บทที่ 858 เขย่าสนามรบ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“หลงหนานจื่อ!” สีหน้าของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เย็นชาเมื่อจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ เพราะเขาเป็นผู้ผนึกรูปปั้นสุสานหลวงเอาไว้ในนพภูมิด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ อันที่จริงแล้ว องค์ชายทั้งสามแห่งราชวงศ์เองก็รู้เช่นกัน พวกเขาจึงจับตาดูหวังเป่าเล่ออยู่ตลอด

เพียงแค่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คาดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อจะยังปรากฏตัวขึ้นได้แม้ว่าตนจะผนึกและฝังรูปปั้นเอาไว้ในนพภูมิแล้วก็ตาม!

“หลงหนานจื่อ!”

“นั่นหลงหนานจื่อนี่นา!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว ทั้งสนามรบก็สั่นไหว ในแง่หนึ่ง การมาปรากฏตัวของชายหนุ่มช่างน่าตื่นตะลึงไม่น้อย ทันทีที่โจมตี เขาก็จับอี้เหนียนจื่อคนทรยศเอาไว้ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกไก่ อีกแง่หนึ่ง การหายตัวไปของหวังเป่าเล่อ เป็นสิ่งที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์สังเกตเห็นกันแทบทุกคน ต่างคนต่างก็คาดเดาสาเหตุกันไปต่างๆ นานา

ดังนั้นในวินาทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว ทุกอย่างจึงสั่นคลอนไปหมด

ชั่ววินาทีนั้น ทั้งเทพธิดาหลิงโยวและผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่าคือระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อ เพราะชุดเกราะที่ไม่ได้ปกปิดใบหน้าของเขา มีคลื่นพลังแทรกแซงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกระจายออกมา!

อีกคนที่สังเกตเห็นสิ่งนั้นก็คือศิษย์แห่งเต๋ากูโม่

และนี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมาหลังจากที่ปกปิดพลังที่แท้จริงมาโดยตลอด อีกทั้งเขายังเขย่าวิญญาณของผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยังนัยน์ตาลุกวาว

“ดูท่าเจ้าจะไม่อยากให้โอสถข้ากระมัง” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ จากนั้นจึประกายเย็นยะเยือกก็สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาชายหนุ่ม อี้เหนียนจื่อจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็ไม่เป็นผล อีกฝ่ายถึงกับต้องอ้อนวอนด้วยสายตา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังกำมือขวาแน่น คอของอี้เหนียนจื่อหักดังกร็อบ ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณเข้าไปในกายของอี้เหนียนจื่อ แล้วทำลายวิญญาณของอีกฝ่ายเสียด้วย

“ข้าน่ะอยากฆ่าเจ้ามานานแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเยือกเย็น หลังจากที่ปล่อยมือ ศพของอี้เหนียนจื่อก็สั่นไหวก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง ลอยละล่องไปในจักรวาล

วินาทีที่หวังเป่าเล่อจู่โจม นัยน์ตาของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ส่องประกาย และคำรามออกมาอย่างปุบปับ “หลงหนานจื่อ ไปช่วยกองทหารผ่าวิญญาณของเจ้าต่อสู้เสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าไปที่ใดก็ได้ตามต้องการ!”

“ขอรับ ท่านปรมาจารย์!” ต่อหน้าศิษย์จำนวนมหาศาล หวังเป่าเล่อรู้วิธีกระทำตนอย่างเหมาะสม อีกอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะกลับมาช่วยเหลืออยู่แล้ว หลังจากที่ตอบคำ เขาก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะโบกลงอย่างรุนแรง!

ทันใดนั้นเอง เรือบินรบจำนวนนับแสนลำก็ปรากฏขึ้นพร้อมด้วยเสียงครั่นครืนดังสนั่น เรือบินทุกลำทะยานออกไปหาศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมอยู่แล้วระเบิดตัวเอง ภาพนั้นเรียกขวัญกำลังใจให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และกองทหารอื่นๆ เป็นอันมาก

“เรือบินรบระเบิด!”

“เรือบินรบเหล่านี้ช่วยแบ่งเบาภาระพวกเราไปได้มากโขทีเดียว!” เห็นได้ชัดว่าเรือบินรบระเบิดตัวเองของกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อนั้นชื่อดังเพียงใด

และในฐานะกองทหารอันดับสอง การที่หวังเป่าเล่อกลับมาช่วยย่อมเปลี่ยนกสถานการณ์การรบได้ แม้อาจไม่ได้รับประกันว่าจะพลิกสถานการณ์ได้ แต่ก็ช่วยลดความกดดันให้ทุกๆ คนได้ไม่น้อย

ทว่า…ขณะที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นในใจศิษย์ทุกคนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หวังเป่าเล่อก็โบกมืออีกครั้ง หุ่นเชิดนับแสนตัวที่มีวิญญาณหลอมอยู่ด้านในก็ปรากฏขึ้นตัวแล้วตัวเล่า พวกมันปลดปล่อยพลังปราณออกมา ตัวที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ หุ่นทุกตัวพุ่งออกไปรอบข้างอย่างรวดเร็ว

พลังที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนได้แต่จ้องมองด้วยปากอ้าค้าง วิญญาณสั่นไหว เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนของอารยธรรมครามทองคำ

“นี่มัน…”

“หุ่นเชิดจุติวิญญาณ!”

“มีเป็นแสนๆ ตัวเลย…สวรรค์ มีหุ่นเชิดจุติวิญญาณมากกว่าแสนตัวเสียอีก!”

เทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ และผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เหลือต่างก็พากันจ้องมอง มีเพียงศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และปรมาจารย์มหาทัณฑ์เท่านั้นที่สีหน้าคงที่ แม้จะมีแววกังวลอยู่เล็กน้อย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…เรือบินรบระเบิดตัวเองและหุ่นเชิดจุติวิญญาณนับแสนนั้นเพียงพอที่จะให้กองทหารของหวังเป่าเล่อขึ้นจากตำแหน่งกองทหารอันดับสองไปเป็นกองทหารอันดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย อันที่จริงแล้ว ในแง่หนึ่ง…กองกำลังของเขาเลยพ้นคำว่ากองทหารไปแล้ว อีกอย่างหากคิดถึงเรื่องพลังปราณของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ แม้ว่าอาจจะเกินไปเล็กน้อยที่จะบอกว่าเขาสามารถตั้งสำนักได้ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่เกินจริงสักเท่าใดนัก!

ทว่า…ความตื่นตะลึงยังไม่จบเท่านี้ มาคราวนี้ หวังเป่าเล่อก็ตั้งใจจะไม่ปกปิดความสามารถในการรบของกองทหารของเขาอีกต่อไป เพราะชายหนุ่มต้องการจะขึ้นไปสูงกว่านี้ จึงจำเป็นต้องแสดงพลังที่แท้จริงออกมา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงโบกมือขวาอีกครั้ง พลันรัศมีจิตวิญญาณอมตะสิบสองรัศมีก็ถูกปลดปล่อยออกมาเขย่าสนามรบ ทำเอาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหน้าถอดสี!

หุ่นเชิดสิบสองตัว รัศมีจิตวิญญาณอมตะสิบสองรัศมี ทันทีที่พวกมันปรากฏขึ้น สนามรบก็เงียบงันไป และในวินาทีต่อมา ก็เกิดเสียงอื้ออึงดังสนั่นเสียจนหูแทบดับ สีหน้าของผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่สู้กับเทพธิดาหลิงโยวอยู่ก็ร้องตะโกนออกมาแทบสิ้นสติ

“จิต…จิตวิญญาณอมตะ!”

“หุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะ…”

เทพธิดาหลิงโยวตะลึงไปชั่วอึดใจ ร่างกายของผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำสั่นไหว ส่วนผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็มีแววตาตกตะลึง บ้างถึงกับตกอยู่ในภวังค์ เพราะหุ่นเชิดจิตวิญญาณอมตะนั้นหาได้ยากยิ่ง และพวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เห็นถึงสิบสองตัวพร้อมกันในคราวเดียว…

กระทั่งสีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่กำลังต่อสู้กับศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นกัน ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสาม ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปอย่างชัดเจน

โดยสัตย์จริง…จากพลังของกองทหารผ่าวิญญาณที่หวังเป่าเล่อได้แสดงออกมา…ก็ไม่เป็นการเกินเลยอีกต่อไปหากจะบอกว่าชายหนุ่มสามารถสร้างสำนักขึ้นเองได้ เขาน่าจะสร้างขึ้นได้จริงๆ หากต้องการ

จำนวนของจิตวิญญาณอมตะในสามสำนักหลัก…ยังไม่อาจเทียบได้กับจำนวนหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะที่หวังเป่าเล่อมีด้วยซ้ำ!

“บัดซบ!” จิตสังหารระเบิดออกมาจากนัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในสุสานหลวง แต่ก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้หุ่นเชิดเหล่านี้แม้ว่าจะเจออันตรายในคราวนั้น เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า…สิ่งที่เขาเห็นอยู่นี้ คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้มาจากในสุสานหลวง

การปรากฏตัวขึ้นของหุ่นเชิดกระทบกับสถานการณ์การรบอย่างใหญ่หลวง ไม่เป็นการเกินเลยหากจะบอกว่าสิ่งนี้กำหนดทิศทางการรบไปแล้วเรียบร้อย ราวกับว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้กำลังสู้ตัวต่อตัวกับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่เหมือนกำลังสู้กับสองสำนักในเวลาเดียวกันมากกว่า!

การปรากฏตัวขึ้นของกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ในฐานะตัวแปรสำคัญของการรบ เป็นการเพิ่มพูนขวัญกำลังใจให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างมาก ในทางกลับกับ ผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เริ่มตื่นตกใจเป็นครั้งแรกในการรุกรานครั้งนี้ เพราะหุ่นเชิดนับแสนและเรือบินรบระเบิดตัวเองจำนวนมหาศาลที่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นรอบด้าน และหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิบสองได้มาร่วมในการต่อสู้ของขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วย!

แม้จะดูเหมือนหุ่นเชิด แต่สีหน้าของพวกมันก็แสดงออกถึงความมีชีวิต การโจมตีแต่ละครั้งทั้งเฉียบคมและแม่นยำ ดูราวกับว่าหุ่นเชิดเหล่านี้มีชีวิตจริงๆ กระนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกมันใช้วิชาดวงเนตรสวรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อดวงเนตรสวรรค์ปรากฏขึ้น ความตื่นตะลึงของทุกคนบนสนามรบก็เพิ่มขึ้นอีก

“วิชาดวงเนตรสวรรค์!”

“นี่มัน…นี่มันอะไรกัน!”

“วิชาดวงเนตรสวรรค์ของราชวงศ์! ไม่ใช่ว่าพวกราชวงศ์ร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำหรือ แล้วทำไมวิชาของพวกมันถึงมาอยู่กับหลงหนานจื่อได้!”

“ช้าก่อน…เจ้าหลงหนานจื่อนี่…สวรรค์ มันเป็นใครกันแน่!”

จิตใจของศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปั่นป่วนไปหมด แต่พวกเขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เมื่อกองทหารผ่าวิญญาณเข้าจู่โจม พวกเขาต่างก็ต้องกัดฟันและส่งเสียงคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยพร้อมๆ กัน

สถานการณ์ในสงครามครั้งนี้กลับหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องล่าถอยอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่พ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่กำลังต่อสู้เต็มกำลัง ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ใช้กระบวนท่าลับออกมาอย่างไม่รอช้า พลังยุทธ์ของเขาถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างชายวัยกลางคนกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ

ขณะที่จักรวาลส่งเสียงครั่นครืนและมีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากทุกหนทุกแห่ง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้อู้งานอยู่เฉยๆ ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในสนามรบ หวังเป่าเล่อผู้สวมเกราะมหาจักรพรรดิบัดนี้ดูเหมือนกระบี่แหลมคมที่ทิ่มแทงลงไปบนสนามรบ ราวกับว่ากำลังตัดแบ่งสนามรบเป็นส่วนๆ เขาพุ่งเข้าไปขวางหน้าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สองคน ที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยอมสละชีวิตเพื่อนไปหลายคนเพื่อกักขังเอาไว้

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสองยังอยู่ในชั้นต้นเท่านั้น พวกเขาพยายามหนีด้วยสีหน้าตื่นตกใจ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ทั้งคู่ตกเป็นเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ และขณะที่ชายหนุ่มปลดปล่อยปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมา พลางเร่งความเร็วสูงสุดเหาะแซงหน้าไปทันที เขาทิ้งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งไว้ข้างหลังก่อนจะไล่กวดอีกคนหนึ่งไป

ขณะที่หวังเป่าเล่อเหาะแซงไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จ้องมองด้วยดวงตาเบิกโพลงอย่างสิ้นหวัง เขาก้มศีรษะลงมองร่าง ก็เห็นเพียงร่างไร้หัวที่คุ้นเคยกำลังลอยละล่องออกไปอีกทางหนึ่ง

วินาทีถัดมา ทั้งศีรษะและร่างกายของเขาก็ถูกเปลวไฟเผาผลาญ จนทั้งร่างกายและวิญญาณถูกทำลายสิ้นไม่มีเหลือ!

แต่เขาก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวนานนัก เพราะเพื่อนของเขา หรือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอีกคนหนึ่ง ก็มีชีวิตอยู่ต่อได้เพียงอีกหนึ่งลมหายใจเท่านั้น เพียงแค่หวังเป่าเล่อชี้นิ้วใส่ กะโหลกของเขาก็ยุบเข้าไป ร่างกายแตกสลาย และวิญญาณก็แหลกยับเยิน!

การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคนติดๆ ในชั่วระยะเวลาเพียงพริบตาทำให้สนามรบสั่นไหวอีกครั้ง ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนรีบถอยหนีด้วยความตื่นตะลึงและตกใจกลัว ราวกับว่าหวังเป่าเล่อเป็นพญามัจจุราชก็ไม่ปาน!

มีคนเยอะไม่เบา…ข้าจะเพิ่มระดับวิชาดวงเนตรปีศาจอีกครั้งแล้วผลักพลังปราณให้ขึ้นไปอีกขั้นได้หรือไม่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่จิตสังหารพลุ่งพล่านอยู่ในใจ!

……………………………..