บทที่ 859 แกร่งเกินต้าน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อเป็นทั้งปัจจัยสำคัญและศิลาก้อนมหึมา ชายหนุ่มมอบโอกาสให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พลิกกลับมาได้เปรียบในการต่อสู้ที่เสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น ขณะที่ทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ลุกขึ้นสู้ สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็อ่อนแรงลงตามลำดับ พวกเขาถอยร่นไม่เป็นขบวนและดูราวกับว่าสุดท้ายแล้วสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ขึ้นมาได้เปรียบจนได้!

แม้ว่าการได้เปรียบนี้จะไม่ได้หมายถึงชัยชนะ แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสชนะก็จะเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ในที่สุด การจะเอาชนะได้ก็อาจไม่เกินเอื้อมอีกต่อไป!

แทบทุกคนบนสนามรบสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ เพราะอย่างนั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อทำให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ตื่นเต้นยินดี ผู้ฝึกตนฝ่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ระดับปราณของเขาก็ยิ่งใหญ่เกินไป และกองทหารของเขาก็โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีวิธีจบปัญหานี้เพียงสองวิธี วิธีแรกคือลุ้นให้ประมุขสำนักและผู้อาวุโสเอาชนะปรมาจารย์มหาทัณฑ์ได้ และอีกวิธีหนึ่งก็คือให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสามกำราบพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ให้สำเร็จ

ติดอยู่เพียงแค่ว่า…สำหรับคู่แรก มาจนตอนนี้ ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต่างก็ได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่พวกเขาจะเบียดเอาชนะได้ ส่วนอีกคู่หนึ่ง…ก็เช่นกัน

ดังนั้น…ทางเดียวที่มีก็คือต้องกำจัดหวังเป่าเล่อและพยายามทำลายโอกาสที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นมาพร้อมการปรากฏตัวของเขาให้ได้มากที่สุด!

ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่ว่าผลพวงนั้นออกจะยิ่งใหญ่และเสี่ยงอยู่สักหน่อย หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังกุมความได้เปรียบอยู่ พวกเขาก็คงไม่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยง พวกเขาเพียงแค่ต้องรักษาจังหวะเอาไว้ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็จะล่มสลายไปเอง และการทำลายล้างของพวกเขาก็คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

แต่ขณะนี้…โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งตรงเข้าไปหาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง การยอมรับความเสี่ยงก็ดูจะเป็นทางออกเดียวสำหรับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่อาจยอมให้หวังเป่าเล่อต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นและชั้นกลางได้ หาไม่แล้ว…หากหวังเป่าเล่อฆ่าผู้ฝึกตนได้อีก จำนวนผู้ฝึกตนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จะตกลงอย่างรวดเร็ว และหากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากฝั่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาเพิ่มอีก พวกเขาคงต้องพ่ายแพ้เป็นแน่

ตอนนั้นเองนัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ส่องประกาย พลางร้องคำราม “ชิงคุนจื่อ!”

เมื่อเสียงของชายชราดังก้องออกไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามที่กำลังสู้กับพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่อยู่ก็มีแววตาลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่แล้วแววตานั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยวในทันที ระดับปราณของพวกเขาดูจะพุ่งสูงขึ้นขณะที่ทั้งสามพุ่งออกไปข้างหน้า สองจากสามคนนั้นส่องประกายราวกับเป็นดวงอาทิตย์แล้วพุ่งเข้าใส่พ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่อย่างลืมตาย พวกเขาใช้กระบวนท่าสุดยอดและกักทั้งคู่เอาไว้ได้ชั่วคราว

ขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์อีกคนหนึ่ง หรือก็คือชิงคุนจื่อที่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เรียกเมื่อครู่ก็พลิกกาย พลางปล่อยพลังปราณให้พวยพุ่งออกมา เขาจากสนามรบไป พุ่งตัวราวกับเป็นสายฟ้าฟาดตรงไปยังหวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังต่อยเตะพัลวันเพื่อตรงไปยังสนามรบของจิตวิญญาณอมตะ

ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา และในอีกวินาทีถัดมา ขณะที่สนามรบสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ชิงคุนจื่อก็เหมือนว่าจะแปรสภาพเป็นปลาคุนนกเผิง อันที่จริงแล้ว หากมองด้วยตาเปล่า ก็จะเห็นว่ามีเงาของปลาคุนนกเผิงกำลังเคลื่อนที่เข้าประชิดตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

และอีกไม่กี่ลมหายใจก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัว หวังเป่าเล่อที่รู้ตัวอยู่ก่อนแล้วก็หันศีรษะไปหาปลาคุนนกเผิงที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรง ริมฝีปากของชายหนุ่มก็กระตุกเป็นเชิงยิ้มเยาะ ก่อนจะมีประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นในแววตา

ในที่สุดก็มีตัวเป้งๆ โผล่มาสักที! หวังเป่าเล่อหัวเราะ ชายหนุ่มรู้จุดประสงค์ของปลาคุนนกเผิงตัวนี้ดี เพราะการตัดสินใจสามอย่างที่หวังเป่าเล่อทำหลังมาถึงสนามรบส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อสถานการณ์โดยรวม

อย่างแรกคือการสังหารอี้เหนียนจื่อ หลังจากที่ปลอบขวัญกองกำลังศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ชายหนุ่มก็สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะฝ่ายตรงข้ามที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เสียสละชีวิตจำนวนมากเพื่อกักขังเอาไว้ไปอีกสองคน การกระทำนี้นอกจากจะส่งเสริมให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีกำลังใจมากขึ้น ยังเพิ่มจำนวนคนให้มากขึ้นอีกด้วย การที่ไม่ต้องรับมือศัตรูสองด้าน ทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากสามารถเข้าร่วมการต่อสู้เพิ่มขึ้นได้

หลังจากนั้น สิ่งที่หวังเป่าเล่ออยากทำคือการใช้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขาสังหารศัตรูที่อยู่ในชั้นต้นและชั้นกลาง เมื่อทำเสร็จ…ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้อีกต่อไป

แม้จะทำให้เขาได้รับชื่อเสียว่าชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่ใครก็ตามที่ยังคิดเรื่องเช่นนั้นในสนามรบก็เป็นคนโง่เขลาที่สมควรตาย สิ่งสำคัญที่สุดในการรบคือการสังหารผู้ที่อ่อนแอกว่าด้วยกำลังที่เหนือกว่านั่นเอง!

หวังเป่าเล่อจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าตนเองจะต้องถูกขัดขวาง สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในแผนของเขาเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย จากมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ แม้ว่าการสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์คนเดียวจะไม่สำคัญเท่าการสังหารชั้นต้นและชั้นปลายหลายๆ คน แต่ก็มีผลทางด้านจิตใจต่อกองทหารของศัตรูมากกว่า

ดังนั้นเมื่อชิงคุนจื่อพุ่งเข้ามา หวังเป่าเล่อจึงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นและพุ่งเข้าไปหาแทนที่จะล่าถอย ชายหนุ่มดูเหมือนดาวหางที่พุ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย เมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ จิตสังหารอันเข้มข้นก็ระเบิดออกมาจากดวงตาของชิงคุนจื่อ

“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”

ทั้งสองปะทะกันในทันที หากมองจากที่ไกลๆ ก็สุดจะบอกได้ว่าปลาคุนนกเผิงชนใส่ดาวหางหรือดางหางชนใส่ปลาคุนนกเผิงกันแน่ ไม่ว่าจะอย่างไร ทันทีที่ทั้งคู่ชนกัน เสียงดังสนั่นที่ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกก็กวาดไปทั่วบริเวณราวกับเป็นคลื่นยักษ์

ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายจำนวนไม่น้อยกระอักเลือดออกมาพร้อมกับต้องล่าถอยเพราะแรงกระแทก ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นคลอนเพราะถูกชนและกระเด็นไปไกลร่วมสามสิบเมตร แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ และยังมีประกายแสงอันแรงกล้าอยู่ในดวงตา เพราะถึงแม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะสำแดงคลื่นพลังแทรกแซงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังซ่อนพลังเอาไว้อีกครึ่งหนึ่ง

“หลังจากที่ผลาญพลังปราณของตัวเอง เขาก็เก่งขึ้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย ไม่เลวเลย น่าสนุกดีนี่”

ขณะที่เสียงของหวังเป่าเล่อกระจายออกไป ความตื่นตะลึงของเขาก็พุ่งถึงขีดสุด เขารู้สึกถึงคลื่นพลังมหาศาลที่พวยพุ่งเข้ามาใส่กาย หลังจากที่กระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตรชายหนุ่มจึงบังคับตัวเองให้หยุด สีหน้าของเขาซีดเซียวหลังจากบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ความตกใจและไม่อยากเชื่อสายตาทำให้คลื่นในใจสั่นไหวอยู่ไปมา

“เจ้า…” ชิงคุนจื่อยังพูดไม่ทันจบประโยคเมื่อจิตวิญญาณการต่อสู้ลุกโชนขึ้นมาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังปราณออกมาอีกร้อยละยี่สิบ เมื่อพลังปราณเพิ่มขึ้นถึงร้อยละเจ็ดสิบแล้ว เขาก็ก้าวออกมา ความเร็วของชายหนุ่มเพียงอย่างเดียวก็ตัดความว่างเปล่าจนขาดวิ่น ในวินาทีถัดมา ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชิงคุนจื่อผู้ตกตะลึง หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น อาวุธเทพปรากฏออกมาก่อนจะวาดลงไปทันที!

ใบหน้าของชิงคุนจื่อซีดขาว เมื่อไม่มีเวลาหลบ เขาจึงทำได้เพียงใช้ผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสอง เงาของปลาคุนนกเผิงปรากฏชัดขึ้นมาทันที ขณะที่ป้องกันด้วยพลังทั้งหมดที่มี เขายังพยายามให้ปลาคุนนกเผิงสะบัดหางและโจมตีกลับใส่หวังเป่าเล่อ

ทว่า…หวังเป่าเล่อรออยู่แล้วพร้อมความเสียใจในแววตา อาวุธเทพในมือไม่ได้หยุดและฟันลงมาต่อพร้อมด้วยพลังปราณร้อยละเจ็ดสิบที่สนับสนุนอยู่ภายใน ปลาคุนนกเผิงตื่นกลัวตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะล้มลงต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ลดความเร็วลง เขากลับไปปรากฏตัวตรงหน้าชิงคุนจื่อและฟันลงไปอีกครั้ง!

เกิดเสียงดังสนั่น ชิงคุนจื่อส่งเสียงร้องโหยหวน ดวงอาทิตย์สีดำระเบิดขึ้นจากภายในกาย แม้ว่าเขาจะต้านทานไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เลือดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง สีหน้าอันตื่นกลัวราวกับเห็นผีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมๆ กับเสียงหวีดร้องโหยหวน

“เจ้าไม่ใช่จิตวิญญาณอมตะ!”

“ข้าเป็นบิดาเจ้า!” หวังเป่าเล่อยิ้ม ไม่ใส่ใจกับสีหน้าตื่นตะลึงของผู้ฝึกตนรวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่รายล้อมอยู่ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้ชิงคุนจื่อผู้กำลังถอยหนี ก่อนจะฟันอาวุธเทพลงไปอีกครั้ง เกิดเสียงครั่นครืนสะเทือนสวรรค์ดังเลื่อนลั่นอีกครา

ชิงคุนจื่อคำรามออกมาและตั้งรับอีกระลอก ดวงอาทิตย์สีดำในมือชายหนุ่มนั้นยอดเยี่ยม แม้ว่าเขาจะกระอักเลือดออกมาไม่หยุดพลางถอยหลังหนี และบาดเจ็บเพิ่มเรื่อยๆ แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงอยู่ แม้จะมีรอยร้าวปรากฏขึ้นมาช้าๆ ก็ตาม

“อ่อนแอ!” หวังเป่าเล่อฟันลงไป เขาวิ่งไล่ไปพลางโจมตีไปพลาง จนในที่สุด หลังจากการฟันครั้งที่เจ็ด ดวงอาทิตย์สีดำในมือชิงคุนจื่อก็ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป จึงแตกสลายไป หลังจากนั้น การฟันครั้งที่แปดของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏเป็นสายรุ้งที่สะเทือนทั้งสวรรค์และผืนแผ่นดิน ส่งประกายกระบี่ไประหว่างดวงตาที่กำลังตกตะลึงและสิ้นหวังของชิงคุนจื่อ

วินาทีต่อมา ศีรษะของชายหนุ่มก็ปลิวไป คลื่นพลังปราณแทรกแซงที่เหนือกว่าพลังปราณของชิงคุนจื่อมากนักเข้าปกคลุมร่างของเขาเอาไว้ ทั้งร่างกายและกระดูกถูกป่นเป็นผงในพริบตา!

“อ่อนแอเหลือเกิน” หวังเป่าเล่อรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในใจขณะที่ยืนอยู่บนจักรวาลและพูดออกมาอย่างเยือกเย็น

สนามรบรอบข้างเงียบสงัดไปทันตา อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากจากทั้งสองฝ่ายที่มองเห็นฉากนี้ต่างก็ลืมต่อสู้ไปเสียสนิท พวกเขาจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาว่างเปล่า ศีรษะมึนราวกับว่าถูกสายฟ้าจากสวรรค์ฟาดเอาก็ไม่ปาน

รัศมีและพลังปราณของหวังเป่าเล่อนั้นรุนแรงเสียจนพื้นดินสนั่นท้องฟ้าสะเทือน!

“ระดับดาวพระเคราะห์หรือ” เทพธิดาหลิงโยวตกตะลึงก่อนจะพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ น้ำเสียงของนางทำเอาร่างกายของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสองฝ่ายกระตุก พวกเขาต่างก็มองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว

……………………..