GGS:บทที่ 822 ตื่นเต้นไปนิด
กล่องของขวัญที่หล่นลงพื้นนั้นดูๆไปแล้วก็ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ตอนแรกถ้าบอกว่าเป็นกล่องใส่เค้กก็ยังเชื่อได้เลย
แต่ไม่คิดว่าข้างในนั้นจะเป็นวัตถุสีดำที่กลิ้งออกมา มันใหญ่ประมาณลูกบาสและผิวที่ดำสนิท บนพื้นผิวนั้นดูมีรอยแตกและผิวบางส่วนก็มีรอยขรุขระ
มันดูเหมือนเหมือนเป็นก้อนหินสีดำมากกว่า แต่เมื่อยิ่งมองใกล้ๆมันก็เหมือนกับว่ามันดูคล้ายๆแก้วเพราะมันเหมือนจะโปร่งใส เมื่อแสงส่องผ่านไปจนเห็นได้ว่าข้างในของมันเป็นสีเขียวที่เข้มจนเกือบดำ
ทุกคนต่างจ้องมองอย่างไม่วางตาพร้อมสงสัยว่ามันคืออะไร
ทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกันว่านี่เองก็สมควรจะเป็นของขวัญที่วูจิ้งเตรียมนำมามอบให้ แต่ดูยังไงก็แค่หินสีดำมากกว่า เอาจริงๆดูจากสภาพแล้วอย่าเรียกว่าเป็นของขวัญเลย ควรจะเรียกว่าหินน่าเกลียดมากกว่า
“เจ้าหินนี่ดูยังไงก็ไม่มีอะไรพิเศษนะ” ผู้อาวุโสหวู่พูดพลางขมวดคิ้ว
“มันดูเหมือนลูกแก้วสีดำนะ อาจิ้งเอามาผิดรึเปล่า” ถังห่าวเองก็ถึงกับสงสัย
หวังซือหยา เฉิงหนาน เตียนจงยี่ ซุนหยูเฮง และคนอื่นๆต่างก็จ้องไปยังหินที่กำลังแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีสงสัย พวกเขาไม่เข้าใจว่าซูจิ้งห่อของแบบนี้มาเป็นของขวัญได้ยังไง
“นี่ฉันไม่มีตารึไงกัน มองยังไงก็ไม่เห็นว่านี่คือสมบัติ”
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนคราวนี้ซูจิ้งจะตาไม่มีแววนะเพราะว่าคราวนี้เอาแค่หินแตกๆมาทำเป็นสมบัติ”
“กรณีนี้น่าสนใจแหะ จะมีสักกี่ครั้งที่เจ้าแห่งของขวัญพลาดได้กัน”
“อย่างนี้เข้าเรียกว่าคนฉลาดก็งงเป็น(สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง) ฉันว่าครั้งนี้คงทำให้ฉายาเจ้าแห่งของขวัญคงต้องมัวหมองแล้ว”
อาจเป็นเพราะซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงมากไปจนทำให้มีหลายคนอิจฉา ครั้งนี้คงทำให้ชื่อเสียงของเขามัวหมองแล้วจริงๆ
“เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่านั่น…” ในขณะที่คนอื่นๆต่างแสดงท่าทีเย้ยหยัน มีเสียงที่แสดงออกด้วยความตื่นเต้นออกมาจากข้างหลัง ชายอ้วนวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเตียนจงยี่ได้ก้าวแหวกฝูงชนออกมาชนิดที่ไม่กลัวใครจะล้มแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ตรงหน้าลูกหินสีดำนั่นเขาจ้องมองลูกหินอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันไปถามซูจิ้งด้วยความตื่นเต้นว่า
“คุณซู นี่มันใช่หินอุกาบาตแก้วที่เคยรำลือกันรึเปล่า”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก อุกาบาตแก้วคืออะไรกัน?
ถังฮ่าว ผู้อาวุโสหวู่ และคนอื่นที่พอมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้างก็ได้เปลี่ยนสายตาที่จ้องมองหินนี้เปลี่ยนไปในทันที แทบได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากตอนแรกที่กำลังจ้องมองขยะ เปลี่ยนเป็นตะลึงอย่างกับเห็นสุดยอดสมบัติในทันที
“ใช่ มันน่าจะใช่อุกาบาตแก้วจริงๆ นี่ฉันลืมไปได้ยังไงกัน” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ประเด็นคือลายละเอียดของมันดีเกินไปแถมยังขนาดใหญ่ขนาดนี้จนทำให้สงสัยว่ามันใช่อุกาบาตแก้วจริงๆรึเปล่า” ผู้อาวูโสหวู่เองถึงแม้จะยังสงสัยแต่ก็แสดงท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย
“ขอผมดูหน่อย” ชายแก่ร่างผอมสูงได้ตรงเข้ามาด้วยท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย ถัวฮ่าวและผู้อาวุโสหวู่เองทันที่เห็นใบหน้าของคนๆนั้นก็รีบหลีกทางให้ทันที
ชายแก่ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีในวงการนักเก็บสะสม เขานั้นเชี่ยวชาญและมีความชอบในเรื่อง ฟอสซิล อุกาบาต และวัตถุแปลกๆ สำหรับด้านอัญมณีในที่นี้ไม่มีใครเทียบทั้งสองได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องอุกบาตพวกเขาเองก็สู้ชายแก่คนนี้ไม่ได้
ชายแก่ร่างผอมสูงนั้นค่อยๆยกอุกบาตแก้วขึ้นมา เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักเลยว่ามันหนักพอสมควร ด้วยการที่หินนี่มีขนาดใหญ่กว่าลูกบาสหากเป็นหินปกติมันสมควรหนักกว่านี้ ชายแก่ประมาณการคร่าวๆว่าถ้านี่เป็นหินธรรมดาสมควรหนักมากกว่า 15 ชั่ง สำหรับนักสะสมอุกาบาตเขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
หลังจากวางหินก้อนนี้ไว้บนโต๊ะ ชายแก่ก็ได้ใช้แว่นขยายและอุปกรณ์อื่นๆที่เขามีอย่างระมัดระวังและละเอียดถี่ถ้วน
ยิ่งเขาตรวจสอบมากเท่าไหร่ ดวงตาของเขาเองก็ยิ่งส่องประกายมากขึ้นเท่านั้น
เขาตื่นเต้นจนทำท่าเหลือบดูรอบๆประหนึ่งกำลังหาทางเอาหินนี้ออกไปจากที่นี่
เมื่อมองแล้วรู้สึกหมดหนทองจึงตัดใจก่อนจะบอกออกมาด้วยเสียงอันกังวาลว่า “หินก้อนนี้สมควรที่จะเป็นอุกาบาตแก้วอย่างไม่ต้องสงสัย”
ถังฮ่าว ผู้อาวุโสหวู่ ชายอ้วนเตี้ยวัยกลางคน ทุกคนที่รู้จักสิ่งนี้ต่างถึงกับหรี่ตาลงในทันที แต่กับคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องต่างกับอยากรู้ แม้แต่หู่ซิงหมิงเองก็อยากรู้จนต้องถามว่า “เฮ้ซิ่ว(ชายแกผอมสูง) อะไรคืออุกาบาตแก้วน่ะ”
“อุกาบาตแก้วมันก็คืออุกาบาตนั่นแหล่ะ ในทางวิทยาศาสตร์นั้น อุกาบาตแก้วก็คือหินอุกาบาตที่ได้รับการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็วในขณะที่ตกลงมา สำหรับเรื่องมูลค่าแล้ว อุกาบาตแก้วถือได้ว่าเป็นวัตถุที่ทรงคุณค่าต่อการวิจัยและเป็นที่ต้องการอย่างสูงพอๆกับคนที่สะสมอุกาบาต” ชายแก่ผอมสูงพูดออกมา
“คุณซิ่ว แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าว่านี่ไม่ใช่แก้วที่นำมาขึ้นทรงเป็นรูปอุกาบาต ผมเองได้ยินมาว่ามีการทำปลอมเยอะอยู่นะ” ผุ้อาวุโสหวู่ถาม
“เอาจริงๆมันก็ไม่ได้สังเกตุได้ยากนะ พวกเราเหล่านักสะสมอุกาบาตฉันการสังเกตุในสามข้อ
หนึ่งคือสีของมัน โดยธรรมชาติแล้วอุกาบาตแก้วธรรมชาติจะสีเหลืองเขียว หากว่าความโปร่งใสดีพอล่ะก็สีก็จะสว่างกว่านี้ ส่วนแก้วหล่อเป็นรูปอุกาบาตนั้นปกติจะเป็นสีเขียวไม่ก็น้ำเงิน บ้างก็สีน้ำตาล และสีของมันนั้นค่อนข้างเข้มจนเกือบดำ
สองตัวหลุมบนพื้นผิวของทั้งสองต่างกันอย่างชัดเจน หลุมบนผิวอุกาบาตแก้วของจริงมีความชัด ลึก และตรงกว่าแก้วที่หล่อเป็นรูปอุกาบาต
สามร่องรอยบนพื้นผิว รอยแตกของอุกาบาตแก้วของจริงนั้นรอยแตกจะไม่ลึก แต่กับแก้วที่ขึ้นรูปเป็นรูปอุกาบาตนั้นหากมีรอยแตก รอยแตกจะลึกถึงเนื้อใน
และจากการที่ฉันเคยเห็นของจริงมาแล้ว บอกได้เลยว่าหินที่อยู่ตรงหน้าของฉันแล้ว หินนี้ควรจะเป็นอุกาบาตแก้วของจริง” ผู้อาวุโสซิ่วพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“มูลค่าของอุกาบาตแก้วในตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่กัน” ชายร่างอ้วนเตี้ยถามออกมา แม้แต่คนที่มุงดูอยู่ก็ยังสงสัยเหมือนกัน ที่พวกเขายอมฟังอยู่เฉยๆจนถึงตอนนี้
เหตุผลก็คือพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอุกาบาตแก้วเลยสักนิด และก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้เขาประเมินราคากันยังไง
“หากเป็นเรื่องนี้ผมเองก็บอกได้อยากเหมือนกัน แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เองต่อให้มาดูก็ยากที่จะบอกว่าหินพวกนี้มาจากดวงจันทน์ ดาวอังคาร หรือส่วนไหนของจักรวาล
แต่ก็เคยมีครั้งหนึ่งเหมือนกันที่มีคนนำอุกาบาตแก้วที่มีน้ำหนัก 597 กรัมออกมาประมูล และถูกประมูลไปในราคา 18.62 ล้านหยวน
อีกหนึ่งก้อนพบในเอเชีย น้ำหนักอยู่ที่ 821 กรัม และถูกเวียนขายอยู่ในวงการสะสมตอนนี้อยู่ที่ขั้นต่ำ 80 ล้านหยวน
สำหรับก้อนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเราในตอนนี้คงต้องชั่งน้ำหนักกันก่อน” ผู้อาวุโสซิ่วพูดออกมา
มีใครบางคนยกที่ชั่งออกมา น้ำหนักของมันอยู่ที่ 2,165 กรัม ต่อให้ผู้อาวุโสซิ่วจะเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ เขาตกใจจนถึงขนาดพ่นลมออกมาจากมุมปาก แม้แต่คนอื่นเองก็เงียบจนนิ่งเมื่อได้ยินว่านำหนักมันเท่าไหร่
ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าหินก้อนนี้จะขายได้เท่าไหร่ แต่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่ามันควรจะได้อย่างต่ำก็ 100 ล้านหยวนเป็นอย่างน้อย
คนที่คิดว่าซูจิ้งเอาแค่หินแตกๆมาในตอนแรกนั้นต่างรู้สึกอายอย่างมาก มันถือได้ว่าเป็นพวกเขาเองที่เป็นคนผิด เพียงเพราะอิจฉาซูจิ้งที่มีสมบัติมากมาย
ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็แสดงท่าทางออกมาจนทำให้ทุกคนได้แต่มองนิ่งๆ ซูจิ้งโยนอุกบาตแก้วเขาไปในกระเป๋าเหมือนกับว่าเป็นเพียงลูกหินธรรมดา เขาเข้าม้วนหัวใจพระสูตรและพระพุทธเก็บใส่กระบอก โกยไข่มุกทองคำและกระต่ายหยกเลือดเข้ากระเป๋าประหนึ่งดั่งของไร้ค่าต่อหน้าประชาชี
ภาพที่ทุกคนเห็นตรงหน้านี้ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกยึกยัก ประหนึ่งดั่งอยากจะพุ่งไปคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหนีไปในทันที
กระเป๋าที่ดูธรรมดาสามัญแต่กับมีของที่เปี่ยมไปด้วยมูลค่าข้างในไม่ต่ำกว่า 5-6 ร้อยล้านหยวน
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันล้วนเป็นสมบัติที่แม้แต่เงินก็หาซื้อไม่ได้ ใครต่างก็บอกว่าซูจิ้งนั้นไม่เคยอวดรวย
แต่เหตุการณ์วันนี้มันกลับกลายเป็นว่าเหมือนเขานั้นไม่รู้คุณค่าของของที่มีมากกว่า
ทั้งยังไม่ใส่ใจถึงมูลค่าของมันด้วยซ้ำ การที่เขาเอาของแบบนี้มาโชว์อย่างหน้าชื่นตาบานแบบนี้เขาไม่กลัวโดนปล้นรึไงนะ