ตอนที่ 2770 เมืองแห่งความร่ำรวย

เมืองอุกกาบาต : เมืองนั้นไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ชุมนุมในเทือกเขาอุกกาบาตสำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ แต่มันยังเป็นสถานที่ทำการค้า และเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับมนุษย์ในเทือกเขาอุกกาบาต

หลังจากกองอัศวินวินช่วยลงทะเบียนให้กับกลุ่มของซือเฟิงในเมืองแล้ว คูลลิ่ง
คลาวด์ก็ได้นำทั้งห้าคนตรงเข้าไปในเมือง

ซึ่งซือเฟิง และสมาชิกในทีมของเขานั้นไม่ใช่ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองอุกกาบาต ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจ่ายค่าเข้าเมืองเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ห้าชิ้น โดยนี่มันทำให้ไลฟ์เลส
ธอร์น ซือเฟิง และคนอื่นๆรู้สึกตกตะลึงกับราคาที่โหดแบบนี้มากๆ

ค่าเข้าของเมืองอุกกาบาตนั้นมันแพงกว่าค่าเข้าเมืองกิลต่างๆในโลก God domain ยุคปัจจุบันมากกว่าสิบเท่า

ณ จุดนี้ มูลค่าตลาดของคริสตัลเวทย์มนต์นั้นคิดเป็นสี่สิบเหรียญเงินต่อชิ้นแล้ว ซึ่งหากเทียบกันตามราคา คริสตัลเวทย์มนต์ห้าชิ้นมันก็เท่ากับเหรียญทอง สองเหรียญทองเลย

เว้นแต่ว่ามานาของเมืองกิลจะควบแน่นเป็นของเหลว ไม่งั้นมันก็คงจะมีเพียงแต่คนโง่เท่านั้นที่จะยอมจ่ายค่าเข้าเมืองที่โหดแบบนี้

อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากพฤติกรรมของผู้เล่น และ NPC ที่นี่ มันก็ดูราวกับว่าพวกเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้มานานแล้ว และแม้แต่ยู่หลัวก็ยังยอมจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์ห้าชิ้นอย่างไม่ลังเล

“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ราคานี้มันเป็นมาตราฐานของที่นี่ ….” โดยธรรมชาติแล้ว เธอสามารถเข้าสิ่งที่ซือเฟิง และคนของเขาคิดได้ทันที ก่อนที่เธอจะยิ้มและกระซิบว่า
“แต่เชื่อเถอะ ราคานี้มันคุ้มค่าแน่นอน !!!”

ในตอนแรกเธอเองก็ตกใจกับราคานี้เช่นกัน

แถมเธอยังไม่ได้เป็นหัวหน้ากิลแบบซือเฟิงด้วย เธอเป็นเพียงหนึ่งในหัวหน้าทีมของทีมนักผจญภัย ดังนั้นคริสตัลเวทย์มนต์ที่เธอมีอยู่ในมือนั้นจึงมีจำนวนอยู่ราวสองร้อยหรือมากกว่านั้น และการจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์ห้าชิ้นเพื่อเข้าสู่เมือง มันก็นับเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยมากสำหรับเธอ

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เข้าสู่เมืองอุกกาบาต เธอก็สามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็วเลยว่า ราคานี้มันสมเหตุสมผลแน่นอน เมื่อเทียบกับเมือง NPC หลักขนาดใหญ่ใน God domain ยุคปัจจุบัน ที่เมืองอุกกาบาตนี้มันจัดว่าเป็นเมืองศักสิทธิ์เลย

แน่นอนว่าซือเฟิงคริสตัลเวทย์มนต์ห้าชิ้นต่อคนเป็นค่าเข้าเมืองนั้น ไม่ได้นับว่ามากมายอะไรสำหรับซือเฟิง เพียงแต่ว่าเขาประหลาดใจกับราคาที่มันค่อนข้างโหดเท่านั้น

หลังจากนั้นซือเฟิงก็จ่ายค่าเข้าเมืองให้กับตัวเอง และอีกสี่คนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะตามคูลลิ่งคลาวด์และยู่หลัวผ่านวงเวทย์ของเมือง เข้าไปภายในเมืองอุกกาบาต

นี่คือเมืองหลักของยุคโบราณงั้นหรอ ?

เมื่อซือเฟิงก้าวเท้าเข้ามาในเมืองอุกกาบาต ความรู้สึกสบายก็เข้าห่อหุ้มร่างกายของเขาทันที

ความรู้สึกสบายนี้มันแตกต่างจากความรู้สึกสบายที่เขาได้รับเมื่อเข้าไปในสถานที่ที่มีความหนาแน่นของมานาสูง การเข้ามาในเมืองนี้มันทำให้เขาได้รับรู้โลกได้อย่างชัดเจนขึ้น ในตอนที่เขามาถึงยุคโบราณครั้งแรก เขารู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างมากของเขากับมานา เวทย์มนต์ และธาตุของเวทย์มนต์ทั้งหมด หากเขาได้ฝึกฝนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เขามั่นใจว่าไม่เพียงแต่เขาจะสามารถทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของร่างมานาได้ แต่ประสิทธิภาพในการเรียนรู้วงเวทย์ สกิล และเวทย์มนต์ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองหรือสามเท่าด้วย นี่มันคือสถานที่ที่น่าอัศจรรย์สำหรับการพัฒนาอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อมภายในเมืองอุกกาบาตนั้นดีกว่าภายนอกอีกมาก ….

ในความเป็นจริงซือเฟิงมีลางสังหรณ์ที่ว่า ถ้าเขาใช้คำแนะนำมรดกที่นี่ เขาน่าจะสามารถทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของร่างมานาของเขาได้ภายในไม่กี่วัน ….

“วงเวทย์ป้องกันของเมืองแห่งนี้ มันถูกสร้างโดยมนุษย์ที่เป็นระดับนักบุญ ซึ่งไม่เพียงแต่มันจะมีคุณสมบัติในการป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่มันยังจะช่วยปรับปรุงการรับรู้มานาของผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองด้วย อย่างไรก็ตามการจะคงมันไว้ก็จำเป็นจะต้องใช้คริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ค่าเข้ามันจึงโหดอย่างที่เห็นนั่นแหละ” ยู่หลัวอธิบาย “ที่จริงแล้วตลาดการค้าขนาดใหญ่ของเมืองอุกกาบาต และการไหลเวียนเข้ามามากขึ้นของประชากร มันก็ช่วยลดค่าเข้าเมืองไปมากแล้ว ตอนแรกเมืองเรียกเก็บค่าเข้าเมืองเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เจ็ดถึงแปดชิ้นต่อคนด้วยซ้ำ”

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณสามารถปรับปรุงการควบคุมมานาของคุณไปได้อย่างมาก” ซือเฟิงกล่าวอย่างตระหนักถึงหลายสิ่ง เมื่อเขามองไปที่ยู่หลัว

ยู่หลัวนั้นได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเธอได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และการควยคุมมานาของเธอก็มาถึงมาตราฐานของปรมาจารย์นักเวทย์แล้ว หากค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเธอไปถึงขั้นสี่เมื่อไหร่ เธอจะสามารถสร้างโดเมนมานาของตัวเองได้ และเธอก็จะขึ้นไปยืนอยู่ในจุดสูงสุดของเหล่าผู้เล่นขั้นสามแน่นอน

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงมาตราฐานของปรมาจารย์นักเวทย์เลยในระยะนี้ของเกม และแม้ว่ายู่หลัวจะมีความสามารถมาก แต่เธอก็ยังคงจัดว่าห่างไกล หากต้องถูกนำไปเทียบกับอควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรว และพูดกันตามตรงแล้วก่อนซือเฟิงจะมาทั้งสองก็อยู่ครึ่งก้าวก่อนเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์นักเวทย์แล้ว ดังนั้นยู่หลัวจะแซงหน้าทั้งสองคนได้อย่างไร ?

คำอธิบายเดียวสำหรับเรื่องนี้ที่ทำให้ยู่หลัวขึ้นไปเหนือกว่าในเรื่องนี้ก็คือสภาพแวดล้อมของที่นี่

“อืม ฉันได้ปรับปรุงตัวเองไปอย่างมาก หลังจากมาถึงที่นี่ ….” ยู่หลัวพูด ขณะที่เธอพยักหน้าอย่างมั่นใจ

“ใช่แล้ว ยู่หลัวนั้นปรับปรุงตัวเองไปได้อย่างรวดเร็วมากๆจนตอนนี้เธอติดอันดับหนึ่งในห้าฮีลเลอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของกองอัศวินแล้ว” คูลลิ่งคลาวด์กล่าวพลางพยักหน้า แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความเห็นที่สูงมากนักในด้านอื่นๆของยู่หลัว แต่เธอก็ยอมรับยู่หลัว และประเมินยู่หลัวไว้สูงอย่างแท้จริง เมื่อพูดถึงหน้าที่ของฮีลเลอร์

“จริงๆแล้วทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคำสอนของท่านหญิงแองเจลิก้า” ยู่กลัวกล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและขอบคุณ เมื่อเธอพูดถึงแองเจลิก้า เทเรซ่า “แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถทำเควสในครั้งนี้ให้สำเร็จได้ หากเราทำสำเร็จ ท่านหญิงแองเจลิก้าอาจกลายเป็นลอร์ดผู้ปกครองเมืองอุกกาบาตได้เลย และถ้าเมืองนี้อยู่ภายใต้การปกครองของท่านหญิงแองเจลิก้า เมืองนี้จะต้องเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีกมาก และได้รับการอัพเกรดกับจัดระดับให้อยู่ในประเภทเมืองหลักขั้นสูงแน่นอน”

“หื้ม ? นี่เธอพยายามทำเควสแบบไหนกัน ?” ซือเฟิงถามอย่างสงสัย

เควสระดับเทพนิยายที่อ่อนแอของเขาระบุว่าเขาต้องช่วยให้แองเจลิก้า เทเรซ่ากลายเป็นลอร์ดผู้ปกครองเมืองอุกกาบาต และตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเบาะแสในการจะทำแบบนี้ได้ มันจึงทำให้เขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากๆ

“มันก็ไม่มีอะไรมาก และ ณ จุดนี้ทุกคนในเมืองนี้ก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ….” เนื่องจากซือเฟิงแสดงความสนใจในหัวข้อนี้ คูลลิ่งคลาวด์จึงทำการอธิบายอย่างช้าๆว่า “เมืองอุกกาบาตนั้นได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆหลายร้อยปีแล้ว ซึ่งนี่มันทำให้จำนวนประชากร และขนาดการดำเนินงานทั้งหมดของเมืองมาถึงคอขวดแล้ว และท่านลอร์ดผู้ปกครองเมืองคนเก่าก็ได้ทำการสละบัลลังก์เมื่อเร็วๆนี้ โดยในฐานะหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแห่งลอร์ดผู้ปกครองเมือง ท่านหญิงแองเจลิก้านั้นก็ปราถนาที่จะปรับปรุงเมืองอุกกาบาต”

“ในขณะเดียวกัน มันก็มีอยู่สองวิธีที่จะทำให้เมืองอุกกาบาตพัฒนาต่อไปได้ วิธีแรกคือการขยายเมือง อย่างไรก็ตามวงเวทย์ของเมืองนั้นได้รับการสร้างขึ้นเป็นการส่วนตัวโดยท่านนักบุญ และมันไม่มีใครในเมืองที่จะสามารถแก้ไขกับขยายขนาดของมันได้ และวิธีเดียวที่จะสามารถแก้ไขกับขยายขนาดของวงเวทย์ได้ก็คือการไปที่เมืองศักสิทธิ์และเข้าพบกับท่านนักบุญเท่านั้น อย่างไรก็ตามโอกาสในการที่จะเดินทางไปถึงเมืองศักสิทธิ์ให้ได้มันก็ยากมากๆแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการไปขอเข้าพบคนระดับนักบุญเลย”

“ดังนั้นท่านหญิงแองเจลิก้าจึงได้เลือกจะใช้วิธีที่สอง ซึ่งนั่นก็คือการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแกนวงเวทย์ของเมือง ซึ่งมันจะเป็นการอัพเกรดวงเวทย์ของเมืองขึ้นไปอีกขั้น เมื่อเร็วๆนี้เราได้รับข่าวมาว่ามีมังกรเด็กขั้นสี่ปรากฎตัวขึ้นที่เนินเขาผีไฟ โดยถ้าเราสามารถล่าและฆ่ามังกรเด็กตัวนี้ได้ และรับเอาตามังกร กับคริสตัลมังกรมาได้ เราก็จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับแกนวงเวทย์ของเมืองได้ แต่ว่า ….”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ คูลลิ่งคลาวด์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ….

นับประสาอะไรกับการไปล่าและฆ่ามังกรเด็กขั้นสี่ พวกเขาตกเป็นเหยื่อของการซุ่มโจมตีของกองทัพปีศาจไม่นานหลังจากที่ออกจากเมืองอุกกาบาต และสิ่งที่ตามมามันก็เป็นอย่างที่ซือเฟิงได้เห็น
เดินทางไปยังเมืองศักสิทธิ์เพื่อเข้าพบกับคนระดับนักบุญ หรือไม่ก็ฆ่ามังกรเด็กขั้นสี่ให้ได้งั้นหรอ ? ซือเฟิงส่ายหัว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นออกมา เมื่อได้ฟังคำพูดของคูลลิ่งคลาวด์ ….

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเมืองศักสิทธิ์อยู่ที่ไหน เนื่องจากเมือง NPC ของที่นี่ไม่มีวงเวทย์เทเลพอร์ตคอยเชื่อมโยงกัน ดังนั้นการที่พวกเขาจะเดินทางไปยังเมืองศักสิทธิ์ให้ได้จริงๆมันก็ใช้เวลาหลายเดือน และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาจะทำสำเร็จ และไปถึงเมืองศักสิทธิ์ได้จริงๆ แต่การจะเข้าพบกับคนระดับนักบุญที่เป็นผู้จัดการสร้างวงเวทย์ของเมืองอุกกาบาตมันก็ยังเป็นไปได้ยากอยู่ดี

สำหรับทางเลือกอีกทางหนึ่งในการจะฆ่ามังกรเด็กขั้นสี่นั้นก็เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะสุดๆเช่นกัน

มังกรเด็กขั้นสี่นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่าแม้แต่เจ้าชายปีศาจ และมันเป็นตัวตนที่แทบจะสามารถเทียบกับสิ่งมีชีวิตขั้นห้าได้เลย

เมื่อซือเฟิงอยู่ในดินแดนมรดกขั้นสี่ของเขา แม้ว่าเขาจะไปถึงขั้นสี่ได้แล้ว และได้รับสกิลมรดกขั้นสี่มาแล้ว แต่เขาก็สามารถต่อสู้ได้แค่กับมังกรเด็กขั้นสามเท่านั้นแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากสกิลเบอเซิกร์ของเขาแล้วก็ตาม การจะฆ่ามังกรเด็กขั้นสามยังคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา

แต่ตอนนี้แองเจลิก้า เทเรซ่ากับวางแผนที่จะไปล่าและฆ่ามังกรเด็กขั้นสี่ ในตอนที่ตัวเธอเองยังอยู่แค่ในขั้นสี่เท่านั้น หากให้พูดอย่างชัดเจน การกระทำของเธอนี่มันไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเลย

ยิ่งไปกว่านั้นการฆ่ามังกรเด็กขั้นสี่แบบนี้ก็ยังจำเป็นจะต้องทำให้รวดเร็วที่สุดด้วย เพราะมังกรนั้นไม่ได้มีนิสัยที่ชอบอยู่เป็นหลักแหล่ง และในระยะยาวหากแองเจลิก้า ไม่สามารถจะฆ่ามังกรเด็กขั้นสี่ได้ มันก็จะบินไปที่อื่นแน่นอน และทีนี้มันก็จะเหลืออยู่วิธีเดียวก็คือการต้องไปพบนักบุญผู้สร้างวงเวทย์ของเมืองอุกกาบาตให้ได้

แน่นอนเลยว่านี่มันไม่ใช่เควสที่จะสำเร็จได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเป็นพิเศษกับสถานการณ์นี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อรางวัลมีมากอย่างนั้น เควสมันก็จะต้องไม่ง่ายอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เขายอมรับเลยคือแองเจลิก้า เทเรซ่านั้นตรงกับตำนานที่ถูกเล่าไว้มากๆที่ว่าเธอเป็นผู้กล้าหาญ และเป็นนักรบที่ยืนหยัดต่อสู้กับมังกร

ซึ่งหากแองเจลิก้าประสบความสำเร็จในการฆ่ามังกรเด็กขั้นสี่ ในตอนที่ตัวเธอเองก็ยังอยู่ในขั้นสี่นั้น ความสำเร็จของเธอมันก็ควรค่าให้จัดอยู่ในระดับตำนานอย่างแท้จริง

สิ่งเดียวที่ซือเฟิงทำได้ในตอนนี้คือการมองหาโอกาสในการปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขา และคนของเขา ไม่งั้นเขาจะหมดหนทางอย่างแท้จริงในการจะจัดการกับมังกรเด็กขั้นสี่

ภายใต้การนำของคูลลิ่งคลาวด์ และยูหลัว ซือเฟิงและคนอื่นๆก็ได้มาถึงตลาดการค้าของเมืองอุกกาบาต

เมื่อไลฟ์เลสธอร์นและคนอื่นๆได้เห็นไอเทมที่วางขายอยู่ในตลาด ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ สกุลเงินพื้นฐานที่ใช้ในตลาดแห่งนี้คือคริสตัลเวทย์มนต์ และมันไม่มีสกุลเงินเหรียญอยู่ที่นี่เลย

อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องยอมรับเลยจริงๆว่ายุคโบราณของ God domain นั้นมันน่าทึ่งมากๆ ที่นี่มัมี NPC ที่ขายอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคให้กับผู้เล่นได้ใช้จริงๆ เพียงแต่ว่าราคามันค่อนข้างจะสูงหน่อยก็เท่านั้น โดยอุปกรณ์ระดับอีปิคเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบนั้นถูกขายในราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สองหมื่นชิ้น

ซึ่งหากแปลงมันเป็นเหรียญทองในยุคปัจจุบัน มันจะมีมูลค่าเท่ากับแปดพันเหรียญทอง โดยหากต้องใช้เงินแปดพันเหรียญทองในการซื้ออุปกรณ์ระดับอีปิคเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบหนึ่งชิ้นนั้น บรรดาซุเปอร์กิลต่างๆจะแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป หากราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ แถมนอกเหนือจากพวกอุปกรณ์กับอาวุธระดับอีปิคแล้ว มันยังมีอาวุธและเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานปรากฎขึ้นในบ้านประมูลของเมืองอุกกาบาตเป็นครั้งคราว ซึ่งผู้ที่จะมีสิทเข้าประมูลไอเทมระดับนี้นั้นก็จะต้องมีคริสตัลเวทย์มนต์เก็บสะสมไว้อย่างน้อยสามแสนชิ้น เพราะส่วนใหญ่นั้นเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมักจะถูกประมูลขายไปในราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์มากกว่าสี่แสนชิ้น

ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์เลสธอร์นหรือซือเฟิง พวกเขานั้นก็อดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นขอทาน หลังจากเข้าสู่เมืองอุกกาบาตมา แม้ว่าซือเฟิงจะพกคริสตัลเวทย์มนต์ติดตัวมาด้วย แต่มันก็จำนวนแค่ราวห้าหมื่นชิ้นเท่านั้น ซึ่งนี่มันก็ทำให้เขาสามารถซื้ออุปกรณ์ระดับอีปิคได้อย่างมากที่สุดสองชิ้นเท่านั้นที่นี่ ….

แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามากที่จะได้รับคริสตัลเวทย์มนต์ที่นี่ เนื่องจากที่นี่ใช้คริสตัลเวทย์มนต์เป็นสกุลเงินหลัก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเควส การออกล่ามอนสเตอร์ หรือการแลกเปลี่ยนไอเทมหรือขายวัสดุให้กับ NPC ก็จะเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ทั้งหมด ดังนั้นผู้เล่นในท้องถิ่นจึงคิดว่าราคาไอเทมระดับอีปิค และเศษชิ้นส่วนไอ
เทมระดับตำนานนั้นมันสมเหตุสมผล

หลังจากเดินเล่นด้วยกันอยู่หลายชั่วโมง คูลลิ่งคลาวด์ก็บอกลากลุ่มของซือเฟิง เนื่องจากเธอยังมีเรื่องที่ต้องจัดการในฐานะหัวหน้ากองอัศวินท้องถิ่น สำหรับยู่หลัว เธอก็อยู่กับกลุ่มของซือเฟิงต่อเพื่อทำหน้าที่เป็นไกด์ให้

ภายในโรงแรมชั้นสูงของเมืองอุกกาบาต ….

การเข้าพักในห้องธรรมดาที่นี่นั้นมีค่าใช้จ่ายเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ห้าสิบชิ้นต่อวัน ในขณะที่ห้องระดับไฮเอนด์นั้นมีราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สองร้อยชิ้นต่อวัน โดยซือเฟิงได้เลือกจะเข้าพักที่ห้องไฮเอนด์อย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นกลุ่มของซือเฟิงห้าคน และยู่หลัวก็ได้เข้ามานั่งอยู่ในห้องไฮเอนด์ของโรงแรม

“เอาล่ะ เริ่มเล่ามาเลย คุณมาถึงที่นี่นานแค่ไหนแล้ว ?” ซือเฟิงถามอย่างจริงจัง ขณะที่เขามองไปยังยู่หลัว “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผู้เล่นที่นี่ ?”