ชิงหลวนไม่พูดอะไร จูหลีเองก็ลังเลแค่เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพร้อมพยักหน้า เดินเล่นในจวนกับหวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นก็กลับห้องไป
โจวอันควบรถม้าไปรับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่กั๋วจื่อเจี้ยนมายังจวน หลังจากที่ทั้งสองได้พบเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน จึงได้วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ตะโกนว่า “ท่านพี่ ท่านพี่เขย”
ทั้งสองตอบรับด้วยรอยยิ้ม เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวของทั้งสองด้วยความเคยชิน พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ผู้ดูแลเห็นแผลบนหัวของข้า ตกใจเป็นอย่างมาก ถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจึงได้นำคำที่พี่บอกข้าเล่าให้เขาฟัง ผู้ดูแลได้ยินดังนั้นจึงไม่ถามอะไรต่อ เพียงแต่บอกข้าว่าต่อไปให้ระวังตัวด้วย” เมิ่งชิงเงยหน้าตอบ
“คนพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ลงไม้ลงมือกับพวกเจ้าหรือไม่”
เมิ่งชิงส่ายหน้าเล็กน้อย “เมื่อวานพวกนั้นประจบไม่สำเร็จ วันนี้จึงทำได้เพียงถลึงตาใส่พวกเรา ไม่ได้ลงมืออีก”
“เห็นทีในใจพวกเขายังคงกลัวอยู่ หรือไม่ก็กำลังคิดหาวิธีจะมาจัดการกับพวกเจ้าอยู่ พวกเจ้าจะประมาทไม่ได้ จะต้องเตรียมตัวรับมือเอาไว้เสมอ แต่ก็อย่าให้กระทบการเรียน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้วขอรับท่านพี่”
เมิ่งเจี๋ยไม่กล่าวอะไร ส่วนเมิ่งชิงทำทีจะพูด แต่ก็หยุดไป
“ชิงเอ๋อร์มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่” เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าของเขา จึงได้พูดไปดังนั้น
“ข้าไม่ค่อยชอบวิชาการ ข้าอยากตั้งใจฝึกซ้อมวิชาต่อสู้มากกว่าขอรับ” เมิ่งชิงลังเลเพียงครู่ จากนั้นจึงได้พูดความในใจที่คิดทบทวนอยู่หลายครั้งออกไป จากนั้นก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาเกรงกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวโน้มตัวลง มองตาเขาด้วยสายตาเสมอกัน “พี่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบวิชาการ ที่พยายามหลายปีมานี้ก็เพื่อให้พี่มีความสุข แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากเจ้าไม่มีวิชาความรู้ มีเพียงทักษะการต่อสู้ ภายหน้าก็จะกลายเป็นเพียงคนบ้าพลังคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีโอกาสเลยที่จะได้เป็นเจ้าคนนายคน พี่รู้ว่าเจ้าต้องการจะเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอู่กั๋ว แต่หากเจ้าไม่มีความรู้ เจ้าจะดูแผนที่อย่างไร จะวางยุทธหัตถี สั่งการคนอย่างไร แล้วจะรบให้ชนะ นำความสำเร็จมาให้ประเทศชาติได้อย่างไร”
สีหน้าของเมิ่งชิงแดงขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขาเล็กน้อย แล้วจึงพูดว่า “เจ้าชอบวิชาการต่อสู้น่ะเป็นเรื่องดี พี่ก็สนับสนุนเจ้า แต่ความรู้ด้านวิชาการก็สำคัญ พี่อยากจะให้เจ้าทำให้ดีทั้งสองอย่าง”
เมิ่งชิงพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพี่ ต่อไปนี้ข้าจะทำให้ดีทั้งวิชาการและการต่อสู้ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
“ความหวังของพี่เป็นเรื่องเล็ก พี่หวังจะให้พวกเจ้ามีทั้งกำลังและความรู้ ต่อไปนี้ไม่ว่าจะรับราชการ ทำการค้า ทำไร่ทำนา เจ้าก็จะโดดเด่นกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง เป็นหน้าเป็นตาของวงตระกูลเรา และยังดีกับอนาคตของตัวเองด้วย”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงพยักหน้าพร้อมกัน “พวกข้าจะจำให้ขึ้นใจเลยขอรับท่านพี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ยิ้มพร้อมลูบหัวทั้งสอง
หวงฝู่อี้เซวียนมองคนทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้โจวอันส่งทั้งสองกลับบ้านไป
พระชายาได้ยินว่าน้องชายทั้งสองของเมิ่งเชี่ยนโยวมา คิดว่าพวกเขาจะมาอาศัยอยู่ที่จวนอ๋อง จึงได้ตามมาด้วยความยินดี คิดไม่ถึงว่ามาช้าไปก้าวหนึ่ง ทั้งสองได้กลับบ้านไปแล้ว สีหน้ายิ้มแย้มได้หายไป กล่าวว่า “โยวเอ๋อร์ ในจวนเหงาหงอยยิ่งนัก ภายหน้าหากน้องๆ ของเจ้ามาที่นี่อีก ไม่ต้องให้พวกเขากลับไปแล้วนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมอธิบายว่า “วันนี้ข้าบอกท่านแม่แล้วว่าจะให้คนไปส่งพวกเขากลับบ้าน แต่หากท่านอยากจะให้พวกเขามาอีก รอให้กั๋วจื่อเจี้ยนพักการเรียนการสอนแล้ว ข้าจะไปขอท่านแม่ ให้พวกเขามาที่นี่อีกก็ได้เจ้าค่ะ”
วันนี้เป็นวันแรกที่หวงฝู่อวี้จะได้ดูแลกิจการสมบัติในมือด้วยตนเอง เริ่มจากการไปเยี่ยมชมร้านรวงต่างๆ ผู้จัดการร้านหลังจากที่เฮ่อจางถูกทัณฑ์บนไปนั้นก็เกิดความกลัวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำร้านต่อไปได้อย่างไร หากรู้ว่าพวกเขาต่างขายตัวให้จวนเฮ่อไปแล้ว จนกระทั่งหลังจากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้คนไปส่งข่าวว่าร้านรวงเหล่านี้จะกลายเป็นของจวนอ๋องทั้งสิ้น ต่อจากนี้จะมีคนเข้ามาจัดการแทน ทุกคนจะยังทำหน้าที่ตามเดิม ทำหน้าที่อย่างที่เคยทำมาก่อน เขาจะส่งคนมาตรวจสอบบัญชีเป็นระยะ
ทั้งหมดถึงได้โล่งใจ ทำหน้าที่ตามเดิมที่ได้รับมอบหมายมา ไม่มีใครกล้าทำผิดพลาด เมื่อก่อนตอนที่เฮ่อจางอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้ใจดีกับพวกเขามากนัก แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดเกินเหตุ บัดนี้ไม่เหมือนเดิม ท่านอ๋องและซื่อจื่อต่างเป็นคนเด็ดเดี่ยว และเ**้ยมโหด หากไม่ตั้งใจทำให้ดี หากปัญหามาอยู่ที่ตัวพวกเขาแล้วนั้น ผลลัพธ์ก็… ผู้จัดการและคนงานไม่กล้าแม้แต่จะคิด ดังนั้นปีกว่ามานี้ ร้านรวงทุกร้านก็ถือว่าทำการค้าได้ดี วันนี้หวงฝู่อวี้ไปตรวจสอบ อีกทั้งยังแสดงสถานะของตน พร้อมบอกพวกเขาว่าต่อจากนี้ร้านรวงพวกนี้เขาจะมาจัดการเอง ผู้จัดการร้านจึงได้มอบบัญชีร้านให้เขาตรวจสอบอย่างว่าง่าย และยังรายงานความเป็นไปของร้านด้วยความสัตย์จริง
หวงฝู่อวี้ตรวจสอบสมุดบัญชีของร้าน ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ชื่นชมพวกเขา จากนั้นก็ได้บอกกฎระเบียบที่เขาเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ให้พวกเขาฟัง ซึ่งก็คือตั้งแต่ต้นเดือนหน้าเป็นต้นไป จะไม่มีการจ่ายเงินเดือนทางเดียวอีกแล้ว แต่จะเป็นการให้ปันผล ซึ่งก็คือจะนอกจากเงินเดือนแล้ว ยังจะมีการจัดสันปันส่วนให้พวกเขาเพิ่ม ยิ่งขายได้เยอะ เงินปันผลก็จะมากขึ้น
ผู้จัดการและคนงานได้ยินดังนั้นจึงได้ดีใจเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างกำหมัดขึ้น ถลกแขนเสื้อ และแย่งกันพูดว่าเดือนหน้าตนจะเป็นผู้ที่ได้ค่าตอบแทนสูงที่สุด
ตรวจสอบร้านรวง และตรวจสอบบัญชีของพวกเขาในคราวเดียว กว่าหวงฝู่อวี้จะกลับจวนอ๋องมา ฟ้าก็ได้มืดแล้ว เขาเหนื่อยเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไปกล่าวทักทายคารวะท่านอ๋องและพระชายาที่เรือนหลัก และไปทักทายหวงฝู่อี้เซวียนก่อนจึงได้กลับมาพักผ่อนที่ห้องของตน
ตั้งแต่มีครัวเล็กๆ ของตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ไปร่วมโต๊ะกับผู้อื่น ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้เข้าครัวเองอย่างที่เคย เพื่อทำของโปรดให้เมิ่งเชี่ยนโยว
ทุกคนชินเสียแล้ว โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ นานวันเขายิ่งรู้สึกว่าตนไม่มีตำแหน่งอะไร ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเข้าออกที่ใด ก็มีชิงหลวนและจูหลีคอยติดตามอยู่ไม่ห่าง ในจวนนี้ หวงฝู่อี้เซวียนกำลังทำอาหาร มีสาวใช้คอยเป็นลูกมืออยู่ ไม่มีที่ว่างให้ตนแม้แต่การจุดฟืน วันๆ เขาได้แต่รดน้ำให้หญ้าข้างกำแพงด้วยความเบื่อหน่าย ในใจก็คิดดูถูกหวงฝู่อี้เซวียน เป็นถึงซื่อจื่อ แต่กลับทำตัวเป็นทาสภรรยา ไม่กลัวคนในเมืองหลวงหัวเราะเยาะเอาหรืออย่างไร แต่ก็ทำได้เพียงคิด เขาไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว ดูจากที่หวงฝู่อี้เซวียนหลงภรรยาเพียงนี้ หากตนพลั้งปากพูดไปแม้ครึ่งคำ เห็นทีคงจะถูกห้อยหัวไว้กับต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดของจวน สามวันสามคืนก็ไม่ปล่อย
เวลาผ่านไปหลายวัน มาถึงกลางเดือนแปด นักเรียนที่เดินทางมาสอบในเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้คิดขึ้นได้ว่าถึงวันสอบครั้งใหญ่ในรอบสามปีแล้ว จึงได้ส่งคนกลับหนานเฉิงไปถามว่าปีนี้เมิ่งเหรินจะเข้าร่วมสอบจอหงวนหรือไม่
หกปีก่อน ปีที่หวงฝู่อี้เซวียนได้พบกับครอบครัวของตน เมิ่งเหรินสอบติดนักวิชาการ สามปีก่อนจะเข้ามาสอบจอหงวนในเมืองหลวง แต่มาได้ครึ่งทางกลับเกิดป่วยขึ้นมากระทันหัน กว่าคนในครอบครัวจะได้ข่าวและเดินทางตามมาถึงนั้นเขาก็หมดแรงเดินไปเสียแล้ว สภาพเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงการมาสอบในเมือง เพราะแม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี ดังนั้นเมิ่งต้าจินจึงตัดสินใจให้เขากลับบ้านก่อน รออีกสามปีค่อยกลับมาสอบอีกครั้ง
ชิงหลวนออกไปได้ไม่นานก็กลับมารายงานว่า “นายหญิง คนที่บ้านส่งคนมาส่งข่าวแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าทางนั้นมากันทั้งบ้านเลยเจ้าค่ะ”
บ้านของลุงเดินทางมากันหมด เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจยิ่งนัก จึงได้รีบสั่งให้โจวอันเตรียมรถม้า และกลับบ้านของตนไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อตอนที่นางแต่งงาน ครอบครัวเมิ่งต้าจิน รวมทั้งเมิ่งเหรินได้อยู่ดูแลกิจการที่บ้าน ไม่ได้มาร่วมงาน ครั้งนี้ถือโอกาสเข้ามาสอบจึงได้เข้าเมืองมา ประการแรกก็เพื่อมาส่งเมิ่งเหรินสอบ ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นระหว่างทาง ประการที่สองภรรยาของเมิ่งต้าจินจะมาดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวแทนแม่ของนางสักพัก ดังนั้นจึงได้มากันทั้งครอบครัว
คนที่ได้เดินทางเข้าเมืองมาพร้อมกันยังมีเหวินเป้า เหวินซงและเหวินเหลียน
ปีนั้นเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ เหวินหู่และเหวินเป้าก็ได้ปิดบังคนในครอบครัวมาโดยตลอด จนกระทั่งแผลเขาหายดีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็หายตัวไปแปดเดือน ขณะที่ครอบครัวเมิ่งกำลังโศกเศร้ากันอยู่นั้น ภรรยาเหวินเป้าไม่อยากมารบกวนจึงไม่ได้ขอร้องจะมาด้วย จนกระทั่งเมิ่งเหรินจะเข้ามาสอบในเมืองหลวง ครอบครัวเหวินเป้าจึงได้ใจกล้าบอกเรื่องนี้กับเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเอ้ออิ๋นตกลงทันที มอบอัฐให้พวกเขาจำนวนมาก เตรียมของไว้พร้อม ให้พวกเขาเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวเมิ่งต้าจิน
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้าแล้วนั้น นางก็ถลกแขนเสื้อขึ้นและรีบเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในบ้าน หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามนางมาติดๆ เดินเข้ามายังจวนตระกูลเมิ่ง
เมื่อก้าวเข้าบ้านมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮามาจากด้านใน
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนว่า “ท่านลุง ท่านป้า พี่เมิ่งเหริน ซ้อ”
เมื่อได้ยินเสียงของนางแล้ว ทุกคนก็ยืนขึ้น เดินมาต้อนรับนาง ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เดินเข้ามาเสียแล้ว
ภรรยาเมิ่งต้าจินอยู่ด้านหน้าสุด กอดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ในอ้อมอก พูดด้วยน้ำเสียงติดขัดว่า “โยวเอ๋อร์ ป้าคิดถึงใจจะขาดแล้ว”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเต้นขึ้นมา “ท่านป้า ข้าก็คิดถึงท่านเจ้าค่ะ”
เมิ่งต้าจินยืนพูดอยู่ข้างๆ ว่า “เบาหน่อย เบาหน่อย อย่าไปชนโยวเอ๋อร์เข้า”
ภรรยาของเมิ่งต้าจินปล่อยนางออก ตอบว่า “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้จักรักษาระยะอยู่หนา”
พูดจบ ก็ได้มองพิจารณานางยกใหญ่ พยักหน้า “ไม่เปลี่ยนไปเลย ยังเหมือนกับตอนที่ยังไม่แต่งงาน”
อิงจื่อก็ได้เดินเข้ามาด้วยดวงตาที่มีน้ำตารื้น “โยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมพยักหน้า “ซ้อ”
เมิ่งเยว่ตัวน้อยก็ได้วิ่งแซงมาด้านหน้า เงยหน้าถามด้วยความออดอ้อนว่า “ท่านอา”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา ตอบรับด้วยเสียงใส
เมิ่งเหรินก็ได้เดินมาด้านหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเรียกด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่”
เมิ่งเหรินพยักหน้า กรอบตามีน้ำตารื้นขึ้นมา
หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินขึ้นมาด้านหน้า กล่าวทักทายทีละคน
ทุกคนกล่าวทักทายกัน
ภรรยาเมิ่งต้าจินพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวไปนั่งในห้อง เทน้ำให้นางด้วยตนเอง “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะพักผ่อนเสียหน่อย วันพรุ่งจะไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่แม่ของเจ้าดึงดันจะให้พวกเจ้ามาเอง ได้ยินมาว่าจวนน่ะอยู่ไกล คิดไม่ถึงว่าไม่นานพวกเจ้าก็มาถึงแล้ว เหนื่อยหรือไม่”
“ถนนหนทางไม่ลำบาก ทั้งยังนั่งรถม้ามา ไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ ที่จริงท่านป้าต่างหากที่เดินทางมาไกล ลำบากแย่เลย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยรอยยิ้ม
ภรรยาเมิ่งต้าจินนั่งข้างๆ นาง ยิ้มพร้อมโบกไม้โบกมือ “ไม่ลำบากเลย พวกเราเดินทางล่วงหน้ามาสามวันแล้ว ระหว่างทางไม่ได้รีบร้อนอะไร มาถึงเมืองหลวงแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ”
เมิ่งต้าจินพูดเสริมว่า “ใช่ พ่อของเจ้ารู้ว่าพวกเราจะมา จึงได้นำผ้าห่มหนามารองไว้ที่รถม้า นอนสบายเสียยิ่งกว่าอะไร”
ภรรยาเมิ่งต้าจินมองไปที่ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวเล็กน้อย น้ำเสียงยินดีอย่างบอกไม่ถูก “ปู่กับย่าของเจ้ากลับไปแล้ว บอกว่าเจ้าตั้งท้องฝาแฝด ข้าและอาสะใภ้ของเจ้าดีใจเสียเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะยุ่งกับการทำอาหารที่บ้าน ข้ากับนางก็คงล่วงหน้ามาก่อนแล้ว”
“ไม่ได้เจอกันนานเพียงนี้ ข้าเองก็คิดถึงอาสะใภ้ยิ่งนักเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
“ไม่ต้องรีบ อาสะใภ้ของเจ้าพูดแล้ว รอจนเจ้าใกล้คลอดแล้วนางจะมา มาช่วยแม่เจ้าดูแลเจ้าตอนอยู่ไฟ” ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่จริงจังว่า “อย่างนั้นข้าต้องขอบคุณอาสะใภ้ล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะหากท่านอาสะใภ้กลับไปจะต้องบอกนางว่าหากนางทำไม่ได้อย่างพูด ถึงเวลาแล้วไม่มาหาข้า ข้าก็จะไม่พูดด้วยเลย”
ภรรยาเมิ่งต้าจินรู้ว่านางล้อเล่น จึงได้พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว กลับไปแล้วข้าจะบอกนาง”
จากนั้นก็พูดคุยหยอกล้อกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปทางเมิ่งเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เมิ่งเหริน เตรียมตัวมาเป็นอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเหรินพูดด้วยความมั่นใจว่า “น้องโยวเอ๋อร์ วางใจเถิด ข้าไม่รับประกันว่าจะสอบได้ที่หนึ่ง แต่สอบติดนั้นเป็นไปได้แน่นอน”
“ดีแล้ว ข้าจะรอข่าวดีจากพี่ เมื่อถึงตอนนั้นท่านสอบติดแล้ว ท่านจะต้องพาพวกข้าไปกินอาหารที่ร้านที่ดังที่สุดในเมืองหลวงด้วยนะ”
หลายปีก่อน เวลาว่างจากการเรียน เมิ่งเหรินจะช่วยที่บ้านจัดการที่โรงงาน ได้เงินมาไม่น้อย มาเมืองหลวงครั้งนี้ก็ได้นำมาเกือบทั้งหมด เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงได้ทุบอกด้วยความมั่นใจว่า “ไม่มีปัญหา ไม่ต้องรอสอบติดหรอก หากเจ้าอยากไปบัดนี้จะไปเลยก็ได้ พี่ใหญ่จะเลี้ยงเจ้าเอง”