GGS:บทที่ 821 เชื่อก็บ้าล่ะ

 

หู่ซิงหมิงดึงผ้าคลุมสีดำออกไปเผยให้เห็นของที่อยู่ในกรง จริงอย่างที่ทุกคนคิด ของข้างในคือกรงที่มีกระต่ายอยู่ข้างใน

ในตอนแรกทุกคนต่างก็คิดว่ามันคือกระต่ายขาวที่ขนขาวมากจนเมื่อถูกแสงไฟแล้วมันสว่างเรืองรอง มันอยู่นิ่งๆแต่ก็ดูมีชีวิตชีวา

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองดูดีแล้วมันหาใช่กระต่ายที่มีชีวิตแต่อย่างใด แต่มันคือหยกในรูปกระต่ายที่สีขาวและดูมีชีวิตประหนึ่งดังกระต่ายจริงๆ

 

หูของมันชูขึ้นราวกับกำลังฝังเสียงอะไรบางอย่าง หยกรูปกระต่ายนี้มีสีขาวใส ดูอบอุ่นและน่าหลงไหล แต่ข้างในนั้นก็มีสีแดงๆเป็นเส้นๆไปทั่ว ประหนึ่งดังเส้นเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงร่างกายไปทั่วทั้งลำตัว

ถึงแม้มันจะดูน่ากลัวแต่ก็ทำให้รู้สึกประหลาดใจได้ในคราวเดียวกัน

คนที่จ้องมองมันต่างก็ยากที่จะละสายตาจากมันได้ง่ายๆ

 

“พระเจ้า นี่มันหยกฮิตันคุณภาพสูง”

“ดูสีแดงที่อยู่ข้างในนั่นสิ นี่ไม่ใช่ว่ามันคือหยกเลือดพันปีในตำนานงั้นหรอ”

“ถ้ามันเป็นหยกเลือดพันปีจริงมันก็ก้อนใหญ่ไปแล้ว”

“น่ามหัศจรรย์”

“น่ามหัศจรรย์จริงๆที่ได้เห็นงานแกะสลักระดับนี้ แกะได้แม้แต่เส้นขน หนวด แถมดวงตา จนเหมือนกับมีชีวิตจริงๆขนาดนี้”

“การแกะสลักได้ขนาดนี้ต้องเสียหยกไปขนาดไหนกันเนี่ย”

“มันไม่มีทางเป็นหยกแดงเลือดนั่นไปได้หรอก ของปลอมแน่ๆ” มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งโวยวายออกมาและคนอื่นๆต่างก็เห็นด้วยเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าการที่หยกชิ้นนี้จะเป็นหยกเลือดในตำนานนั่นมันก็น่าเหลือเชื่อเกินไป

 

ยิ่งไปกว่านั้นหยกก้อนนี้ยังมีเรื่องน่าสงสัยอีกหลายอย่าง อย่างแรก การแกะเส้นขนและหนวด การที่จะแกะลายละเอียดพวกนี้จำเป็นต้องแกะหยกทิ้งไปเป็นว่าเล่น ถ้าเป็นหยกเลือดในตำนานจริงไม่มีใครหยากทำแน่นอน

อย่างที่สองรอยเลือดนี้ควรจะเริ่มจากข้างนอกเข้าไปข้างใน ไม่ใช่เริ่มจากข้างในซึมออกมาข้างนอกแบบนี้

 

“เดี๋ยวนะ หยกแบบนี้ ฉันว่าฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับหยกเลือดรูปหนูมาก่อนนะ”

“อ้อ อันนั้นฉันจำได้ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวเกี่ยวกับหยกเลือดรูปหนูที่เป็นของซูจิ้งเหมือนกัน”

“พระเจ้า งั้นเจ้าหยกเลือดรูปกระต่ายนี่ก็เป็นของจริงน่ะสิ หยกเลือดรูปหนูนั่นถูกขายในราคา 40 ล้านหยวน

แต่หยกเลือดรูปกระต่ายนี่ใหญ่กว่าแต่รายละเอียดไม่แพ้กันเลย น้ำหนักเองก็สมควรจะหนักกว่าประมาณห้าเท่าได้ ราคาของมันจะสูงแค่ไหนกันเนี่ย”

 

ผู้มาร่วมงานโดยรอบต่างตกตะลึงพร้อมทั้งแสดงท่าทีเหลือเชื่อออกมา

ถังฮ่าว ผู้อาวุโสsวู่และคนอื่นที่มีความรู้เรื่องหยกก็แทรกตัวเข้ามาและทำการตรวจสอบอย่างระเอียดระออ

ยิ่งพวกเขาตรวจสอบมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นเท่านั้น

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ถังฮ่าวก็ได้พูดออกมาว่า “ฉันรับรองได้เลยว่าหยกนี่เป็นหยกเลือดของจริง แถมยังเป็นขั้นสูงที่สุดด้วย”

ทุกคนที่ได้ยินต่างก็หายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง

ที่ผ่านมานั้นหนูหยกเลือดตัวนั้นถูกขายไปในราคา 40 ล้านหยวน และการที่เจ้ากระต่ายนี่หนักกว่า 5 เท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต่างกันแค่ห้าเท่า

ราคาสมควรมากกว่า 5 เท่าอย่างแน่นอน นั่นก็หมายความว่าราคาอย่างต่ำสมควรอยู่ที่ 200 ล้านหยวน

 

คนที่ได้ยินในตอนนี้ต่างก็ย้อนหวนคืนนึกถึงคำพูดที่ซูจิ้งบอกออกมาว่าของทั่วไปชิ้นเล็กๆก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งด่าทอออกมา

ของทั่วไปชิ้นเล็กๆงั้นหรอ เชื่อก็บ้าละ หมอนี่ไม่รู้จักคำว่าของทั่วไป ธรรมดา ชิ้นเล็กๆมั่งเลยรึไงกัน ถึงชิ้นมันจะเล็กแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะธรรมดาทุกชิ้นนะเ…ย

มันก็จริงที่ของชิ้นนี้มันไม่สามารถเรียกว่าของชิ้นใหญ่จริงๆ แต่มูลค่าสูงเวอร์ หากพูดเรื่องราคาแล้วของสองชิ้นก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้เลยซักนิด

ถังฮ่าว เตียนจอยี่ เฉิงหนาน และคนอื่นๆเองต่างก้พูดกันไม่ออก

หวังซือหยาในตอนนี้ใช้มือตบไปที่หน้าผากนึ่งที่จนมีเสียงดังแป๊ะ เธอในตอนนี้ยากจะลากซูจิ้งออกมาไปนั่งอบรมให้ฟังว่าของชิ้นเล็กที่เค้าพูดถึงกันนั้นจริงๆแล้วมันควรจะเป็นแบบไหนกันแน่

ซุนหยูเฮงและคนจากสี่ตระกูลใหญ่ของจังหวัดและคนที่อยู่รอบๆถึงกับไม่รู้ว่าจะสบถออกมาด้วยคำพูดไหนดี

พอคิดว่าซูจิ้งนั้นใจกล้าหน้าด้านหน้าทนเพื่อจะสร้างความชื่นชมต่อหู่ซิงหมิงให้จงได้

หู่ซิงหมิงเองนั้นก็บอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่ยอมรับสมบัติแต่ประการใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วกระต่ายน้อยหยกเลือดตัวนี้ก็ยากปฏิเสธได้ยิ่งนัก

 

“คุณซู นี่คือของเล็กๆที่คุณว่างั้นรึ” หู่ซิงหมิงนั้นในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอีกครั้ง

“ใช่แล้วครับ ชิ้นมันไม่ใหญ่นะ พอดีว่าผมได้ยินมาว่าท่านผู้ว่าการหู่นั้นเกิดปีกระต่ายผมจึงไปหามันมา มันเป็นของชิ้นเล็กๆที่เหมาะกับการตั้งไว้ประดับห้องโถง หรือไม่ก็ห้องนั่งเล่นก็ไม่เลวเลย” ซูจิ้งหยักหน้าและยิ้มออกมา

 

“มันก็จริงที่มันไม่ใหญ่ มันเป็นของชิ้นเล็กๆ แต่มันก็เกินว่าที่ผมจะรับเอาไว้ได้จริงๆ” หู่ซิงหมิงนั้นส่ายหัวอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

คนที่อยู่รอบๆเริ่มที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องซูจิ้ง คุยว่าเขานั้นตื่นเต้นเกินไป แกล้งกัน หรือเข้าใจไปอย่างงั้นจริงๆว่ากระต่ายหยกเลือดนี้เป็นของชิ้นเล็กจริงๆ

ถึงแม้ว่าผู้ว่าการหู่นั้นจะใจแข็งจนน่านับถือ แต่การที่เห็นผู้ว่าหู่ปฏิเสธที่จะรับของขวัญอันเลอค่าแบบนี้พวกเขาต่างรู้สึกเจ้บปวดแทน

 

ฉากนี้ได้ทำให้ผู้อาวุโสหวู่และเหล่านักสะสมที่อยู่ในงานถึงกับตาเป็นประกายอีกตรั้ง

ถ้ากระต่ายหยกเลือดนี้ถูกผู้ว่าการหู่ปฏิเสธจริงๆมันก็จะกลายเป็นโอกาสของพวกเขาไปโดยปริยาย

เอาจริงๆแล้วผู้อาวุโสหวู่เองก่อนหน้านี้ก็อยากได้หนูหยกเลือดไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ตอนนั้นเขาเตรียมตัวไปไม่ดี และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมพลาดอีกต่อไป

“อืมมมมม หากว่าท่านผู้ว่าการฯเห็นว่าของชิ้นนี้ใหญ่ไปล่ะก็ ผมสามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้นะอย่างพวก จักจั่นหยกเลือด นกหยกเลือด ผีเสื้อหยกเลือด หรือแบบอื่นก็ได้แล้วแต่ท่านผู้ว่าฯต้องการ ท่านผู้ว่าคิดว่ายังไงครับ” ซูจิ้งพูดออกมา

เมื่อได้ยินดังนั้นเหล่าคนในงานถึงกับผงะ นอกจากจะมีหนูและกระต่ายหยกเลือดแล้ว หมอนี่ยังมีหยกเลือดแกะสลักแบบอื่นอีกอย่างนั้นหรอ

หมอนี่ที่บ้านผลิตหยกเลือดพันกปีรึไงกันถึงดูไม่มีท่าทีรู้สึกรู้สาอะไรเลยซักนิด

 

ถ้าจะบอกว่าบ้านของซูจิ้งผลิตได้เองก็คงถือว่าได้ล่ะนะ นั่นก็เพราะว่าเขาทำหนูหยกตัวนี้จากผงเวทมนต์ที่เคยใช้ทำหนูหยกมาก่อนหน้าที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ

เขานั้นอยากรู้ว่าหากให้สัตว์อื่นกินดูแล้วผลออกมาจะเหมือนกันรึเปล่าเลยให้กระต่ายตัวนี้ลองกินดู

ผลก็คือกระต่ายกลายเป็นหยกเลือดจริงแต่ปริมาณที่ใช้ผงเวทมนต์นี้ก็มากขึ้นตามซักห้าเท่าได้

แผนการที่เขาอยากจะทำรูปสลักหยกที่เป็นสัตว์ใหญ่จึงต้องล้มพับไปเพราะว่าเขานั้นมีผงนี้อย่างจำกัด หากเขาจำเป็นต้องใช้จริงๆละก็กลัวว่าจะไม่รู้ว่าหาอะไรมาแทนได้

 

“ผมจะไม่ยอมรับมันอย่างแน่นอน ต่อให้หยกเลือดชิ้นนั้นเล็กขนาดไหนก็ตาม ผมของยอมรับด้วยใจแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องให้ของขวัญอะไรผมแล้วล่ะ ผมรู้แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นของชิ้นไหนก็ตาม หากมาจากคุณล้วนแล้วแต่ไม่ธรมดาทั้งนั้น” หู่ซิงหมิงยกมือเชิงห้ามปรามก่อนจะพูดแล้วยิ้มออกมา

“เฮ้ออออ…. ทั้งๆที่สำหรับผมนั้นมันเป็นแค่ของธรรมดาจริงๆ แต่ในเมื่อท่านผู้ว่าการพูดมาขนาดนี้ผมคงต้องเอาทั้งหมดกับไปจริงๆสินะ” ซูจิ้งก้าวเดินเข้าไปเพื่อที่จะนำของทั้งหมดที่เขาขนมากลับไป แต่ด้วยการที่ของนั้นมีหลายชิ้นทำให้เขารีบจนรวบมาจนทำให้มีของที่ยังไม่ได้แกะอีกชิ้นหนึ่งหล่นลงพื้น กล่องๆนั้นแตกออกจนของที่อยู่ข้างในที่มีสีดำกลิ้งออกมา

 

ฉากนี้ดูเป็นธรรมชาติมากเพราะแม้แต่คนอย่างซูจิ้งเองก็สมควรเกิดความผิดพลาดได้อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่กับหวังซือหยาแล้วต่างออกไป เธอมองปราดเดียวก็รู้เลยว่าไม่ใช่ ต่อให้กับคนทั่วไปแล้วมันจะถือว่าธรรมดาแต่กับซูจิ้ง

เขาคือคนที่ไม่ธรรมดา ด้วยทักษะของเขาไม่มีทางที่จะยอมให้สมบัติหล่นลงพื้นโดยไม่มีสาเหตุอย่างแน่นอน

หมอนี่จะเล่นอะไรอีกเนี่ย หวังหยาอดไม่ได้ที่จะระลึกถึงเหตุการณ์ไม่ปกติต่างๆอันน่าสงสัยที่พึ่งจะเกิดไปเมื่อครู่นี้ว่ามีอะไรบ้าง

เหตุผลที่เขานั้นได้ฉายาว่าเจ้าแห่งของขวัญนั่นก็คือของแต่ละชิ้นของเขาล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา การที่จะไม่ให้ของคนที่อยากให้เลยก็รู้สึกว่าไม่สบายใจ

ผู้ว่าการหู่เองก็พูดว่าจะไม่รับของขวัญราคาแพงแต่ซูจิ้งก็ยังพยายามหามายัดเยียด เรื่องนี้ช่างน่าแปลกจริงๆ

 

หวังซือหยาถึงกับต้องเรียกคืนเป้าหมายของการที่มาที่นี่เพื่อคาดเดาว่าซูจิ้งต้องการจะทำอะไรกันแน่

เป้าหมายของเขาก็คือการพยายามสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่าการหู่ ตบหน้าซุนหยูเฮง และการทำให้เตียนจงยี่มีความรู้สึกที่ดีในการร่วมงานกัน แต่เธอเองก็ยังปะติดปะต่อเรื่องกันไม่ได้จนรู้สึกว่าซูจิ้งมีเป้าหมายอื่นแอบแฝง

แน่นอนว่าไม่มีใครในที่นี้รู้จักซูจิ้งดีเท่าเธอ ทำให้ไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกติของซูจิ้งแม้แต่น้อย พวกเขาสนใจแต่ของดำๆที่กลิ้งออมาจากกล่อง ทันทีที่เห็นพวกเขาต่างก็อ้าปากหวอกันออกมา เจ้าลูกบอลนี่มันคืออะไรกันแน่