GGS:บทที่ 816 บังเอิญพบปะกัน

 

ไม่กี่วันต่อมาก็วันเกิดของผู้ว่าการจังหวัดก็มาถึง

เย็นวันนั้น ซูจิ้ง เตียนจงยี่ หวังซือหยา และเฉิงหนาน ทั้งหมดได้ขับรถตรงไปยังโรงแรมที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของผู้ว่าการจังหวัด

ซูจิ้งได้บอกซือหยาเรื่องที่เขาได้ตกลงร่วมมือกับเตียนจงยี่เรียบร้อยแล้ว

หวังซือหยาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยและยอมมาด้วยแต่โดยดีโดยไม่พูดอะไรเลยซักคำ

เฉิงหนานเองก็ตามมาด้วยเพราะอยากมาสร้างสายสัมพันธุ์กับพวกชนชั้นสูง

ในฐานะที่เป็นผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศแล้วก็ถือได้ว่าการสร้างเส้นสายเหล่านี้ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องทำ

 

เมื่อพวกเขาไปถึง พวกเขาได้เห็นรถหรูจอดอยู่เต็มลานจอดรถ แน่นอนว่าแขกที่มาล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ซูจิ้งถูกพาไปยังชั้นสองอย่างง่ายดาย เหตุผลหนึ่งมาจากการที่หวังซือหยามาด้วย

ต่อให้แขกในงานมีความพิเศษมาจากไหนแต่ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงหวังซือหยาได้เลย

และรองลงมาก็คือซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขานั้นพึ่งจะเป็นหัวข้อพูดคุยกันของประชาชนในประเทศเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่าใครๆก็จำได้ใครๆต่างก็สนใจเขาอย่างแน่นอน

 

“คุณหวังมาที่นี่ด้วยหรอ เธอช่างดูสวยสง่าจริงๆ”

“ซูจิ้งที่เป็นผู้นำนิกายปีศาจวัวเองก็อยู่ที่นี่ด้วยแหะ เขามาทำอะไรที่นี่กัน”

“นั่นไม่ใช่เตียนจงยี่หรอนั่น เขามากับหวังซือหยาและซูจิ้งได้ยังไงกัน”

ตอนนี้เหล่าผู้คนในงานต่างก็พูดคุยกันเกี่ยวเรื่องนี้ และแขกที่มาร่วมงานหลายๆคนเองก็ค่อนข้างที่จะเริ่มให้ความสนใจกับเตียนจงยี่ที่คอยยืนอยู่ข้างๆซูจิ้งและหวังซือหยาชนิดที่ว่าตามติดทุกฝีก้าว

คนส่วนใหญ่ในที่นี้เมินเขาที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง และและอีกส่วนหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะให้การช่วยเหลือและร่วมงานเพราะเข้าข้างซุนหยูเฮง

แต่ตอนนี้คนพวกนี้ก็ยิ้มให้เขาประหนึ่งดังเขานั้นเป็นเจ้าของงานไปเลยก็ว่าได้

ไม่กี่วันก่อนเตียนจงยี่ได้เริ่มทดลองปลูกผลไม้ทั้งสามชนิดไปแล้ว แน่นอนว่าซูจิ้งทำตามคำพูดที่เขาเคยให้ไว้ทุกประการ พืชทั้งสามนี้เปรียบได้กับแหล่งปั๊มเงินของพวกเขาในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เขาได้รู้ว่าหวังซือหยาเองก็ให้การสนับสนุนเขาด้วยเหมือนกัน

ทำให้เขานั้นรู้สึกเหมือนตายแล้วเกินใหม่ภายใต้พระผู้ช่วยอย่างซูจิ้งและหวังซือหยา

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามั่นใจในทันทีว่าเขานั้นตัดสินใจไม่ผิดแม้แต่น้อย ผิดพลาดยังไงก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

 

“อาจิ้ง ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้” เสียงที่คุ้นหูได้ดังมายังซูจิ้ง คนที่พูดออกมานั่นก็คือถังฮ่าว(ถังเฮา) นั่นเอง

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับคุณซู” ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างถังฮ่าว นั่นก็คือผู้เฒ่าหวู่คนประเมินเพชรขั้นเทพของถังฮ่าวนั่นเอง ซูจิ้งเองก็เคยได้คุยเรื่องการขายอัญมณีให้กับพวกเขาก่อนที่จะมีโรงประมูลเป็นของตัวเอง

 

“คุณถัง คุณหวู่ ไม่ได้พบกันนานเลยจริงๆ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณซู คราวนี้คุณนำของขวัญอะไรติดไม้ติดมือมาล่ะครับเนี่ย” บอสหวู่ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมทั้งดวงตาที่เป็นประกายจนแทบจะฉายแสงได้

เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับฉายามาว่าเจ้าแห่งการเก็บสะสม ย่อมต้องเห็นซูจิ้งเป็นสุดยอดหีบสมบัติไปโดยปริยาย

ตั้งแต่ตอนที่เขาได้คุยกับซูจิ้งเรื่องอัญมณีครั้งสุดท้ายนั้น ทำให้เขามีโอกาสได้เห็นสมบัติมากมายของซูจิ้ง

การที่เขาใส่ใจซูจิ้งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

นอกจากนี้เขาเองก็ยังหาโอกาสแวะเวียนไปยังโรงประมูลห้วงเวลาฯของซูจิ้งอยู่บ่อยครั้ง

แต่ก็อีกนั่นแหละสมบัติของซูจิ้งแต่ละชิ้นล้วนเป็นที่หมายปางของผู้คน

และส่วนใหญ่นั้นมีเงินมากมายยากหยั่งถึง ต่อให้เขารวยยังไงก็สามารถครอบครองได้เพียงชิ้นสองชิ้นเท่านั้นเอง นั่นเป็นเรื่องยากที่เขาจะยอมรับได้จริงๆ

 

“อาจิ้งเป็นเจ้าแห่งการให้ของขวัญ ของขวัญทุกชิ้นล้วนมหัศจรรย์พันลึก

แต่ยังไงซะต่อให้ของขวัญเลิศเลอแค่ไหนพวกเราก็ทำได้แค่ดูด้วยความอิจฉาล่ะนะ”

ถังฮ่าวเองก็ไม่มีตัวเลือกมากนัก เขาก็ทำได้เพียงแค่บ่นความในใจออกมา

เอาจริงๆเขาก็ชอบนะเวลาที่ได้เห็นของขวัญของซูจิ้ง แต่ทุกครั้งที่เห็นสมบัติเหล่านั้นไปอยู่กับคนอื่นเขาเองก็รู้สึกปวดใจซะทุกครั้ง

 

ผู้เฒ่าหวู่เองก็ยิ้มให้กับเจ้านายของตนแต่ใจของเขารู้ดีว่ามันก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว

ตั้งแต่เขารู้จักซูจิ้งมา ซูจิ้งชอบมากของเขาให้คนอื่นบ่อยๆเพราะว่าของขวัญพวกนั้นล้วนล้ำค่า และนั่นเองก็ทำให้ผู้คนยากจะปฏิเสธของขวัญของเขาได้

เมื่อใดก็ตามเมื่อคุณสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งได้จนดีพอ

เขาจะส่งของขวัญให้คุณภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน

หากเกินไปแล้วยังไม่ได้รับอะไรซักอย่างล่ะก็

นอกจากว่าบริษัทขนส่งจะหุบของเอาไว้เอง นั่นก็หมายความว่าคนๆนั้นได้ทำอะไรผิดพลาดบางอย่างต่อซูจิ้งไป

 

ยิ่งเวลาผ่านไปแขกของผู้ว่าการฯก็ยิ่งทยอยเข้ามามากขึ้น ซึ่งในตอนนี้ทั้งสี่ตระกูลหลักของจังหวัดนี้ได้มาครบทุกตระกูลแล้ว

ตระกูลเกาที่ใหญ่สุดได้ส่งเกาจุนเต็งที่เป็นลูกชายคนโตมา เขาได้มาพร้อมกับลู่ยี่หมิงแห่งตระกูลลู่ ทันทีที่เขาเห็นซูจิ้งเขาก็ได้ทำการโค้งคำนับจากที่ไกลๆด้วยความสุภาพออกจะดูเกร็งๆไปซักหน่อยด้วยซ้ำ

 

ตระกูลเฉิงได้ส่งน้องชายของเฉิงหนานที่ชื่อเฉิงเสี่ยวหยุน พี่ชาย และพ่อของเธอ ถ้าบอกว่ามาเกือบทั้งกิ่งตระกูลเลยก็ว่าได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงครั้งนี้อย่างมาก

ตอนที่เฉิงเสี่ยวหยุนเห็นเฉิงหนานนั้นเขาแทบจะวิ่งเข้ามาหาในทันที แต่พ่อของเขาดึงคอเสื้อรั้งเอาไว้

 

เฉิงหนานเองก็ไม่ได้จะเดินเข้าไปทักทายแต่อย่างใดเธอเพียงยืนสังเกตุการณ์อยู่ด้านข้างของงานเท่านั้น ถึงจะดูประหม่าไปบ้างก็ตาม

ตั้งแต่เฉิงหนานตัดขาดและออกมาจากตระกูลมาเธอไม่เคยหวนกลับไปเลยซักครั้งเดียว

หวู่ฉิงติงและหวู่หลิวหยิงเองก็มาในนามตระกูลหวู่ หวู่ฉิงติงในตอนนี้กำลังโอบกอดผู้หญิงคนนึงอยู่

เมื่อเขาได้เห็นเฉิงหนานเขาก็ทำการโอบกอดผู้หญิงคนนั้นกระชับมากกว่าเดิม ประหนึ่งดังจะโออวดว่ามีคนใหม่เรียบร้อยแล้ว เฉิงหนานเองก็ทำเพียงแค่ยิ้มแหยๆอยู่ไม่ห่างมากนัก

 

งานเลี้ยงในวันนี้น่าจะบอกได้ว่าเต็มไปด้วยชนชั้นสูงและบุคคลสำคัญที่เป็นที่รู้จักภายในจังหวัดนี้เป็นอย่างดี

ในฐานะหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุนนี้ ถังฮ่าวจากตระกูลถังถือได้ว่าไม่ได้มีค่าอันใด

เอาจริงถ้าเขาไม่ได้ติดว่ามีความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างกับผู้ว่าการจังหวัดล่ะก็เขาจะไม่มีทางมาเหยียบที่นี่อย่างแน่นอน

 

“ซือหยา เธอก็มาด้วยหรอ” ซุนหยูเฮงได้เดินเข้ามาพร้อมแก้วไวน์แดง

“ใช่แล้วล่ะ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ” หวังซือหยาพยักหน้าให้เล็กน้อย

“ถ้าฉันรู้ว่าเธอมาล่ะก็ ฉันก็คงจะขับรถไปรับเธอแล้วล่ะ” ซุนหยูเฮงพูดด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้เขาได้สังเกตเห็นเตียนจงยี่ที่ยืนอยู่ข้างซูจิ้งแล้ว เขาเองในตอนนี้ได้แต่ยืนอึ้งในทันทีที่เห็น

เขายิ้มแบบแข็งๆออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะถามออกมาว่า

“ซือหยา คุณซู ทั้งสองคน…เอ่อ…รู้จักคุณเตียนด้วยหรอ”

“ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ ก็เราเป็นหุ้นส่วนกันนี่นา” หวังซือหยาพยักหน้าออกมา

“ซือหยา เธอล้อกันเล่นรึเปล่า ไม่ใช่ว่าเราคุยกันไว้ว่าจะลงทุนร่วมกันไม่ใช่หรอ แล้ว….ในเมื่อเราเป็นหุ้นส่วนกันแล้วทำไม…ทำไมเรายังต้องการคุณเตียนอีกล่ะ”

 

ซุนหยูเฮงเริ่มแสดงท่าทีวิตกกังวลออกมา ความจริงแล้วด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เขาเองต้องการใช้ประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนนี้ เพื่อหาทางได้เข้าใกล้หวังซือหยามากขึ้น

แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสได้เข้าใกล้เธอแบบนี้แน่นอน และที่สำคัญเตียนจงยี่คนนี้ก็เป็นศัตรูของเขาด้วยเหมือนกัน

 

“ก็เห็นนายดูยึกๆยักๆวางท่าจนน่ารำคาญ ฉันก็เลยมองหาคนอื่นแทนไปแล้วน่ะ”

“ฉันไม่ได้ยึกยักวางท่าอะไรซักหน่อย แต่มันเป็นการลงทุนที่ใหญ่มากเลยนี่นา ของอย่างนี้มันก็ต้องคุยกันดีๆ และดูกันนานๆต่างหาก” ซุนหยูเฮงทำการแก้ตัวในทันที

 

“เฮ้ออออ ฉัน อาจิ้ง และคุณเตียน พวกเราได้ตัดสินใจเรื่องนี้กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเราเองก็ไม่ต้องการจะรบกวนนายอีกต่อไป” หวังซือหยาพูดพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตออกมา

ซุนหยูเฮงที่อยากจะอธิบายต่อแต่เมื่อเห็นดังนั้นเขาต้องทำได้เพียงเงียบปากลงเท่านั้น

 

หน้าของเขาในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาได้หันไปมองซูจิ้งพร้อมกับสายตาอาฆาต

เขารู้สึกได้ในทันทีว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีซูจิ้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ตอนนั้นเขาโทรหาซูจิ้งเพื่อให้ช่วยเขาเข้าหาซือหยา

ซูจิ้งไม่ได้พูดอะไรออกมาแค่วางสายไปเฉยๆตอนนั้นเขาเองก็น่าจะไม่พอใจอย่างมาก

 

เขาเองก็คิดว่าซูจิ้งกลัวจนต้องยอมเขาในทุกเรื่อง ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาแทนแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้

ซุนหยูเฮงในตอนนี้ทำได้เพียงแค่สบถออกมาอยู่ในใจเท่านั้นว่า “ไอ้บ้าเตียนนี่โดนฉันบังคับนิดหน่อยก็ต้องหนีหางจุกตูดขนาดนั้น สำหรับฉันมันก็แค่หมาขี้แพ้ตัวหนึ่ง

 

ตอนนี้ฉันได้ก้าวเท้าเข้ามายังจังหวัดนี้แล้ว ฉันวางรากฐานไว้อย่างดีพร้อมทั้งสร้างเส้นสายไว้ไม่น้อย

แก ซูจิ้ง อยากร่วมงานกับหมาขี้แพ้เทนฉันอย่างนั้นหรอ แกจะสู้กับฉันใช่ไหม”

 

“ซือหยา ในเมื่อเธอตัดสินใจไปแล้ว ฉันก็คงจะไม่ถามอะไรมากความแล้วล่ะ แต่การทำแบบนี้เท่ากับเราเองก็จะกลายเป็นศัตรูต่อกัน

ฉันกลัวว่าในอนาคตพวกเราอาจจะต้องมีความขัดแย้งทางธุรกิจอยู่บ้าง

ก็หวังว่าเธออย่าโกรธฉันก็พอ หากเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่สามารถบอกฉันได้ทุกเมื่อนะ” ซุนหยูเฮงพูดออกมา

 

“โอ้อออออ พวกเราต้องมีความขัดแย้งทางธุรกิจกันอยู่แล้วหล่ะในอนาคตอันใกล้นี้ อย่ามาโกรธฉันก็พอแล้ว” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย

ถึงแม้จะฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ตอนนี้ปักธงไว้แล้วหมอนี่คือศัตรูของตระกูล

นั่นก็เพราะไอ้บ้าซุนคนนี้ กล้าที่จะจ้องมองซูจิ้งด้วยความอาฆาต ปล่อยไว้ก็ถือว่าเสียชื่อตระกูลหวังแล้ว