GGS:บทที่ 817 อำนาจของเจ้าแห่งของขวัญ
หลังจากที่คุยกันได้ไม่กี่คำ
หวังซือหยาก็ไม่อยากจะสนใจซุนหยูเฮงอีกต่อไป เธอได้จงใจกอดไปยังแขนของซูจิ้งก่อนหันไปสนใจคุยกับซูจิ้งแทน
ซุนหยูเฮงที่เห็นดังนั้นเขาก็รู้สึกเซ็งจนออกนอกหน้า เขาจ้องไปยังซูจิ้งอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
“อาจิ้ง ตอนที่นายจะโทรมาหาฉันว่าไม่อยากจะร่วมงานกับซุนหยูเฮงแล้ว
หมอนั่นได้โทรมาหานายให้ช่วยเขาเข้าหาฉันก่อนถึงจะยอมร่วมมือใช่รึเปล่า” หลังจากที่เห็นซุนหยูเฮงเดินจากไป หวังซือหยาก็ได้ถามในทันที
“ห้ะ พี่รู้ได้ไงเนี่ย” ซูจิ้งอึ้งในทันที
“โอ้… ก็แค่เดาน่ะ” หวังซือหยาตอบพร้อมหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ซูจิ้งเองก็ทำได้แต่ยอมแพ้อย่างเดียวเท่านั้น เขานั้นยอมแพ้ต่อพลังอำนาจซูเปอร์เซ้นส์อันสุดแสนจะลึกลับของผู้หญิงอย่างหมดรูปแบบไม่กล้าแข่งด้วยอย่างแน่นอน
ก็อาจจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นการรู้จักซุนหยูเฮงมานานจึงรู้ว่านิสัยเนื้อแท้ของหมอนั่นเป็นยังไง รวมกับท่าทางของเขาที่แสดงต่อไอ้บ้าซุนนั่น แต่ยังไงซะเซ้นส์ส่วนนี้แม้แต่เขาเองก็สู้ไม่ได้จริงๆ
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน เตียนจงยี่เองก็ได้ถูกชายวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยคนหนึ่งดึงออกไป เขานั้นพยายามกระซิบถามไปที่ข้างหูของเตียนจงยี่ด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนักว่า “ผู้อาวุโสเตียน ผู้อาวุโสมากับคุณหวังและคุณซูได้ยังไงน่ะ”
“ตอนนี้ฉันทำงานให้พวกเขาน่ะ” เตียนจงยี่พูดออกมา
“ตระกูลซุนในตอนนี้ได้สร้างฐานอำนาจในวงการธุรกิจเกษตรเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาเองก็มีสายสัมพันธ์อันดีแทบจะทุกหน่วยงานในจังหวัด
ต่อให้คุณหวังจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน แต่ตระกูลหวังก็ไม่เคยเข้ามาทำธุรกิจด้านการเกษตรมาก่อน
การที่เธอเพิ่งจะมาเริ่มธุรกิจสายนี้จะสู้ซุนหยูเฮงได้งั้นหรอ” ชายเตี้ยคนนั้นถามต่อ
“เอาจริงๆหลังจากเห็นท่าทีของพวกเขาที่มีต่อซุนหยูเฮงแล้วฉันก็มั่นใจในทันทีว่าฉันเชื่อพวกเขาได้” เตียนจงยี่พูดออกมา
“งั้นผมก็หวังให้คุณหวังและคุณซูยอดเยี่ยมจริงๆอย่างที่คุณคิดไว้และนำพอคุณให้กลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้งก็แล้วกันนะ”
ชายเตี้ยคนนั้นกล่าวอวยพร หากฟังจากบทสนทนาดูแล้วก็บอกได้เลยว่าทั้งคู่น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“เพื่อ ผมจะไปหาพี่ไม่ได้จริงๆงั้นหรอ” ที่โต๊ะด้านหนึ่ง เฉิงเสี่ยวหยุนที่มีลักษณะท่าทางดูเป็นหนุ่มเพลย์บอยหน่อยๆได้พูดขึ้นมา
“ฉันบอกแกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าห้ามไป แกจะไปก็ได้แต่ห้ามกลับมาบ้านอีก ชายตัวสูงท่าทางโผงผางอายุประมาณ60ปี มีผมขาวอยู่ครึ่งหัวได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา และก็มีชายวัยกลางคนตัวสูงอีกคนก็จ้องเขม็งไปยังเฉิงเสี่ยวหยุน
เฉิงเสี่ยวหยุนเองก็โกรธไม่น้อยแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
“ยังไงซะซูจิ้งก็เป็นเพียงแค่คนที่คอยเกาะตระกูลหวังเท่านั้น เขานั้นไม่ใช่ตระกูลหวังที่แท้จริง
วันหนึ่งเมื่อเขาหมดประโยชน์แล้ว ตระกูลหวังก็จะเขี่ยเขาทิ้งเหมือนกับหมาข้างทางตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
หมอนั้นมันก็แค่ดีแต่เปลือก การที่เฉิงหนานเลือกที่จะไปอยู่กับซูจิ้งแบบนั้น เธอจะไปมีอนาคตได้ยังไงกัน ช่างน่าสมเพชจริงๆ
คนอย่างซูจิ้งจะไปเทียบอะไรกับจ้าวเชาและจ้าวหยวนได้กัน
การที่ได้แต่งงานกับจ้าวหยวนก็หมายถึงการได้แต่งงานเข้าตระกูลจ้าว นั่นสิถึงจะเรียกได้ว่าบ้าน วันหนึ่งนังนั่นก็จะรู้เอง”
ชายแก่ตัวสูงได้มองไปที่เฉิงหนานที่อยู่สุดสายตาด้วยสายตาเย็นชา
“พ่อ นี่มันงานวันเกิดผู้ว่าการจังหวัดนะ พวกเราควรแสดงความรู้สึกยินดีออกมาสิ อย่าพูดเรื่องแบบนั้นเลย”
ชายวัยกลางคนตัวสูงอีกคนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ชายแก่เองก็ทำเสียงฮึ่มออกมาโดยไม่พูดอะไรต่อ เฉิงเสี่ยวหยุนเองก็ได้แต่บ่นพึมพำเบาๆออกมาว่า “พี่หญิงใหญ่ต้องการจะแต่งงานกับคนที่ให้อิสระกับเธอได้ต่างหาก” เสียงนี้เบามากๆจนคนบนโต๊ะไม่มีทางได้ยิน ไม่งั้นเขาคงโดนด่าเอ็ดตะโลไปแล้ว
“สามีขา คุณดูสิ เฉิงหนานอยู่คนเดียวล่ะ ช่างน่าอายจริงๆ” หญิงสาวท่าทางกระเดียดได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ยัยนั่นสมควรโดนแล้ว” หวู่ฉิงติงสบถออกมา ก่อนที่จะหันไปจ้องเฉิงหนานที่อยู่ตรงขอบงาน
อย่างไรก็ตามเฉิงหนานในตอนนี้ได้ดูสูงสง่าและเซ็กซี่กว่าที่เคยอยู่กับฉิงติงด้วยชุดเดรสสีดำ จนเขาเองก็เผลอจ้องอยู่นานก่อนที่จะหักห้ามใจไปทางอื่น
ถึงแม้เฉิงหนานจะมีลูกไม่ได้ก็จริง แต่เขาเองก็อยากรักษาความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยานี้เอาไว้ หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะมีทั้งเฉิงหนานและมีลูกให้เป็นครอบครัวสมบูรณ์
ในตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นที่เฉิงหนาที่ไม่สามารถมีลูกได้เขาจึงได้ทำร้ายเธอไป ใครจะไปคิดว่าตอนนี้เขาต้องปวดหัวยิ่งกว่าเดิมเพราะว่าหลังจากเขาเลิกกับเฉิงหนานมามีผู้หญิงคนนี้เขาก็ยังไม่มีลูก
พอไปตรวจร่างกายก็พบว่าร่างกายผู้หญิงไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เป็นเขาเองที่มีปัญหา หมอบอกเขาว่าตัวเขานั้นน้ำเชื้อไม่ดี ต่อให้ผสมเทียบก็แทบจะไม่มีโอกาสมีลูกได้เลย นี่ทำให้เขานั้นอารมณ์ไม่ดีเกือบตลอดเวลา
ตอนนี้เมื่อภรรยาของเขาทำการนินทาเฉิงหนาน เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะผสมโรงเหมือนกับว่าอยากจะระบายอารมณ์ออกมาโดยมีเฉิงหนานเป็นเป้าหมาย
หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้ว่าการจังหวัดหู่ซิงหมิงก็ได้ออกมา เขานั้นมีอายุประมาณ 60 ปี แต่ว่าหน้าตาของเขาเหมือนคนอายุประมาณ 50 ปี เขาตัวสูงและดูมีพลัง
เมื่อเขาขึ้นไปบนเวที เขาพูดไปได้เรื่อยๆโดยไม่มีการพักตามปกติของคนวัยนี้
หลังจากที่ลูกหลานของเขาเริ่มมอบของขวัญให้และอวยพร หลังจากนั้นเพลงอวยพรวันเกิดก็ได้เริ่มบรรเลงพร้อมมีการตัดเค้กตามธรรมเนียม ซึ่งทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดีสำหรับงานวันเกิดของคนที่อายุรุ่นราวคราว60แบบนี้
ถัดมาก็ถึงคราวแขกที่มาร่วมงานทำการมอบของขวัญพร้อมกล่าวคำอวยพรให้
ซูจิ้ง ได้ยืนขึ้นมาก่อนใครและเดินตรงไปยังผู้ว่าการจังหวัดเป็นคนแรกพร้อมของขวัญที่อยู่ในมือ เมื่อเขาไปอยู่ที่หน้าผู้ว่าการจังหวัดก็ได้มอบของขวัญให้กับมือและพูดว่า “ผมขอให้ผู้ว่าการจังหวัดหู่สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนนานครับ”
ทันใดนั้นทุกคนได้หยุดทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังจะนำของขวัญไปมอบให้
ทุกคนต่างก็จ้องไปยังห่อของขวัญที่ซูจิ้งนำมาอย่างเขม็ง จนทำให้เกิดบรรยากาศที่หนักอึ้งภายในงาน
ในตอนนี้ผู้คนต่างก็พูดซุบซิบกันไปทั่วว่าทำไมถึงให้เจ้าแห่งของขวัญออกมาเป็นคนแรก
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าซูจิ้งจะให้อะไรก็ตาม แต่ตอนนี้คนที่เคยมั่นใจในของขวัญตัวเองต่างก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาในทันที
แต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่แสดงความตื่นเต้นออกมา หนึ่งในนั้นก็คือผู้อาวุโสหวู่ผู้ซึ่งคลั่งไคล้ในการเก็บสะสมสมบัติ รวมถึงผู้ว่าการจังหวัดหู่ก็เช่นกัน
พวกเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงของซูจิ้งมานานแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะเกิดมาในตระกูลใหญ่ มองเห็นโลกหล้ามากว้างไกลขนาดไหน ต่อให้เคยสมบัติมามากมายเพียงใด แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นสมบัติที่ซูจิ้งครอบครองแต่ละชิ้นจากที่ไหนมาก่อน
หนึ่งในหลานสาวของหู่ซิงหมิงเองก็ได้กรี๊ดลั่นทันทีเมื่อเห็นซูจิ้ง เธอเองก็ถือได้ว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของซูจิ้งคนหนึ่ง
“ทำไมทุกคนถึงหยุดพูดกันหมดล่ะ บรรยากาศในงานตอนนี้ช่างประหลาดพิกลจริงๆ เฮ้เพื่อนทำไมนายไม่รีบเอาของขวัญออกไปให้ล่ะ ถ้าไม่งั้นฉันไปก่อนนะ” ชายหนุ่มพูดออกมา
“แกจะบ้าหรอ นี่แกไม่รู้จักซูจิ้งรึไงกัน ไม่เคยได้ยินฉายาที่ว่าเจ้าแห่งของขวัญเลยงั้นหรอ
ถ้าแกกล้าที่จะออกไปมอบของขวัญตามหลังหมอนั่นล่ะก็ ต่อให้แกเอาของขวัญมาดีแค่ไหนมันก็จะกลายเป็นขยะไร้ค่าในทันที”
เพื่อนที่อยู่ข้างๆของชายหนุ่มรีบดึงคอเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดีที่ยังคว้าไว้ทัน
“เวอร์ไปแล้วมั้ง” ชายหนุ่มทำได้แค่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เออ เดี๋ยวแกก็รู้เอง ถ้าก็ว่าฉันเวอร์ไปล่ะก็ลองแหกตาดูนู่น สี่ตระกูลใหญ่นั่งเงียบกริบไม่กล้ากระดิกกันเลยซักคน
แกลองคิดดูซิว่าของขวัญที่สี่ตระกูลใหญ่ของจังหวัดนำมาสมควรจะดีขนาดไหน แต่พวกนั้นก็ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ แล้วนับประสาอะไรกับพวกลูกกระจ๊อกอย่างเรา แกสมควรจะเอาของขวัญไปแอบวางบนโต๊ะทีหลังนู่นเลย”
บรรยากาศที่ประหลาดจนรู้สึกได้นี้ยังคงดำเนินต่อไปพร้อมเสียงซุบซิบของคนในงาน หวังซือหยา เฉิงหนาน และผู้อาวุโสหวู่ต่างก็ตะลึงงันไปตามๆกัน
พวกเขาเองก็พึ่งจะรู้ว่าไอ้ฉายาเจ้าแห่งการให้ของขวัญของซูจิ้งนี้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วแล้ว และแน่นอนว่าของขวัญในโลกหล้าที่จะนำมาเทียบเคียงกับของขวัญของซูจิ้งหามีไม่
ท่ามกลางบรรยากาศอันแปลกประหลาดในงานตอนนี้ หู่ซิงหมิงยิ้ม ก่อนที่เขาจะรับของขวัญจากซูจิ้งก่อนจะถามออกไปว่า “หนุ่มน้อย ฉันเองก็ได้ยินชื่อเสียงมาไม่น้อยเลย ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ แถมยังนำของขวัญมามอบให้อีก มีคนบอกไว้ว่านายนั้นมีฉายาว่าเจ้าแห่งการให้ของขวัญ และทุกคนเองก็ดูเหมือนต้องการอยากจะรู้ว่าครั้งนี้นายเอาอะไรมาให้ จะว่าอะไรรึเปล่าถ้าฉันจะขอเปิดดูตอนนี้เลย”
“แน่นอนครับ” ซูจิ้งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“งั้น ฉันก็จะเปิดล่ะนะ” หู่ซิงหมิงพูดเสร็จเขาก็ได้ฉีกกระดาษห่อของขวัญในทันที ทุกคนที่อยู่ในงานในตอนนี้ต่างก็จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ
ลูกๆและหลานๆของหู่ซิงหมิงเองก็อดใจไม่ไหวจนต้องเข้ามายืนดูอยู่ไม่ห่าง
ในตอนนั้นก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งขอลายเซ็นของซูจิ้งโดยเธอนั้นมุดพาตัวเองฝ่าญาติพี่น้องที่มาคอยมุงดูมาโผล่อยู่ข้างๆหู่ซิงหมิง