็จ ค่อยไปรับเด็กที่สภาพเหมือนลิงเปื้อนโคลนพาไปนอน นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ยังไงบ้านซินก็มีคนว่างงาน มีฐานะอยู่ เลี้ยงดีหน่อยก็ไม่แปลก
แต่ถึงแม้เยว่เยว่จะหัดเดินได้เร็ว แต่เธอกลับพูดได้ช้า
ตอนหนึ่งขวบ ซินเช่อเรียกพ่อ แม่ ยาย ได้ชัดแล้ว แต่เยว่เยว่เพิ่งออกเสียงพ่อได้ ส่วนคำว่าแม่สอนยังไงก็ยังเรียกไม่ได้
เฉินเยี่ยนทอดถอนใจ เด็กสองคนจากท้องเดียวกันยังแตกต่างกันเลย
แต่เฉินเยี่ยนไม่รีบร้อน เด็กทั้งสองคนต่างปกติ และแข็งแรงมาก แค่นี้ก็พอแล้ว
ตอนเยว่เย่และซินเช่อเลยวันเกิดหนึ่งขวบมาซินเหลยก็กลับมาแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ซินเหลยเห็นเด็กสองคน ตั้งแต่เขาไป นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมา ไม่พูดไม่ได้ว่านานมากจริงๆ ซุนหม่านเซียงบ่นครั้งแล้วครั้งเล่า
ซินเหลยกลับบ้านในเมืองก่อน ที่บ้านไม่มีใคร พอถามซินชาน ก็รู้ว่าซุนหม่านเซียงกลับมาที่หมู่บ้านเกษตรกร เขาก็ให้คนไปส่งเขากลับหมู่บ้าน
พอเห็นซินเหลย ซุนหม่านเซียงร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ ไม่เพียงแต่ร้อง ยังตีไหล่ซินเหลยด้วย ปากก็ว่าซินเหลย บอกว่าเขาใจร้าย ไปตั้งปีกว่าค่อยกลับมาหาเธอ
ซินเหลยรู้สึกเสียใจ เวลาปกติยุ่งมาก เขามีเวลาคิดถึงบ้านแค่ตอนดึกที่เงียบงัน แต่ตอนนี้ได้เห็นแม่ เห็นญาติ จิตใจเขาหวั่นไหว เขาทั้งเสียใจ และก็ตื้นตัน
จนร้องไห้เสร็จ ซุนหม่านเซียงค่อยสงบลง ทุกคนต่างนั่งลง
สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซินเหลยกลับมาได้ ต่างดีใจกันหมด
เฉินเยี่ยนพิจารณาดูซินเหลย ซินเหลยเปลี่ยนไปมาก ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าที่เขาใส่นั้นดูล้ำสมัย สีหน้าท่าทางและบุคลิกก็ดูเปลี่ยนไปด้วย
เมื่อก่อนซินเหลยหล่อ แต่หล่อแบบไม่มีอะไร เหมือนกับดอกไม้ที่ปักอยู่บนหมอน สวยแต่ใช้งานไม่ได้
แต่ตอนนี้ทั้งตัวซินเหลยเต็มไปด้วยราศี มีความมั่นใจเหมือนคนที่ผ่านโลกมามากขึ้น
ดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูแล้วไม่ตื้นเขินเหมือนแต่ก่อน
ดูเหมือนคนที่ไปเห็นโลกภายนอกมา สายตาที่มองโลกก็ไม่เหมือนเดิม บางทีที่ซินเหลยเลือกทางเดินนี้แต่แรกเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เฉินเยี่ยนพยักหน้าอย่างปลื้มใจ
“แม่ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ผมก็อยู่ดีอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ?”
ซินเหลยปลอบซุนหมานเซียง ซุนหม่านเซียงดึงมือเขาไปไม่ปล่อย เขาก็จับมือซุนหม่านเซียงกลับ
“แม่ ผมมีข่าวดีจะบอก ครั้งที่แล้วตอนผมถ่ายปกนิตยสาร มีคนชอบผม เรียกให้ผมไปถ่ายละครด้วยนะ ถึงแม้จะไม่ใช่พระเอก แต่ก็ไม่ใช่ตัวประกอบ มีบทเยอะอยู่ นี่เป็นโอกาส ไม่แน่ลูกชายแม่อีกหน่อยจะดังแล้ว แม่เห็นผมได้ในทีวีด้วยนะ”
ซินเหลยกลัวซุนหม่านเซียงจะเสียใจ เลยบอกข่าวดีกับเธอ
“จริงหรือ? ลูกจะได้เล่นละคร ได้อยู่ในทีวี?”
ซุนหม่านเซียงตกใจ ที่บ้านในเมืองมีทีวี ตอนเธอไม่มีอะไรทำก็จะดูละคร เธอคิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ลูกชายเธอจะได้เล่นละคร
“แล้วปู่ล่ะ? ปู่จะได้เห็นไหม?”
ซินต้าฉุยก็รีบถาม หลานโด่งดัง เขาก็ดีใจ ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นทีวีมาก่อน แต่เขาเคยได้ยิน
“ได้ค่ะ คุณปู่วางใจได้ ปีนี้พวกเราที่นี่จะมีไฟใช้แล้ว มีหลอดไฟ ทีวี โทรศัพท์ ติดหมด ถึงตอนนั้นปู่ก็ได้เห็นแล้วค่ะ”
เฉินเยี่ยนพยักหน้า ที่นี่กำลังต่อไฟฟ้าแล้ว เธอไปถามมา อีกไม่กี่สิบวันไฟฟ้าก็จะมาถึงแล้ว สามเดือนหลังจากนี้ ที่หมู่บ้านแม่เธอฝั่งนั้นก็มีไฟฟ้าเหมือนกัน ถึงตอนนั้นแล้วจะสะดวกมากขึ้น
“ได้ ได้ ได้ ปู่ก็จะสามารถเห็นหลานปู่ในทีวีแล้ว งั้นปู่จะรอดู”
ซินต้าฉุยพูดได้ติดกันสามครั้ง ดูท่าทางแล้วเขาดีใจมาก
คุณย่าก็ยิ้มตามไปด้วย เธอชอบบรรยากาศที่บ้านแบบนี้
ซินฉุ่ยและไป๋ซิ่วเหมยก็ดีใจกับพี่สะใภ้ด้วย ถึงแม้บางครั้งพี่สะใภ้จะพูดจาน่ารังเกียจ แต่พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นจึงคาดหวังจะเห็นทั้งซินห้าวและซินเหลยต่างมีอนาคตที่ดี
ไป๋ซิ่วเหมยคิดถึงลูกชาย ลูกชายบอกว่าเขากับเฉินหู่จะออกจากบ้านไปทำมาหากิน จะต้องมีชื่อเสียงกลับมา ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?
“ละครที่เธอจะเล่นชื่ออะไร? ถ่ายทำที่ไหน? เซ็นสัญญาไปหรือยัง?”
เฉินเยี่ยนถาม