GGS:บทที่ 820 ของเล็กๆน้อยๆ

 

มีเพียงซูจิ้งและคนอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง

ไข่มุกทองคำทั้งแปดที่ทั้งกลมเกลี้ยง สมบูรณ์และมีขนาดที่เท่ากันอยู่ที่ 22 มม. ทั้งหมดนี้หมายถึงอะไรน่ะหรอ?

จะต้องรู้ก่อนว่าไข่มุกทองคำที่กลมเกลี้ยงสมบูรณ์แบบนี้ส่วนใหญ่ขนาดจะอยู่ที่ 14 มม. ถ้ามีขนาดเพิ่มขึ้นมาราคาไม่เพียงจะสูงขึ้นนิดหน่อยแต่ราคาจะสูงขึ้นอย่างมาก

 

ในตลาดซื้อขายเครื่องประดับตอนนี้ขนาดเต็มที่ที่พอจะหาได้นั้นมีขนาดอยู่ที่ 16 มม.เท่านั้น

ไข่มุกที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีการซือขายในตลาดอัญมณีมีชื่อว่าหนันหยาง โดยมีขนาดอยู่ที่ 21 มม. แต่ไข่มุกลูกนั้นมีดีแค่ขนาด เปล่งประกาย และส่องสว่างแต่ว่ารูปทรงไม่สมบูรณ์

แต่กับไข่มุกทองคำทั้งแปดนี้มีขนาด 22 มม. และมีความสมบูรณ์ในทุกด้าน แค่เพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอต่อการสั่นสะเทือนวงการอัญมณีแล้ว แต่นี่มีถึงแปดเม็ดเลยนะ

 

หวังซือหยาได้ทำการดึงเสื้อของซูจิ้งจนแทบจะยืดและขยิบตาให้เขา

ดูเหมือนว่าของขวัญชิ้นนี้จะเข้าเนื้อ(สูญเงินมหาศาล)ซูจิ้งอีกแล้ว ทั้งๆที่ซูจิ้งเองก็เพิ่งจะบอกออกมาว่าเป็นของขวัญธรรมดาเท่านั้น

การที่เขาทำอย่างนี้ถือได้ว่าเขานั้นไม่ได้ฟังอะไรเลยแถมยังทำยิ่งกว่าเดิมซะอีก

 

เหล่าผู้หญิงที่อยู่ในงานทั้งหลายรวมถึงเฉิงหนาน ลูกสาวของเตียนจงยี่ และภรรยาของหวู่ฉิงติง ต่างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไข่มุกทั้งแปดแบบตาไม่กระพริบ และในดวงตาของพวกเธอเป็นประกายด้วยแสงอันแวววาวของไข่มุก

พวกเธอต้องการเก็บไข่มุกทั้งแปดนี้ไว้เป็นของตัวเองและนำพวกมันไปทำสร้อยไข่มุกทองคำแล้วนำมาสวมใส่ให้ส่องประกายรอบคอของพวกเธอ

 

แม้แต่พวกผู้ชายรวมถึงผู้อาวุโสหวู่ ถังฮ่าว เตียนจงยี่ และซุนหยูเฮงเอง ทั้งหมดไม่อาจจะห้ามความรู้สึกที่อยากได้ไข่มุกทองคำทุกเม็ดมาครอบครอง

ไข่มุกทั้งแปดเม็ดนี้ถ้านำมาขายแน่นอนว่าราคาย่อมสูงเฉียดฟ้า ถ้ามอบให้แก่ผู้หญิงไม่มีทางที่เธอคนนั้นจะไม่สั่นคลอนหัวใจไปได้

 

“คุณซู คุณไปได้ไข่มุกทองคำทั้งแปดเม็ดนี้มาจากไหนกัน อย่าบอกนะว่าไปงมมา พวกเราไม่ใช่เด็กสามขวบหรอกนะ”

ผู้อาวุโสหวู่อดไม่ได้ที่จะถามออกมา รวมถึงคนอื่นเองที่รอคอยคำตอบจากเขาเช่นกัน

 

“ผมขอโทษด้วยก็แล้วกัน ความลับทางการค้าน่ะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ไข่มุกทองคำทั้งแปดนี้แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้ไปงมเก็บมาแต่ประการใด โลกนี้ไม่มีทางมีของล้ำค่าเช่นนี้หรอก

เขานั้นได้มาจากหอยลายเสือที่ได้มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตก

หลังจากที่เขาค้นพบว่าหอยลายเสือนั้นทำอะไรที่สุดยอดได้บ้าง เขาจึงตัดสินใจชุบเลี้ยงพวกมันเป็นอย่างดี

เขาให้พวกมันกินปลาเขี้ยวหยกเพื่อเร่งการเจริญเติบโต และน่านอนว่าไข่มุกที่อยู่ข้างในหอยลายเสือเหล่านี้ก็เร่งกระบวนตามไปด้วยเช่นกัน

แต่เขานั้นได้กะเวลาพลาดไปทำให้ไข่มุกที่ได้มีขนาดใหญ่กว่า 22 มม. ซึ่งมันถือได้ว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีในตลาดอัญมณี

เอาจริงๆเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหากโลกรับรู้การมีอยู่ของไข่มุกนี้จะวุ่นวายกันขนาดไหน

นี่ขนาดเขาไม่ได้ตัดออกมาทั้งหมดนะเพราะต้องการให้ไข่มุกได้เจริญเติบโตต่อไป

 

ซูจิ้งในตอนนี้ค่อนข้างจะชำนาญในการตัดไข่มุกออกมาในระดับนึงแล้ว

ด้วยการที่เขาสามารถบังคับให้กาบฝาของหอยลายเสือพวกนี้เปิดเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้เขานั้นสามารถตัดไข่มุกออกมาโดยที่ตัวหอยไม่ได้เกิดอันตรายแต่อย่างใด หลังจากตัดออกมาแล้วพวกหอยเองก็ยังมีชีวิตอยู่

ด้วยวิธการนี้จะทำให้เหล่าหอยลายเสือเติบโตไปได้เรื่อยๆพร้อมทั้งผลิตไข่มุกไปด้วย ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่เมื่อต้องการไข่มุกจะต้องฆ่าหอยตัวนั้นทิ้งไป

 

เมื่อได้ยินซูจิ้งพูดว่าเขาได้มาโดยมีเส้นทางลับของเขาเอง ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหน้าตึงไปตามๆกัน

ไข่มุกทองคำแหกกฎแบบนี้ถือว่าหาได้อยากยิ่งในรอบร้อยปี แต่ซูจิ้งกับถือครองเอาไว้ถึงแปดเม็ด

แถมยังมีช่องทางพิเศษในการได้มันมาอีก พวกเขาเองก็อยากจะรู้จักช่องทางพิเศษของซูจิ้งที่ว่านี้จนแทบจะบังคับขู่เข็ญเอามาจากเขา

แต่ในเมื่อซูจิ้งออกปากมาเองว่าไม่พูดถึง พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับมันเพราะไม่มีใครจะไปกล้าพอจะหาเรื่องกับเขาได้

 

“ผู้ว่าการหู่ครับ ผมหวังว่าคุณจะยอมรับของขวัญชิ้นนี้ไปนะครับ ยังไงก็รับไว้ซักเม็ดก็ยังดี” ซูจิ้งยิ้มออกมา นั่นทำให้ทุกคนหันควับไปยังหู่ซิงหมิงในทันที

 

หากดูจากรูปการแล้วล่ะก็ ผู้ว่าการหู่นั้นสมควรจะไม่ยอมรับของชิ้นนี้อย่างแน่นอน

หากเขารับมันก็จะทำให้คำพูดของเขาเปรียบได้ดั่งเศษกระดาษที่ไร้ค่า ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะหาซื้อไข่มุกแบบนี้จากไหนเลย

แค่ประเมินดูราคาแล้วแน่นอนว่าสูงเฉียดฟ้าอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะพูดยังไง สุดท้ายแล้วไข่มุกนี้ก็เป็นสุดยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง

 

แต่ต่อให้ว่ามาขนาดนี้แล้วเอาจริงๆหู่ซิงหมิงนั้นสามารถรับมันได้โดยไม่มีใครกล้าว่าเขาแม้แต่น้อย

สาเหตุนั้นไม่ใช่เพราะว่าเขามีอำนาจในการห้ามคนอื่นพูดถึงแต่เป็นการที่ไข่มุกทองคำเหล่านี้คือสมบัติอย่างแท้จริง

ยากนักที่มีโอกาสแล้วจะปฏิเสธไปได้

 

หู่ซิงหมิงส่ายหัวของเขาพร้อมน้ำตาคลอเบ้าและได้หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดออกมาว่า “หนุ่มน้อย ผู้คนต่างก็พูดออกมาว่านายนั้นเป็นเจ้าแห่งการให้ของขวัญ คำพูดเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลยดูได้จากของที่นายเอามา

มันผิดกฎจริงๆแน่ไม่อาจฝ่าฝืนได้หรอก ฉันรับไม่ได้ นายเอากลับไปเถอะ”

 

หลังจากพูดออกมาเขาได้ทำการปิดกล่องก่อนที่จะส่งกลับไปยังซูจิ้งด้วยใจที่ไม่อยาก คราวนี้ซูจิ้งไม่ได้ตื้อให้เขารับของแต่อย่างใด

 

เมื่อเห็นฉากนี้เหล่าทุกคนในงานต่างหรี่ตามองซูจิ้งเป็นการใหญ่ ในใจของพวกเขาตอนนี้เตรียมเสนอราคาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่ไข่มุกทองคำ แม้แต่รูปต้นฉบับของหัวใจพระสูตรและพระพุทธพวกเขาเองก็หมายปองด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนหน้านี้ซุนหยูเฮงก็ได้บอกให้พวกเขาได้ฟังแล้วว่าซูจิ้งไม่ต้องการขาย

ถึงแม้จะรู้ว่ามีความหวังอันน้อยนิดแต่ก็ยังอยากลองอยู่ดี

แต่ที่สุดแล้วพวกเขาต่างก็เล็งไข่มุกทองคำเป็นหมายแรกอย่างแน่นอน

พวกเขาคาดหวังว่าซูจิ้งจะยอมขายตราบใดที่พวกเขาให้ราคาสูงพอ แต่ที่แน่ๆพวกเขาจะต้องไม่ทำตรงนี้ในทันทีอล่างแน่นอน

อย่างน้อยๆทันทีที่เลิกงานเลี้ยงวันเกิดของผู้ว่า

 

“อืมมมม งั้นผู้ว่าการหู่ ลองดูชิ้นนี้ก่อนก็แล้วกันครับ” ซูจิ้งนำของชิ้นที่สามออกมา

คนที่อยู่โดยรอบถึงกับตากระตุกในทันทีพลางคิดไปว่า ไม่ว่ายังไงหมอนี่ก็จะต้องให้ของให้ได้เลยสินะ จะจบเมื่อไหร่กันเนี่ย

 

“คุณซู อย่างที่ผมว่าผมขอรับแค่น้ำใจดีกว่านะ ผมรับไม่ได้จริงๆ” หู่ซิงหมิงยกมือขึ้นแล้วพูดออกมา

“มันเป็นแค่ของธรรมดาเองครับ แถมมันยังเหมาะกับคุณมากอีกด้วย อย่าเพิ่งมองข้ามมันไปเลย ผมเสียเวลาพอสมควรเลยนะกว่าจะเตรียมมันได้ ถ้าคุณไม่รับของไว้ซักชิ้นผมคงรู้สึกไม่ดีไปอีกนานเลย”

ซูจิ้งพูดออกมาแล้วยังพูดต่อว่า “ผมเองก็คิดตั้งนานว่าจะเอาอะไรมามอบเป็นของขวัญให้คุณดี ของที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถติฉินนินทาคุณได้ว่าคุณรับของเพราะความละโมบ”

หวังซือหยาหันควับไปยังซูจิ้งในทันทีพร้อมหรี่ตามองเล็กน้อย ถ้าฟังผ่านๆมันก็ดูเหมือนจะดูดีไม่น้อย แต่ถ้าฟังดีๆมันเหมือนกับว่าเป็นการตอบโต้ใครบางคน

 

ความจริงแล้วเธอเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งของขวัญ แต่ในความเป็นจริงนั้นตัวเขาให้ของขวัญคนอื่นนั้นน้อยมากๆ

มันเป็นเรื่องแปลกมากที่เขาจะพยายามยัดเยียดให้ใครซักคนรับของๆเขาขนาดนี้โดยที่ไม่หวังผลอะไร

 

เฉิงหนานและเตียนจงยี่เองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกันเพราะการที่หู่ซิงหมิงไม่ยอมรับของขวัญนั่นมันก็แทบจะบอกได้ว่าพวกเขานั้นพ่ายแพ้

ถึงแม้ทุกคนในงานจะอยากได้ของของซูจิ้งที่พยายามยัดเยียดให้หู่ซิงหมิงมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นกังวลกับของชิ้นที่สามที่ซูจิ้งนำมาด้วยเช่นกัน

นั่นก็เพราะพวกเขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าตัวผู้ว่าการหู่เองก็เริ่มที่จะทนรับสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว

ถึงแม้ว่าผู้ว่าการหู่จะสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าแห่งของขวัญอย่างซูจิ้งจะทนไปได้อีกสักกี่น้ำ

ของขวัญของเขานั้นเอาจริงๆแค่ของธรรมดาก็สามารถทำลายตรรกะของคนทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

 

“ในที่สุด เฮ้อออ คุณซู นี่เป็นของขวัญธรรมดาจริงๆสินะ” หู่ซิงหมิงมองไปยังของขวัญของซูจิ้งอีกครั้ง เขาเองก็เห็นความตั้งใจจริงของซูจิ้งแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธเขาอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้นของขวัญตรงหน้าเขานั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ มันดูเหมือนจะเป็นกรงสัตว์อะไรซักอย่าง เขาเองก็ได้ยินมาว่าซูจิ้งเป็นปรมาจารย์ด้านการฝึกสัตว์ สิ่งนี้น่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง ถ้ามันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ เขาเองก็พร้อมที่จะรับไว้

“เฮ้ออออ ครับ นี่เป็นของขวัญชิ้นธรรมดาที่สุดของผมที่มีในตอนนี้แล้ว” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มออกมา

 

แขกผู้ร่วมงานที่มุงดูอยู่รอบๆก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูใกล้ๆ แต่ผ้าที่คลุมกรงอยู่นั้นยังไม่ถูกเปิดออกจึงยังไม่มีใครเห็นสัตว์ที่อยู่ข้างใน

หากนึกถึงสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆที่เป็นของขวัญได้ก็คงเป็นหนูไม่ก็กระต่าย หู่ซิงหมิงเองก็เกิดปีกระต่าย เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็สมควรจะเป็นกระต่ายเช่นกัน

“ดี งั้นผมขอดูหน่อยนะ” หู่ซิงหมิงนำกรงไปวางไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ดึงผ้าออกมา คนที่ตามมาดูจนล้อมรอบเป็นวงกลมในตอนนี้ สำหรับใครที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ต่างก็ยืนเขย่งเท้าและชะเง้อคอดู