ตอนที่ 381 เราเป็นคนช่างจดจำความแค้น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้วเพคะ” สีหน้าของตู๋กูซิงหลันไร้ความรู้สึก นางพยายามใช้กำลังทั้งหมดขัดขืน

 

 

“เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่ล้วนเป็นเสื้อผ้าที่เราสั่งให้คนตัดให้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าสวมชุดนี้มาหาเรา ก็เพราะว่าคิดถึงเรา เป็นห่วงเรา….”

 

 

หากว่ากันตามจริงเสื้อผ้าชุดไหนของตู๋กูซิงหลันที่ไม่ใช่เขามอบให้นางกัน?

 

 

หรือต้องให้นางวิ่งมาตัวเปล่าถึงจะแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้คิดถึงเขา?

 

 

นางคร้านจะสนใจเขาแล้ว พอพยายามดิ้นอีก จีเฉวียนก็ยังไม่ยอมปล่อยนาง กระทั่งเห็นว่ามุมปากของนางมีเลือดไหลออกมาอีก

 

 

พระองค์ก็ทรงเข้าพระทัยว่าทรงใช้พละกำลังมากจนเกินไป ทำร้ายนางเข้า จึงได้เปลี่ยนพระทัยเป็นปล่อยนาง

 

 

ตู๋กูซิงหลันผละออกจากอ้อมพระอุระในทันที พอสองเท้าของนางสัมผัสกับพื้น ก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด

 

 

ก่อนที่จะเดินทางมายังหวงตูเมืองหลวงของแคว้นเหยียน ภรรยาของหัวหน้าเผ่าอาปู้ไซ้ช่วยเชื่อมต่อเส้นเอ็นให้นางอยู่ นั่นเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง เดิมที่จะต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดหนึ่งเดือน แต่ว่านางพึ่งจะรักษาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น

 

 

เมื่อครู่นางลงสู่พื้นเร็วไป ขากระแทกพื้นอย่างแรง ต้องเจ็บปวดราวกับถูกเข็มมากมายทิ่มแทง ถึงจะเป็นตู๋กูซิงหลันก็ยังเจ็บจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

 

 

แต่เพราะนางเป็นคนใจแข็ง จึงฝืนใจรวบรวมกำลังยืนหยัดเอาไว้

 

 

ตู๋กูจุนเห็นแล้ว ก็รีบฉวยดาบใหญ่ของเขาวิ่งเข้ามาประคองนางเอาไว้

 

 

ช่วงก่อนหน้านี้เขาเคยได้รับจดหมายจากทางบ้านว่าขาของน้องเล็กมีหนทางรักษา

 

 

ดูท่าตอนนี้คงจะเห็นผลบ้างแล้ว

 

 

ตู๋กูจุนมองดูนาง เดิมทีสมควรจะดีใจ แต่พอเห็นสีหน้าของน้องสาวเรียบเฉย มุมปากก็ยังมีรอยเลือดในใจของเขาพลันเกิดความเจ็บปวด

 

 

นางรีบร้อนเดินทางมาจากแคว้นต้าโจวแต่เพียงลำพังตลอดทางมีแต่พวกผีดิบ

 

 

เขาไม่กล้าคาดคิดจริงๆ ว่าสาวน้อยนางหนึ่งเช่นนางจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

 

 

ต่อให้เป็นเหล่าผู้แข็งแกร่ง นี่ก็ยังอันตรายมากอยู่ดี ไม่รู้ว่าอาจจะตายได้ไปแล้วกี่หน

 

 

“น้องเล็ก ให้พี่ใหญ่อุ้ม” ตู๋กูจุนอยากจะแบกนางขึ้นไปบนบ่าในทันที

 

 

“ข้าไม่เป็นไร พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลใจไป” นางคว้าข้อมือของตู๋กูจุนเอาไว้ ตบลงไปบนหลังมือของเขาเบาๆ

 

 

นางไม่หันไปมองดูจีเฉวียนอีก สายตาเพียงจับจ้องอยู่ที่ร่างของฉางซุนซิ่วและฉางซุนอิง

 

 

ยามที่มองไปนั้น คนทั้งสองก็มองมาที่นางเช่นกัน

 

 

ดวงตาของฉางซุนซิ่วมีไอสังหาร ส่วนฉางซุนอิงค่อยๆ เบือนหน้ามา ขนตาบนดวงตาโค้งคู้นั้นกระพริบถี่ๆ

 

 

ก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยปาก ตู๋กูซิงหลันก็พูดขึ้นมาก่อน

 

 

“ราชครู”

 

 

น้ำเสียงของนางเย็นชา ราวกับภูเขาน้ำแข็งในร่างของจีเฉวียน

 

 

“ไทเฮาทรงมีเรื่องใดจะสั่งสอน” ฉางซุนซิ่วคว้ามือของฉางซุนอิงเอาไว้ กล่าวอย่างไม่ได้เกรงกลัวตู๋กูซิงหลันเลยสักนิด

 

 

“ความแค้นในช่องว่างกาลเวลา พวกเราสมควรจะมาชำระบัญชีกันได้แล้ว” ตู๋กูซิงหลันสงบนิ่งอย่างยิ่ง

 

 

นางพึ่งกล่าวออกไป ก็เห็นติ๊งต๊องวิ่งเข้ามาส่งง้าวในปากให้อย่างรวดเร็ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันรับด้ามง้าวมา เหยียดร่างยืนตรงดุจพู่กัน

 

 

ฉางซุนซิ่วเองก็มิได้หลบหลีก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าจะคิดบัญชีกับข้าอย่างไร?”

 

 

เขากล่าวด้วยท่าทางยโสอย่างยิ่ง!

 

 

ตู๋กูซิงหลันกำง้าวในมือเอาไว้อย่างแนบแน่น ง้าวเล่มนี้เหมือนกับง้าวในพระหัตถ์ของจีเฉวียนล้วนจัดสร้างขึ้นจากทองคำดำ ถืออยู่ในมือก็หนักพอสมควร

 

 

ใบมีดยังมีเลือดติดอยู่

 

 

ต่อให้เป็นคนหนุ่มที่แข็งแรง เมื่อต้องถือง้าวเช่นนี้ก็ต้องนับว่ากินแรงอยู่มาก แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับทำเสมือนว่าไม่มีเรื่องใด

 

 

นางยกขึ้นมาเบาๆ ปลายง้าวชี้ไปที่ลำคอของฉางซุนซิ่ว “เจ้าวางแผนทำร้ายเรารอบแล้วรอบเล่า ตอนนี้ก็ยังแพร่เชื้อผีดิบ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์มากมาย แม้ตายก็ยังไม่พอจะชดใช้ความผิด”

 

 

พูดแล้ว นางก็เหลือบตามองไปทางจีเฉวียนแวบหนึ่ง

 

 

เขาสวมใส่หน้ากากเอาไว้ ตู๋กูซิงหลันจึงไม่อาจคาดเดาความรู้สึกของเขาได้ เห็นแต่เพียงว่าดวงตาหงส์คู่นั้นเย็นยะเยือกอย่างล้ำลึก

 

 

เลือดที่ติดอยู่บนใบมีดง้าวหยดลงไปบนลำคอของฉางซุนซิ่ว ตู๋กูซิงหลันขยับด้ามง้าวแทงเข้าไป

 

 

ใบมีดจมเข้าไปในผิวเนื้อ ลำคอของเขาหลั่งเลือดออกมา “ข้าเป็นคนที่ช่างจดจำความแค้น หากมีแค้นแล้วไม่ชำระย่อมอึดอัดคับข้องไปตลอดชีวิต เจ้าฆ่าคนย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตนี่คือหลักการของฟ้าดิน”

 

 

ไม่ว่าเขาจะผ่านประสบการณ์ดำมืดใดมาก็ตามก็ไม่สมควรจะจับเอาผู้บริสุทธิ์มาลงมีด

 

 

ที่นางถูกแรงงกดดันเค้นกระดูกอยู่ในช่องว่างของกาลเวลา เกือบจะต้องสิ้นชีวิตกลายเป็นวิญญาณไปอีกครั้ง

 

 

เมื่อย้อนคิดถึงความทรมานในตอนนั้น ช่างเกินว่าที่คนทั่วไปจะทนได้จริงๆ

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนมากเมตตาจนถึงขนาดจะให้ละเว้นชีวิตของคู่แค้นได้ขนาดนั้น

 

 

ก่อนหน้านั้น กับฉางซุนซิ่วนางมีเมตตากรุณาเขาอยู่เสมอ มั่นใจว่าตนเองไม่เคยกระทำเรื่องใดที่ทำร้ายเขามาก่อน

 

 

แต่ตอนนี้พอมาคิดๆ ดู เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวังหลวงล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างหลีกหนีไม่พ้น

 

 

นับตั้งแต่เรื่องผึ้งพิษ จนถึงเรื่องวิญญาณอาฆาต ยังมีเรื่องของเสียนไท่เฟย อันหร่วน และอื่นๆ อีก….เรื่องทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับตัวเขาทั้งสิ้น

 

 

ตลอดทางที่นางเดินทางผ่านมาเห็นแต่เมืองต้าเหยียนที่ถูกทำลาย เหล่าผีดิบเร่ร่อนไปทั่ว ทั้งแผ่นดินมีแต่ซากศพ ทั่วทั้งแคว้นต้าเหยียนมีแต่ไอของความตายปกคลุม

 

 

ในบรรดาผีดิบเหล่านั้นมีอยู่คนหนึ่งที่แบกทารกเอาไว้บนหลัง ทารกผู้นั้นตายไปนานแล้ว แม้แต่ผิวหนังบนใบหน้าก็เน่าเปื่อยจนเละเทะดูไม่ได้ ร่างหลุดเป็นชิ้น…..

 

 

บนลำคอของทารกน้อยผู้นั้น ยังแขวนกุญแจอายุยืนเอาไว้อยู่เลย…..

 

 

แม้แต่นางเองก็ไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้…..

 

 

คนที่กลายเป็นผีดิบแม้แต่วิญญาณก็ยังต้องตกลงไปในขุมนรกที่ไร้ขอบเขต รับทรมานอยู่ในนรก อย่างไม่อาจกลับคืนถึงสามชาติสามภพ

 

 

ถึงประสบการณ์ที่ฉางซุนซิ่วได้รับมาจะน่าสงสาร แต่ว่าดวงวิญญาณนับหมื่นเหล่านี้ก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ดี

 

 

ไยเขาจะต้องเอาความแค้นของตนเองไปลงกับคนที่ไร้ความผิดด้วย?

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สงสารเขาแม้แต่น้อย

 

 

เรื่องที่ฉางซุนซิ่วได้ประสบมาทั้งหมดนั้น คนที่ผิดต่อเขาก็คือจีเฉวียน ไม่ใช่นางตู๋กูซิงหลัน ยิ่งไม่ใช่วิญญาณเหล่านี้ด้วย!

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง ง้าวในมือของนางขยับพุ่งอย่างหมายจะเอาชีวิตเขา แต่กลับเห็นว่าฉางซุนอิงที่อยู่ด้านข้างโผเข้ามา

 

 

มือของนางตะครุบใบมีดบนง้าวเอาไว้อย่างแนบแน่น แต่สายตากลับหันไปมองดูจีเฉวียน “เฉวียน….ท่านกับพี่ชายมิใช่ว่าสนิทสนมกันที่สุดหรอกหรือ? อย่าให้พี่ต้องตายได้หรือไม่? ขอร้องท่านแล้ว……ข้าไม่ต้องการสูญเสียคนใดในพวกท่านไป”

 

 

นางหลับตาลงแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด

 

 

“โปรดเห็นแก่ตอนนั้นที่ข้า….” พอพูดมาถึงตรงนี้นางก็เงียบงันไป

 

 

“โปรดเห็นแก่ความผูกพันในครั้งก่อน….” ผ่านไปพักใหญ่นางถึงได้กล่าวออกมาอีกประโยคหนึ่ง

 

 

จีเฉวียนถึงได้หันกลับมาเหลือบมองดูนางแวบหนึ่ง และก่อนที่ง้าวของตู๋กูซิงหลันกำลังจะพุ่งเข้าไปในลำคอของฉางซุนซิ่ว พระหัตถ์ที่ใหญ่หนาของพระองค์ก็ชิงคว้าหอกด้ามนั้นเอาไว้ก่อน

 

 

“ซิงซิง” พระองค์ตรัสเรียกนางครั้งหนึ่ง

 

 

หัวใจของตู๋กูซิงหลันหล่บวูบลงไป นางหันหน้ากลับไปมอง “ท่านคิดจะขัดขวางข้าหรือ?”

 

 

จีเฉวียนจับจ้องมองนาง ทรงเห็นอย่างชัดเจนเลยว่านางกำลังโกรธเกรี้ยว

 

 

จริงอยู่ที่พระองค์เคยตรัสว่า พระองค์จะมอบดาบใส่ในมือของนาง ให้นางได้ชำระแค้น แต่ว่า….ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา

 

 

“เขายังตายไม่ได้” พระหัตถ์ของจีเฉวียนที่กำง้าวเอาไว้โดยมิได้คลายออก พระองค์ใช้พละกำลังกระชากถอยหลัง ดึงง้าวทั้งด้ามออกมา

 

 

“เฮอะ เฮอะ เฮอะ” ฉางซุนซิ่วหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาในทันที เขารู้แล้วว่ามิว่าอย่างไรจีเฉวียนก็จะไม่ฆ่าเขา หรือไม่จริง?

 

 

“เฉวียน ขอบคุณท่านเหลือเกิน” ฉางซุนอิงเองก็เผยใบหน้าซาบซึ้งออกมา “ข้ารู้อยู่แล้ว ท่านจะต้องเห็นแก่ความผูกพันในตอนนั้น”

 

 

ฉางซุนอิงพึ่งจะพูดจบ ก็เห็นจีเฉวียนกระชับง้าวด้ามนั้น สะบัดเพียงครั้งเดียวก็ตัดผ่านขาของฉางซุนซิ่วออกไป

 

 

ทันทีที่ใบง้าวผาดผ่าน ก็ตัดขาของฉางซุนซิ่วออกมา

 

 

ด้วยความรวดเร็วที่เกินว่าผู้ใดจะทันได้มีปฏิกริยา

 

 

ฉางซุนซิ่วคำรามโหยหวน ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด

 

 

เขาลืมตาโตเบิกโพลง ไม่อยากจะเชื่อว่า จีเฉวียนจะ……

 

 

“ขาทั้งสองข้างนี้ ถือเป็นสิ่งที่เจ้าต้องชดเชยให้กับซิงซิง” จีเฉวียนดึงง้าวกลับมา “เรายอมไว้ชีวิตเจ้า แต่ไม่อาจยอมให้เจ้ามิต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ”

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลงในทันที นางมองดูฉางซุนซิ่วที่เลือดไหลนองด้วยสายตาเย็นชา

 

 

 

 

……………………………………….

 

 

ไรท์: ฉางซุนซิ่วกลายเป็นไอ้ด้วนไปแล้ววว!!! แต่ว่าแค่นี้จะทำให้หลันหลันยอมหายโกรธได้หรอ?

 

 

ตอนต่อไป “มารดาของเขาก็คือข้า”