บทที่ 857 เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

สถานการณ์การต่อสู้ตอนนี้ตึงเครียดอย่างหนัก และบนจุดสูงสุดของจักรวาล การต่อสู้ระหว่างระดับดาวพระเคราะห์ก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน นั่นคือปรมาจารย์มหาทัณฑ์กำลังประมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนจากอารยธรรมครามทองคำด้วยตัวคนเดียว!

ในสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นผู้นำของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อีกคนเป็นผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย คนแรกอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง อีกคนอยู่ในชั้นต้น ทั้งคู่มีฝีมือเยี่ยมยุทธ หากว่ากันตามทฤษฎี เมื่อพวกเขาร่วมมือกัน ควรจะเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่งที่จะจัดการปรมาจารย์มหาทัณฑ์ แต่พลังยุทธ์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ทำเอาพวกเขาตื่นตะลึง!

ตามข้อมูลที่พวกเขาได้มา เหล่าปรมาจารย์ของบรรดาสามสำนักหลักมีระดับปราณเทียบเท่าปรมาจารย์ของอารยธรรมครามทองคำ หากคำนวณดูแล้ว อาจกล่าวได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ข้อหนึ่ง แถมพลังก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากเท่าใดนัก ปรมาจารย์ระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักผนึกผังดาวหกแฉกมีพลังปราณอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเมื่อกองทัพอารยธรรมครามทองคำปรากฏตัว พวกเขาจึงเลือกจัดการกับสำนักผนึกผังดาวหกแฉกก่อนใคร

หลังจากนั้น ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงไปต่อสู้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พร้อมกัน จากการวิเคราะห์ของพวกเขา ด้วยพลังการยุทธ์ของทั้งคู่รวมกัน พวกเขาต้องกำจัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ทว่าพวกเขาไม่ได้คาดการณ์มาก่อนเลยว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้น…จะแอบซ่อนระดับปราณที่แท้จริงเอาไว้!

ชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แต่…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง อันที่จริง เขาใกล้จะบรรลุถึงจุดสูงสุดของชั้นกลางแล้วด้วยซ้ำ หนำซ้ำพลังการยุทธ์ของเขายังเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปอีกด้วย ดังนั้นแม้ว่าประมุขของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะต่อสู้เก่งกาจเพียงใด ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์ก็ยังยืนหยัดสู้กับทั้งสองได้ แถมยังสูสีจนไม่อาจจะบอกได้ว่าฝ่ายใดกำลังเพลี่ยงพล้ำกันแน่!

การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังการยุทธ์สูงทำให้สงครามยืดเยื้อออกไป ในเวลาเดียวกัน พ่อบ้านของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่หวังเป่าเล่อเคยพบมาก่อน และดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่ของเทพธิดาหลิงโยว ก็กำลังต่อสู้เต็มกำลังเคียงข้างผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่นั่นเอง คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์สามคนจากอารยธรรมครามทองคำ

แม้ว่าการต่อสู้แบบสองต่อสามจะยากลำบากไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ก็กำลังต่อสู้เต็มที่เช่นกัน เทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ อี้เหนียนจื่อ และผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็บาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็กัดฟันและต้านทานอย่างถึงที่สุด เพื่อจะหยุดยั้งกองทัพขั้นจิตวิญญาณอมตะของอีกฝ่ายเอาไว้ให้จงได้

ยิ่งไปกว่านั้น กองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็มาร่วมต่อสู้ พวกเขากระจายกันไปทั่วจักรวาลมากกว่าสิบจุดเพื่อรับมือกับผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำอย่างถึงลูกถึงคน

ในพริบตาเดียว ทั้งเสียงครั่นครืน เสียงคำราม และเสียงกรีดร้องก็ดังระงมมาจากทุกทิศทาง บางครั้งก็อาจได้ยินเสียงดาวเคราะห์แตกร้าวด้วย แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดูน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นกำลังเสียเปรียบอย่างยิ่ง!

นั่นเพราะ…สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอารยธรรมครามทองคำมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมากกว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แม้ว่าหลายคนจะถูกจับกุมตัวเอาไว้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้าใส่กองทัพไม่หยุดหย่อน กองทหารจำนวนมากของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เต็มกลืนที่จะต้านทาน และทำได้เพียงใช้พลังของวงแหวนปราณและการบังคับสังเวยชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเพื่อซื้อเวลา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้คงจะทำได้อีกไม่นาน และในไม่ช้าพวกเขาก็จะต้องพ่ายแพ้

และเมื่อกองทหารล้มเมื่อใด สถานการณ์การต่อสู้ที่เลวร้ายอยู่แล้วก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คงจะพบจุดจบเช่นเดียวกับสำนักผนึกผังดาวหกแฉกเป็นแน่

ที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของอารยธรรมครามทองคำ แต่ก็เกี่ยวข้องกับหวังเป่าเล่ออยู่บ้างเช่นกัน เพราะอารยธรรมครามทองคำนั้นได้วิเคราะห์กำลังรบของผู้ฝึกตนระดับสูงและกองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ก่อนจะบุกจู่โจม กองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อเป็นกองทหารอันดับสอง แน่นอนว่า การหายไปของเขาทำให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อ่อนแอลง

หากเป็นช่วงเวลาอื่นใด การที่ชายหนุ่มหายไปคงไม่เป็นอะไรนัก แต่เพราะนี่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการรบ เรื่องนี้จึงกลับกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาทันที

หลังจากที่สงครามเกิดขึ้นไปสักระยะหนึ่ง สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็แสดงทีท่าว่าไม่อาจต้านทานได้ไหวอีกต่อไป แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะยังต่อสู้อยู่ได้ แต่ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านก็เริ่มเสียท่าให้ผู้ตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสามบ้างแล้ว

ในเวลาเดียวกับ เทพธิดาหลิงโยวและคนอื่นๆ ก็เริ่มเพลี่ยงพล้ำ เพราะพวกเขาต้องพยายามอย่างหนักที่จะกักขังผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจำนวนมากกว่าที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มี อาการบาดเจ็บเริ่มลุกลาม กองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน พวกเขาเริ่มดักผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเอาไว้ไม่ไหว และผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแทบทั้งหมดของสำนักก็ถูกฆ่าเกือบหมดสิ้นแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มโกรธ สิ้นหวัง และเศร้าสร้อย ในขณะเดียวกัน นัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังต่อสู้กับปรมาจารย์มหาทัณฑ์อยู่นั้นก็ส่องประกายขึ้น จู่ๆ เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนก้องไปทั่วสนามรบ

“สหายร่วมสำนักเต๋ามหาทัณฑ์ มาถึงขั้นนี้แล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของท่านไม่มีทางถอยได้อีกแล้ว ข้าจะให้ทางเลือกแก่ท่านเดี๋ยวนี้ มาเข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเป็นลูกน้องของข้า ท่านจะว่าอย่างไร”

“เจ้ารุกรานอารยธรรมของข้า สังหารสหายร่วมสำนักเต๋าของข้า แถมยังทำลายสำนักข้า ต่อให้ข้าต้องตายอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะไม่ยอมทำสิ่งขี้ขลาดอย่างไปเป็นลูกน้องเจ้าโดยเด็ดขาด!” ใบหน้าของปรมาจารย์มหาทัณฑ์บิดเบี้ยวจนน่ากลัวแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังอันแรงกล้าในใจ แต่เขายังมีคุณธรรมที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในฐานะหนึ่งในปรมาจารย์แห่งสามสำนักหลัก และเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด เขาย่อมเป็นผู้ที่ทะเยอทะยานอย่างที่สุดอยู่แล้ว มาตอนนี้ ชายวัยกลางคนก็ยังมีศักดิ์ศรีให้ยึดถือ!

ขณะที่เขาพูดไปนั้น ก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะโบกเป็นผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นเอง ดาวเคราะห์สีดำก็ปรากฏขึ้นก่อนจะระเบิดออกมา ชายวัยกลางคนพุ่งตรงเข้าไปประมือกับสองผู้ฝึกตนแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกครา

เมื่อเห็นเช่นนั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ารับมือกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์พร้อมยิ้มเยาะไปด้วย เขาพูดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับส่งคำพูดไปถึงศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนแทน

“เจ้าหมอนี่จะต้องตายด้วยน้ำมือของตนเอง! ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคน ไม่ว่าปรมาจารย์ของเจ้าจะตัดสินใจเช่นไร ชีวิตของพวกเจ้าก็อยู่ในมือของพวกเจ้าเอง เส้นทางการฝึกตนนั้นยากลำบาก และพวกเจ้าก็มีโอกาสเดียวเท่านั้น ใครก็ตามที่ยอมแพ้จะมีชีวิตรอด เจ้าจะได้เข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา!”

ไม่ใช่ทุกคนที่มีจิตใจที่ตั้งมั่นเทียบเท่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ และเมื่อพวกเขาไม่เห็นความหวัง หลายคนก็เริ่มลังเลเพราะคำพูดของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์นิ่งเงียบไม่ตอบโต้และไม่พูดอะไรอีก ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าตนดูแลศิษย์ในสำนักเป็นอย่างดี แต่เขาก็รู้ว่า ณ จุดนี้ การจะเลือกเอาชีวิตรอดก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน

ทว่าชายชราก็ไม่ได้คาดคิดว่าผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ ผู้ที่ไม่เคยมีความสุขภายใต้การนำของเขาและควรเลือกที่จะเอาชีวิตรอด กลับไม่เลือกเช่นกัน กลับกันลูกน้องของเขา รองผู้บัญชาการอี้เหนียนจื่อ…กลับก้าวถอยหลังแล้วคำรามออกมาอย่างไม่รีรอ

“ปรมาจารย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอยอมแพ้!”

เมื่อพูดจบ สนามรบทั้งหมดก็สั่นสะเทือน ผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จำนวนมากเปลี่ยนใจกันเป็นการใหญ่ อันที่จริงแล้ว…แม้ว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นคนหนึ่งจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักเท่าใดนัก แต่กับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ถือว่ายิ่งใหญ่ แถมยังเป็นตำแหน่งที่สูงทั้งเกียรติยศทั้งสถานะ และเพราะอี้เหนียนจื่อเป็นถึงรองผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง การที่เขาเลือกยอมแพ้ก็ทำให้มีผู้เปลี่ยนใจตามเป็นจำนวนมาก

สีหน้าของเทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ บิดเบี้ยวไปในทันที ทว่าคนที่หน้าเสียที่สุดไม่ใช่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ แต่คือผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่

“อี้เหนียนจื่อ เจ้ารนหาที่อย่างนั้นหรือ!” ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ ผู้ซึ่งพยายามอย่างที่สุดที่จะรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะขั้นสูงสุดสามคนจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พร้อมพ่อบ้าน จ้องมองไปยังอดีตลูกน้องด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า

“ผู้บัญชาการขอรับ อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องแพ้แน่นอน ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนอกตัญญู แต่เพราะข้าไม่มีทางเลือก!” อี้เหนียนจื่อเองก็บาดเจ็บสาหัส ขณะที่เขาพูด เลือดก็ไหลซึมออกมาจากมุมปากไม่หยุด ชายหนุ่มมีสีหน้าบ้าคลั่งและไม่สนใจว่าเขาจะเดินชนศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กี่คนขณะล่าถอย ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของเขา ชายหนุ่มสังหารศิษย์ไปหลายต่อหลายคนตอนที่เดินชนเพื่อจะถอยหนี

“ดี อี้เหนียนจื่อใช่หรือไม่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เราจะให้แต้มการรบกับเจ้าตั้งแต่ตอนนี้ ยิ่งเจ้าสังหารมากเท่าใด เมื่อกลับถึงสำนัก เจ้าก็ยิ่งแลกรับวัตถุเวทได้มากเท่านั้น หากเจ้าสังหารขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้รับโอสถวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่จะทำให้เจ้าบรรลุไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง!” เมื่อเห็นเช่นนั้น ปรมาจารย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น หลังจากที่ประกายแห่งความเกลียดชังและขบขันปรากฏขึ้นลึกๆ ในดวงตา เขาก็เริ่มพูดจาให้กำลังใจ

ทันทีที่พูดจบ สายตาของอี้เหนียนจื่อก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มกำลังลำบากใจ แต่ในไม่ช้า ประกายดุร้ายก็สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขาเมื่อหันไปเห็นเทพธิดาหลิงโยว ผู้ที่กำลังล่าถอยอย่างช้าๆ อยู่ตรงหน้า!

เทพธิดาหลิงโยวมีระดับปราณต่ำที่สุด อีกทั้งนางยังบาดเจ็บหนักกว่าเขา จิตสังหารปรากฏขึ้นบนดวงตาของอี้เหนียนจื่อขณะที่เขาพลิกตัวแล้วพุ่งทะยานออกไป

แต่ในวินาทีนั้นเอง…จู่ๆ ก็มีเสียงครั่นครืนดังขึ้นในจักรวาลที่ห่างออกไป เสียงนั้นดังสนั่นจนน่าตื่นตะลึง และสายรุ้งเส้นยาวที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับจะตัดผ่านความว่างเปล่าก็พุ่งทะยานผ่านสนามรบ เมื่อครู่นี้มันยังอยู่ห่างออกไป แต่ในอึดใจเดียว…สายรุ้งยาวนั้นก็มาปรากฏอยู่บนสนามรบ แค่ความเร็วเพียงอย่างเดียวก็ทำเอาบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะตื่นตะลึง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านเองก็ไม่ต่าง กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ยังมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

ขณะที่สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปนั่นเอง สายรุ้งทอดยาวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอี้เหนียนจื่อ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาโดยไม่ได้หยุดเคลื่อนที่ ก่อนจะคว้าคอของอี้เหนียนจื่อเอาไว้!

ทันทีที่สายรุ้งจางหายไป เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏบนสนามรบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นบี้อี้เหนียนจื่อ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนเพียงไรก็ไม่อาจหลุดไปได้ อันที่จริงแล้ว เขาพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ สายตาของอี้เหนียนจื่อแสดงความตื่นตะลึงและไม่อยากจะเชื่อเมื่อมองเห็นชัดๆ ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร

“นี่ เจ้าผู้นำสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรสักอย่างน่ะ ถ้าข้าฆ่าเจ้าอี้เหนียนจื่อได้ ข้าจะไปขอแลกโอสถวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยใช่หรือไม่” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนจะมองไปทางประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีสีหน้าเครียดขึงและตกตะลึงพอๆ กัน

…………………….