หลังจากที่ฮั้วเซียงหลิงจากไปแล้ว คนที่เหลือก็ได้พุดคุยกันต่อไปอีกพักหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวฝากฝังเปาอีฝานให้จัดการดูและพื้นที่หนึ่งพันห้าร้อยหมู่นี้ให้ดี “หากเจ้าไม่อยากไปค่ายทหาร อย่างนั้นก็อยู่ช่วยงานข้าเถิด กิจการวันนี้ขยายใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ต้องหาคนที่รู้ใจกันมาดูแล”

 

 

เปาอีฝานไม่ได้คิดเช่นนั้น ปีกว่ามานี้ที่เขามาช่วยดูและพื้นที่พวกนี้ก็เพราะต้องการจะตอบแทนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเคยได้ช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที เพราะว่าหลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บครั้งล่าสุด พ่อและแม่ก็ดูเหมือนจะแก่ลงมากทีเดียว คนที่อายุเพียงสี่สิบกว่าปีแต่กลับมีผมหงอกขึ้นมามากมาย สีหน้าก็ซีดเซียวลงมาก และยังมีซุนฮุ่ย แม้ว่าจะไม่ได้ห้ามให้เขากลับค่ายทหาร แต่เมื่อได้ยินเขากล่าวถึงสายตาก็มีความหวาดกลัวเกิดขึ้น เขาไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องมาเป็นกังวลด้วยอีกแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ เมื่อฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยวจบ จึงพูดว่า “เจ้าให้เวลาข้าคิดสักหน่อยเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความลำบากใจของเขา จึงพยักหน้า “ไม่ต้องลำบากใจหรอก หากเจ้าอยากกลับค่ายทหารก็กลับไป คนในครอบครัวเจ้าข้าจะดูแลให้เอง”

 

 

เปาอีฝานกล่าวขอบคุณ

 

 

เมื่อเห็นว่าสายมากแล้ว คิดว่าเมิ่งชื่อให้กลับไปกินข้าวที่บ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรีบลุกขึ้นยืน พูดว่า “ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว หากกลับช้า ครั้งต่อไปท่านแม่ต้องไม่ให้ข้าออกมาอีกเป็นแน่”

 

 

คนตรงนั้นจึงได้แยกย้ายกัน

 

 

เมิ่งฉีขึ้นรถม้าตรงไปยังโรงงานทันที หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่หนานเฉิง เมื่อถึงจวนก็ได้เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว เมิ่งชื่อจูงมือเซิ่งเอ๋อร์ยืนชะเง้อมองมาจากหน้าประตู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้า เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ก็ได้ปั้นหน้าออดอ้อน เดินก้าวยาวๆ ไปทางเมิ่งชื่อทันที

 

 

เดินไปพลางแก้ตัวไปว่า “ท่านแม่ พวกเราไปพบคนรู้จักที่เป่ยเฉิง จึงได้คุยกันครู่หนึ่ง จึงได้กลับมาช้า”

 

 

เมื่อเห็นท่าทางไม่สำรวมของนางยิ่งทำให้เมิ่งชื่อตกใจกว่าเดิม รีบสั่งนางว่า “ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ เดิน ระวังลูกในท้องด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นออกมาด้วยความซุกซน และเดินช้าลง

 

 

เมิ่งชื่อพาเซิ่งเอ๋อร์เดินมาเข้ามาหา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนของเมิ่งชื่อไว้อย่างอบอุ่น พูดจาออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านอย่ากังวลไปเลย”

 

 

เซิ่งเอ๋อร์เห็นท่าทีของนาง ก็ได้ยื่นมือออกมา อยากจะกอดแขนของเมิ่งชื่อตามเมิ่งเชี่ยนโยว แต่เสียดายที่ยังตัวเล็กเกินไป กอดไม่ถึง ร้อนใจเสียจนใบหน้าน้อยๆ มีเหงื่อผุดขึ้นมา ขณะที่กำลังร้อนใจนั้นก็ได้ยื่นมือไปให้เมิ่งเชี่ยนโยว “ท่านอา อุ้ม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขำกับท่าทีของเขา จึงได้ปล่อยมือจากแขนของเมิ่งชื่อ ก้มไปอุ้มเขาขึ้นมา แต่ถูกเมิ่งชื่อห้ามไว้ “หยุด วางลงประเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นเช่นนี้อยู่ จะไปอุ้มหลานได้อย่างไร”

 

 

พูดจบ ก็ได้โน้มตัวอุ้มเซิ่งเอ๋อร์ขึ้นมาเสียเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ และพูดว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร เซิ่งเอ๋อร์ตัวเล็กนิดเดียว อุ้มเขาไม่เปลืองแรงหรอกเจ้าค่ะ”

 

 

“อย่างนั้นก็ไม่ได้ ข้าจะบอกให้ ว่าครั้งนี้เจ้าตั้งท้องลูกแฝด ก่อนหน้าเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บ เจ้าจะต้อง…” เมิ่งชื่ออุ้มเซิ่งเอ๋อร์เดินเข้าไปด้านใน พลางบ่นเมิ่งเชี่ยนโยวไปด้วย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถือสาอะไร เดินยิ้มเข้าไปในจวนกับนาง มีเพียงอาศัยช่วงที่เมิ่งชื่อไม่ได้สังเกตหันไปแลบลิ้นให้หวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะพร้อมส่ายหน้า คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เมิ่งชื่อจะหันหน้ามาพอดี พูดกับเขาว่า “อี้เซวียน เจ้าเองก็อย่าตามใจนางให้มากนัก ถึงเวลาต้องสอนนางก็สอนบ้าง นางจะได้รู้ว่าอะไรควรมิควร จะได้ไม่เป็นอันตรายกับลูกในท้อง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ “ทราบแล้วขอรับ ท่านแม่”

 

 

“พวกเจ้านี้หนา อายุยังน้อย ไม่รู้จักระมัดระวัง…” เมิ่งชื่อบ่นออกมาอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนฟังอย่างว่าง่าย

 

 

เมื่อมาถึงห้องอาหาร หวังเยียนได้สั่งให้คนจัดสำรับให้เรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เริ่มหิวแล้ว กินไปไม่น้อยทีเดียว

 

 

เมื่อกินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องครู่หนึ่ง ชิงหลวนเข้ามารายงานว่า “พระชายาส่งคนให้มาถามว่า ซื่อจื่อและนายหญิงจะกลับจวนเมื่อใดเจ้าค่ะ”

 

 

วันนี้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไปยังกั๋วจื่อเจี้ยน เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นห่วง ทีแรกวางแผนว่าจะอยู่ค้างสักคืน เพื่อถามไถ่ทั้งสองว่าอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นอย่างไรบ้าง แต่เมื่อพระชายาส่งคนมาถามเช่นนี้ แสดงว่าคิดถึงพวกเขาแล้ว ไม่สิ พูดให้ถูกคือ คิดถึงลูกๆ ในท้องของนางแล้วต่างหาก เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเล็กน้อย และตอบไปว่า “เจ้าไปบอกเขาว่า ข้าจะรีบกลับจวนเดี๋ยวนี้”

 

 

ชิงหลวน ตอบรับ เดินออกไปด้านนอกเพื่อกับคนที่มาส่งข่าว ให้เขารีบกลับไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเขี่ยนโยวไปบอกลาเมิ่งชื่อที่ห้องของนาง แม้ว่าเมิ่งชื่อจะไม่อยากให้จากไป แต่ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วจะกลับมาอยู่บ้านนานๆ ไม่ได้ อีกอย่างนางก็ไปจวนอยู่ทุกวัน จึงได้พยักหน้า “ขากลับค่อยๆ ไปนะ”

 

 

ทั้งสองตอบรับ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ท่านแม่ อีกครู่ข้าจะส่งคนไปรับเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ไปยังจวน รอให้ข้าถามไถ่พวกเขาเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้คนมาส่งพวกเขากลับบ้านนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งชื่อตอบรับ เดินไปส่งทั้งสองที่หน้าประตูพร้อมกับหวังเยียน รอจนรถม้าแล่นออกไปไกลแล้ว จึงได้จูงมือเซิ่งเอ๋อร์เข้ามา

 

 

ทั้งสองคนห่างบ้านไปหนึ่งคืน ทำให้พระชายานอนไม่หลับ เมื่อได้ยินคนส่งข่าวบอกว่าอีกครู่ทั้งสองจะกลับมาแล้ว จึงได้รีบไปยังประตูจวน ชะเง้อมองหาทั้งสองอย่างรอคอย

 

 

รอบๆ จวนรายล้อมไปด้วยที่พักของขุนนางระดับสูง มีคนเข้าออกตลอดเวลา เมื่อเห็นพระชายามีท่าทีเช่นนี้จึงได้แปลกใจ จึงได้แอบมองอยู่ด้านในของประตูจวนของตน ด้วยอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 

 

พระชายารับรู้ถึงสายตาเหล่านี้ แต่ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย กระทั่งรถม้าของทั้งสองมาถึง จึงได้เดินยิ้มออกไปต้อนรับ พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “หากไม่ใช่เพราะสถานะของแม่ไม่เหมาะสม แม่คงจะไปหาพวกเจ้าที่หนานเฉิงเป็นแน่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโผล่หัวออกมาจากรถม้า กำลังจะกระโดดลงมา

 

 

พระชายาตกใจมาก แต่หวงฝู่อี้เซวียนเหมือนจะรู้ว่านางจะต้องทำเช่นนี้ จึงได้คว้าตัวนางเอาไว้ได้ทัน

 

 

พระชายาพูดด้วยความตกใจว่า “พ่อแก้วแม่แก้วเอ๋ย ในท้องของเจ้ามีเด็กอยู่ถึงสองคนเชียวนะ เจ้าทำอะไรนี่”

 

 

ผู้ชมที่อยู่รอบๆ เบิกตาโพลง มองพระชายาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ต่างสงสัยว่าหูของตนฝาดไปหรือไม่ พระชายาจะพูดคำพวกนี้ออกมาได้เช่นไร เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นลูกสะใภ้ของนางเชียวนะ ลูกสะใภ้

 

 

แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับหลุดขำออกมา รอจนหวงฝู่อี้เซวียนวางนางลง จึงได้ก้าวไปด้านหน้า โอบแขนของนางเดินเข้าไปด้านใน พูดว่า “เสด็จแม่ ท่านได้แม่ของข้ามาสินะเจ้าคะ คำพูดแบบนี้จึงได้หลุดออกมา”

 

 

เมิ่งชื่อมายังจวนอ๋องทุกวัน พระชายาชอบเด็ก ให้นางพาเซิ่งเอ๋อร์มาด้วย เซิ่งเอ๋อร์อารมณ์ดีซุกซน มักจะวิ่งเล่นซนเสมอ เมิ่งชื่อก็จะดุเขาเช่นนี้ เวลานานเข้า พระชายาเองก็ติดปากไปด้วย วันนี้เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจะกระโดดลงจากม้า คำพูดเช่นนี้ จึงได้หลุดออกจากปากมาอย่างง่ายดาย แต่เมื่อพูดจบแล้ว นางก็อึ้งไป บัดนี้เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้แล้ว จึงได้หัวเราะออกมา “แม่เนี่ย อยู่ในกฎระเบียบจนชินเสียแล้ว เมื่อเห็นแม่ของเจ้าใช้ชีวิตอย่างอิสระ จึงได้รู้สึกอิจฉายิ่งนัก อยากจะมีชีวิตเช่นนางอยู่เหมือนกัน”

 

 

สองคนกอดแขนกันด้วยความสนิมสนม เดินไปด้านในพลางหัวเราะไปด้วย ทำให้คนที่มองอยู่ตกตะลึงกันใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้นั้นเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว แย่งชิงอำนาจการจัดการบ้านกัน วันๆ เอาแต่ทะเลาะกัน วางแผนกัน ต่างคนต่างไม่ชอบกัน มีที่ใดที่จะสนิมสนมรักใคร่กันเช่นนี้

 

 

ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังตระหนกนั้น พระชายาก็ได้เดินทางมาถึงเรือนแล้ว พระชายาถามว่า “เดินทางมาหิวหรือไม่ จะให้ข้าสั่งให้คนครัวทำอาหารให้ดีหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ขอบพระคุณเสด็จแม่ แต่ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องสนุกอยากจะมาปรึกษาท่าน”

 

 

พระชายาเบิกตาขึ้นด้วยความตื่นเต้น ถามอย่างร้อนรนว่า “เรื่องใดหรือ”

 

 

เมื่อเห็นท่าทีอยากรู้อยากเห็นของนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็เกือบสำลักน้ำลายของตน กระแอมออกมาหลายที

 

 

พระชายาโบกมือ “ข้าและโยวเอ๋อร์มีธุระต้องคุยกัน เจ้าอยู่ตรงนี้เกะกะ ไปเดินเล่นในจวนไป”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสำลักน้ำลายตนเองอีกครั้ง ไอหนักกว่าเดิม เมิ่งเชี่ยนโยวสงสาร จึงได้เดินไปทุบหลังให้เขาสองสามที

 

 

พระชายาเดินไปด้านหน้า คว้ามือนางมา “โยวเอ๋อร์ บัดนี้เจ้ามีครรภ์อยู่ อย่าไปทำงานอะไรที่ต้องออกแรงเชียว อีกอย่าง เขาโตถึงเพียงนี้แล้วยังสำลักน้ำลายตัวเองได้ ไม่ต่างอะไรกับเด็กเลย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งไอหนักกว่าเดิม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขาด้วยความรู้สึกเห็นใจ

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้หยุดไอ ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเบิกโพลง คัดค้านด้วยความไม่พอใจ “เสด็จแม่ ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่าน ลูกแท้ๆ ”

 

 

“รู้แล้ว รู้แล้ว ประโยคนี้เจ้าพูดไม่รู้กี่รอบแล้ว” พระชายาโบกมือด้วยความเบื่อหน่าย “เจ้าออกไปก่อนเถิด อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลาที่จะพูดกับโยวเอ๋อร์”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่เพียงแต่ไม่ออกไป แต่กลับนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอย่างท้าทาย “ข้าไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น ข้าจะอยู่ในห้องนี้”

 

 

พระชายาถลึงตาใส่เขา “ได้ ได้ ได้ อย่างนั้นพวกเราไปเอง ไปเถิด โยวเอ๋อร์ ไปคุยกันที่ห้องของข้า”

 

 

“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวปรามเขาด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้อี้เซวียนก็ทราบเจ้าค่ะ เราคุยกันในห้องนี้ก็ได้”

 

 

พระชายาถลึงตาใส่เขาอีกครั้ง “เจ้านั่งเฉยๆ เลย ห้ามพูดแทรกเด็ดขาด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มไม่ออก มารดาผู้นี้ ตั้งแต่ทราบว่าโยวเอ๋อร์ตั้งท้องเป็นต้นมาก็ลำเอียงมากขึ้นทุกที ขนาดลูกชายที่ดีเลิศอย่างเขายังตกอันดับ

 

 

พระชายาและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเบาะนิ่มในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าบทสนทนาเกี่ยวกับจูหลีและกัวเฟยที่ได้ยินมาเมื่อวานให้ฟัง

 

 

พระชายาตกใจอยู่นานถึงจะเปิดปากออกมา ครู่ใหญ่จึงได้ถามออกมาว่า “เจ้าหมายความว่า จูหลีและกัวเฟยลอบรักกัน?”

 

 

“ท่านแม่ ทั้งสองรักกันด้วยความเต็มใจ ไม่นับว่าเป็นการแอบลอบรักกันนะเจ้าคะ”

 

 

พระชายาพยักหน้า ถามอีกครั้งว่า “เจ้าอยากจะทำให้ทั้งสองสมหวังหรือ”

 

 

“เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ

 

 

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ไปเรียกกัวเฟยมา ยกจูหลีให้เขาก็พอแล้ว” พระชายากล่าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า “หากง่ายเช่นนี้ ข้าคงไม่มาเจรจากับท่านแม่หรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้กัวเฟยมีปมในใจ หากว่าเรายกจูหลีให้เขา เขาจะคิดว่าตนนั้นไม่คู่ควรกับจูหลี จะเกิดความรู้สึกน้อยใจ เช่นนี้แล้วจะไม่เป็นการดีกับชีวิตของพวกเขาในภายหน้า”

 

 

พระชายาเกิดความสนใจขึ้น ถามอย่างตื่นเต้นว่า “อย่างนั้นเจ้าจะทำเช่นไร”

 

 

“ข้าคิดว่า…” เมิ่งเชี่ยนโยวกดเสียงต่ำลง เดินเข้าไปใกล้นาง บอกแผนการณ์ที่จะจัดการทั้งสองให้นางฟัง

 

 

เมื่อพระชายาฟังจบก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก “วิธีนี้ใช้ได้ หากกัวเฟยยังไม่รู้หัวใจตัวเอง ก็ให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิตเลย”

 

 

หูของหวงฝู่อี้เซวียนดีมาก ต่อให้ทั้งสองพูดด้วยเสียงเบาแล้ว แต่เขาก็สามารถได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูดได้อย่างชัดเจน มุมปากยิ้มออกมา มองหญิงตรงหน้าทั้งสองด้วยความรัก

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พระชายาเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวส่งนางกลับแล้วก็ไม่ได้เดินกลับเข้ามาในห้องอีก แต่กลับทำทีจะไปเดินเล่นกับหวงฝู่อี้เซวียนในสวน เมื่อเดินผ่านชิงหลวนและจูหลีนั้น ก็ทำทีเป็นคิดอะไรขึ้นมาได้ ถามไปว่า “ชิงหลวน จูหลี เจ้าทั้งสองอายุเท่าไรกันแล้วหรือ”

 

 

ทั้งสองมองตากัน ชิงหลวนตอบก่อน “ปีนี้หม่อมฉันอายุยี่สิบแล้วเพคะ”

 

 

จูหลีเองก็ตอบตามมาว่า “หม่อมฉันอายุเท่าชิงหลวน ยี่สิบปีเช่นกันเพคะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผยสีหน้าตกใจออกมา “ยี่สิบแล้วหรือ ควรหาคู่ครองได้แล้ว”

 

 

พูดจบ ก็จ้องมองทั้งสอง

 

 

สีหน้าของจูหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ

 

 

ชิงหลวนตกใจ เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยว พวกนางมาจากการเป็นองครักษ์เงา ตามหลักแล้วชีวิตนี้ห้ามแต่งงาน

 

 

จูหลีเม้มปาก ไม่พูดอะไร

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าที่แตกต่างกันของทั้งสอง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “บัดนี้พวกเจ้าไม่ใช่องครักษ์เงาแล้ว เป็นสาวรับใช้ของข้า อย่างไรข้าก็ต้องหาคู่ครองให้พวกเจ้า”

 

 

ชิงหลวนตกใจจนสีหน้าหายไป พูดอย่างนอบน้อมว่า “ตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ”

 

 

จูหลีกลับพูดด้วยความร้อนใจว่า “ข้าไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ ข้าน้อยอยากอยู่ข้างๆ นายหญิง”

 

 

“ต่อให้พวกเจ้าแต่งงานแต่ก็ยังอยู่ในจวนนี้ นอกจากจะมีครอบครัวของตัวเองแล้ว วันปกติก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิม อีกอย่าง เป็นสาวเป็นนางมีที่ไหนจะไม่แต่งงาน ข้าให้เวลาพวกเจ้า ไปหาคนที่ตนเองชอบใจมา ในจวนอ๋องก็ได้ คนนอกก็ดี หากไม่มีใครที่ถูกใจ ข้าก็จะให้เสด็จแม่เลือกให้พวกเจ้า”