ซินเหลยไม่อยากพูด ทุกคนก็ไม่ถามอีก ยังไงเขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำอะไรก็รู้อยู่แก่ใจ
ตอนเย็นซินชานและซินห้าวกลับมา พอเห็นซินเหลยก็ดีใจมากเป็นเรื่องปกติ
ตอนกลางคืน ผู้ชายบ้านซินต่างดื่มกันหลายแก้ว มีเฉินเยี่ยนและไป๋ซิ่วเหมยทำอาหาร มื้อนี้กินกันเกือบสามชั่วโมงกว่าจะเลิกรา
ออกมาจากห้องโถง ด้านนอกดวงดาวเต็มท้องฟ้าแล้ว
ซินชาน ซุนหม่านเซียง และซินเหลยต่างไปพักผ่อนที่ฝั่งบ้านใหม่ของซินห้าวและเฉินเยี่ยน
ปูเตียงเรียบร้อยแล้ว ซุนหม่านเซียงกลับไม่อยากนอน ดึงซินเหลยไว้พูดคุยด้วยไม่หยุด
เฉินเยี่ยนเห็นซินเหลยทั้งเหนื่อยทั้งง่วง อีกทั้งยังดื่มเหล้าเข้าไปอีก ตาจะปิดอยู่แล้ว หาวติดต่อกันหลายครั้ง แต่เขากลับไม่รำคาญเลย
ฝั่งเฉินเยี่ยนก็กล่อมเยว่เยว่และเช่อเช่อจนหลับ ตอนที่ปิดประตูยังได้ยินเสียงพูดคุยอยู่เลย เธอเลยไปดูหน่อย
ซินเหลยใกล้จะล้มลงไปบนเตียงแล้ว แต่ซุนหม่านเซียงยังพูดไม่หยุด เหมือนว่าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งปีมานี้ให้หมด
“แม่ ซินเหลยยังอยู่อีกหลายวัน วันนี้ดึกมากแล้ว แล้วเขาก็นั่งรถมาตั้งหลายวัน ต้องเหนื่อยมากแน่ นอนกันก่อนเถอะ มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุย”
เฉินเยี่ยนเสนอแนะ
ซุนหม่านเซียงอยากจะว่าเฉินเยี่ยนเรื่องมาก แต่เห็นลูกชายตาแดง สภาพเหนื่อยล้าแบบนั้น เธอเลยหยุดพูด ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าซินเหลยง่วง แต่เธออยากจะคุยกับลูกมาก
ลูกสะใภ้ก็พูดถูก ซินเหลยยังอยู่อีกหลายวัน ลูกชายเหนื่อยแล้ว ควรให้เขาไปนอน
แบบนี้ซุนหม่านเซียงเลยไปพักผ่อน
ซินเหลยพยักหน้าขอบคุณเฉินเยี่ยน เขาง่วงมากจริงๆ แต่เขาก็รู้สภาพจิตใจของแม่ ไม่กล้าจะบอกว่าจะไปนอน ตอนนี้พี่สะใภ้ออกหน้าช่วยพูดแทนเขาแล้ว เขาจะได้นอนอย่างสบาย
ที่คิดไม่ถึงคือวันที่สามเฉินหู่และซินเหวยก็กลับมาเช่นกัน พวกเขาไม่ได้โทรมา เห็นพวกเขาเข้ามาในบ้าน ทุกคนทั้งตกใจและดีใจ
เฉินเยี่ยนพบว่าเฉินหู่ผอมลงกว่าเดิมหน่อย ดูแล้วโตขึ้นไม่น้อยเลย แต่หน้าตายังดูใช้ได้อยู่
ซินเหวยก็ผอมลง แต่เหมือนเฉินหู่ เขาไม่ได้ดูอิดโรย
ถามไถ่กันแล้ว ก็รู้ว่าเฉินหู่และซินเหวยอยู่ที่ปักกิ่ง ถึงแม้ว่าจะลำบาก แต่เทียบกับคนที่ไปทำงานทั่วไปแล้วยังดีกว่าหน่อย เพราะพวกเขามีที่อยู่ แค่มีเงินพอกินข้าวก็ดีแล้ว
ทั้งสองคนได้เป็นนักแสดงตัวประกอบหนังสองเรื่อง และได้เรียนรู้กับคนไม่น้อยเลย
ต่อมาพวกเขาไปลองเทสหน้ากล้อง มีคนถูกใจเฉินหู่ ให้เขาลองเล่นบทหนึ่ง แล้วยังเล่นอีกหลายบท เดิมทีตกลงกันแล้ว แต่ตอนซินเหวยเทสหน้ากล้องมีจุดที่แสดงไม่ดี เลยไม่ถูกเลือก
ก็เป็นเรื่องปกติของการเทสหน้ากล้อง ย่อมมีคนที่ถูกเลือก แต่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกลับด่าซินเหวยว่าทำเขาเสียเวลาหลังซินเหวยออกมาแล้ว ว่าคนอย่างซินเหวยนั่นไร้ประโยชน์ต่างๆ นานา เฉินหู่ได้ยินก็เถียงแทนซินเหวย ฝั่งนั้นกลับว่าคนอย่างซินเหวย พวกเขาก็ต้องการเท่าไรก็มี ชีวิตนี้อย่าหวังจะมีชื่อเสียง ถ้าโด่งดังได้ หมูคงปีนต้นไม้ได้แล้ว เฉินหู่โมโหมากเลยทะเลาะกันขึ้นมา
คนนั้นก็โกรธมาก บอกว่าเฉินหู่ยังไม่ดังเลย ก็ออกหน้าแทนคนอื่นแล้ว ใจกว้างขนาดนี้ ไม่ดูเลยว่าตัวเองมีหน้ามีตาไหม
เฉินหู่เลยตอบโต้กลับไป คนนั้นเลยบอกเฉินหู่ บอกว่าเฉินหู่โดนตัดสิทธิ์แล้ว ล่วงเกินเขา อย่าคิดจะเล่นหนังเลย
เฉินหู่บอกว่าเขาไม่เสียดาย บอกว่าเขากับซินเหวยไม่เล่นหนังเรื่องนี้ก็ไม่อดตาย เขาบอกว่าเขาและซินเหวยจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ให้คนคนนี้รู้ ว่าพวกเขาไม่ไร้ประโยชน์ จะทำให้คนนี้เสียใจทีหลัง จากนั้นก็ลากซินเหวยไป เขายอมไม่รับงาน ไม่มีชื่อเสียง ดีกว่ายอมให้คนมารังแกพี่น้องเขา
ถึงแม้เฉินหู่จะเสียโอกาสนี้ไป แต่เขาก็ไม่เสียใจเลย เทียบกับการมีชื่อเสียงแล้ว เขาให้ความสำคัญกับพี่น้องมากกว่า อีกทั้งเขาเชื่อ ว่าครั้งนี้ไม่มีโอกาสแล้ว ยังมีครั้งหน้าอีก ขอแค่พวกเขาขยัน จะต้องประสบความสำเร็จแน่
ซินเหวยรู้สึกเสียใจ คิดว่าเป็นเพราะตัวเองที่ลำให้เฉินหู่ลำบากไปด้วย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ได้พบเจอคนมากมาย รู้ว่าถ้าอยากโด่งดังนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย อีกอย่างรูปลักษณ์ภายนอกเขาและเฉินหู่ไม่ได้โดดเด่นเท่าซินเหลย
แต่ซินเหวยก็เช้าใจเฉินหู่ ดังนั้นเขาเลยไม่ได้โน้มน้าวเฉินหู่ ทั้งสองคนคิดถึงซินหรูเยว่และซินเช่ออายุครบหนึ่งขวบแล้ว พวกเขาเลยตัดสินใจกลับมาเยี่ยม อยู่หลายวัน แล้วค่อยกลับไปใหม่
ทุกคนไม่ได้พูดอะไร เด็กใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกนั้นไม่ง่ายเลย ทางเดินของพวกเขาพวกเขาต้องเดินเอง คนที่บ้านช่วยพวกเขาไม่ได้ แต่กลับมาที่บ้าน ก็แค่ให้ความอบอุ่นพวกเขาก็พอแล้ว
ซินเหลยก็ตบบ่าพวกเขา ให้กำลังใจพวกเขา สามคนให้เบอร์ติดต่อ แล้วบอกว่าอนาคตจะช่วยเหลือกัน มีโอกาสก็จะบอกกัน
เห็นเฉินหู่และซินเหลยไม่มีจิตใจท้อถอย แต่กลับมีความมุ่งมั่นแรงกล้าที่จะต่อสู้ เฉินเยี่ยนก็วางใจ เธอแค่กลัวว่าเฉินหู่และซินเหวยจะขาดความมั่นใจ ตอนนี้ดูแล้ว เฉินหู่และซินเหวยนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดไว้อีก
กินข้าวกันที่บ้านซินแล้ว เฉินหู่ก็กลับไป เฉินเยี่ยนคิดว่าไม่ได้กลับไปบ้านเฉินครึ่งเดือนแล้วเหมือนกัน เลยอุ้มเด็กสองคนแล้วบอกซินห้าวว่าจะกลับไปพร้อมกับเฉินหู่ ซินเหวยก็จะตามไปด้วย ซินเหลยบอกไม่มีอะไรก็จะไปเยี่ยมเหมือนกัน ปรากฏว่าพวกเขาไปด้วยกันหมดเลย
คนบ้านซินไม่มีใครห้าม เด็กหลายคนนี้สนิทกันดี พวกเขาก็ดีใจที่ได้เห็น
มีเพียงซุนหม่านเซียงที่ไม่ค่อยพอใจ เธออยากจะให้ลูกชายไม่ไปไหนเลย อยู่กับเธอ แต่ทุกคนดูดีใจ แล้วลูกชายก็เป็นคนเสนอตัวไปบ้านเฉินเอง เธอเลยพูดอะไรไม่ได้
เฉินจงและหวางนิวเห็นเฉินหู่กลับมา ความดีใจนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย หวางนิวกับซุนหม่านเซียงร้องไห้เหมือนกัน แต่เธอไม่ได้เป็นหนักเท่าซุนหม่านเซียง แล้วยังทำอาหารกับเฉินเยี่ยนและหลัวเหมยด้วยกันเพื่อต้อนรับ
กินข้าวบ้านเฉินเสร็จ ก็อยู่กันต่ออีกสองชั่วโมง แล้วทุกคนก็กลับบ้านซิน
มีคนไม่น้อยในหมู่บ้านต้องมาทั้งสองบ้าน มาดูซินเหลย ซินเหวยและเฉินหู่ พอคนนี้ไป คนนั้นก็มา ไม่ต้องพูดถึงว่าคึกครื้นแค่ไหน
ผ่านไปอีกหลายวัน ซินเหลยกลับไปก่อน จากนั้นเฉินหู่และซินเหวยก็กลับไปปักกิ่งเช่นกัน ชีวิตของคนบ้านซินและบ้านเฉินก็กลับมาเป็นปกติสุขเหมือนเดิม
หลังซินเหลยไปซุนหม่านเซียงเศร้าซึมมาก ทุกวันเลยหันมาสนใจเยว่เยว่และเช่อเช่อเต็มที่
ทุกครั้งที่เฉินเยี่ยนจะเข้าไป ซุนหม่านเซียงจะคิดว่าเฉินเยี่ยนมาแย่งเด็กไปจากเธอ ทำเอาเฉินเยี่ยนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี นอกจากป้อนนมแล้ว เธอแทบไม่ได้จับลูกเลย
มีซุนหม่านเซียง คุณย่า และป้ารองไป๋ซิ่วเหมยช่วยดูลูก เฉินเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรทำ ตอนกลางวันเธอเลยไปที่ร้านกับซินห้าว
ร้านนั้นใหญ่กว่าตอนเปิดแรกๆ หน่อย กิจการก็ไม่เลวเลย อยู่ในเมืองได้รับการตอบรับจากวัยรุ่นดีมาก
เฉินเยี่ยนมองดูแล้ว การตกแต่งร้านในยุคนี้ถือว่าไม่แย่เลย ความสะอาดก็ใช้ได้ แต่การจัดวางดูธรรมดา พนักงานขายทั้งสามคนดูแล้วใช้ได้อยู่ ไม่ขี้เกียจ ไม่แอบอู้งาน แต่ยังต้อนรับลูกค้าไม่กระตือรือร้นพอ
เฉินเยี่ยนรู้ข้อบกพร่องของคนยุคนี้ โดยเฉพาะพวกรัฐวิสาหกิจ คนขายพวกนั้นจะหน้าบึ้งตึง คุณจะซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ซื้อก็มีคนอื่นซื้อ
ส่วนพนักงานขายร้านพวกเขา ถึงแม้ท่าทีจะดีกว่าพวกรัฐวิสาหกิจ แต่ก็ยังดีไม่มาก