เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพร้อมรอยยิ้ม “บัดนี้ข้าอยากกินอะไรแปลกๆ ของดีๆ กินส่วนใหญ่จะกินไม่ลง รอให้ท่านสอบติดเสียก่อน รสปากข้าก็คงกลับมาเป็นดังเดิม ถึงตอนนั้นข้าจะกินให้หนำใจเลยทีเดียว”
“ได้เลย เอาตามนี้ล่ะ ถึงตอนนั้นให้เจ้าเป็นผู้เลือกร้านอาหาร” เมิ่งเหรินตอบอย่างไม่ลังเล
รอถึงเดือนหน้า ตอนที่เขารู้ว่าการกินอาหารที่ร้านอาหารดังในเมืองหลวงต้องใช้อัฐเท่าใด ก็จะรู้เองว่าสมบัติทั้งหมดที่เขาสะสมมานั้นไม่พอจะจ่ายแม้เพียงครึ่งหนึ่งของค่าอาหารมื้อนั้นด้วยซ้ำ
คนในครอบครัวพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แต่ทว่าฝั่งที่พักคนงานนั้น ภรรยาเหวินเปียวเห็นเหวินเปียวเดินกะเผลกมา ก็น้ำตาไหลด้วยความสงสาร “น้องสองและน้องสามปิดบังข้ามาโดยตลอด บอกเพียงว่านายหญิงได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นข้ายังแอบตำหนิท่านในใจ ว่าเหตุใดจึงไม่ดูแลนายหญิงให้ดี คิดไม่ถึงว่าท่านเองก็…” พูดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ น้ำตาไหลรินออกมามากกว่าเดิม
เหวินเปียวเช็ดน้ำตาให้กับภรรยา โดยที่ไม่สนใจว่าลูกๆ ก็อยู่ตรงนั้น พูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ดูสิ ข้าก็มิได้เป็นอะไรเสียหน่อย เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย”
อาศัยอยู่ในชนบทมานานหลายปี ครอบครัวของเหวินเปียวชินกับชีวิตเช่นนั้นแล้ว นอกจากปีแรกๆ จะมีฝันถึงชีวิตในเมืองหลวงบ้างเป็นครั้งคราว ปีสองปีมานี้ไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องเก่าๆ อีก ตอนนี้ไม่เพียงแค่เศร้าโศกเท่านั้น แต่ยังร้องไห้หนักกว่าเดิม “คิดถึงตอนนั้น ท่านเป็นถึงท่านชายหนุ่มผู้น่าเกรงขาม เป็นผู้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่บัดนี้กลายเป็นเช่นนี้ได้ ข้าเจ็บใจเหลือเกิน”
“เจ้าจะเสียใจไปใยกัน นายหญิงมอบชีวิตให้ครอบครัวเราสิบกว่าชีวิต หากปีนั้นไม่ได้นายหญิงยอมเสี่ยงซื้อพวกเรามา น่ากลัวว่าพวกเราตอนนี้ก็คงเหลือเพียงเถ้ากระดูกแล้ว ข้าบาดเจ็บแทนนายหญิงเพียงเท่านี้ถือว่าเล็กน้อยมาก” เหวินเปียวกล่าว
ภรรยาเหวินเปียวพยักหน้าทั้งน้ำตา “ข้าเข้าใจดี บุญคุณของนายหญิงนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน พวกเราจะทดแทนไปถึงชาติหน้าก็ยังไม่หมด ข้าไม่ได้กล่าวโทษอะไร เพียงแต่สงสารท่าน”
อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีแล้ว มีหรือเหวินเปียวจะไม่รู้ว่าภรรยาของตนเป็นคนเช่นไร เมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้ปลอบนางเสียงเบา “ข้าคำนวณไว้แล้ว ยังโชคดีที่รักษาขาเอาไว้ได้ ส่วนกัวเฟยไม่สามารถรักษาแขนไว้ได้”
ทุกคนอยู่ด้วยกันมาหลายปี มีความรักใคร่ผูกพันธ์กันไม่น้อย เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อย่างนั้นจะทำอย่างไรดี เขาจะรับได้หรือ”
“แขนขาดไปแล้ว หากรับไม่ได้จะให้ทำอย่างไร โชคดีที่นายท่านป็นคนดี ไม่ได้ให้เงินมาปิดปากเขา แต่ยังให้เขาสามารถอยู่ในบ้านนี้ต่อไปได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอยู่คุ้มครองคุณชายได้ตลอดเวลาเช่นเดิม แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวไปจนแก่ เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว”
ภรรยาเหวินเปียวเช็ดน้ำตา ถอนหายใจออกมา “เทียบกันแล้ว ท่านโชคดีกว่ามาก ข้าไม่ควรเสียใจเลยจริงๆ”
“อย่างนั้นล่ะถูกแล้ว รีบเช็ดน้ำตาเข้า อายเด็กๆ มัน”
นางมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ กล่าวว่า “ลูกของตัวแท้ๆ จะอายอะไร”
เหวินเปียวลูบหัวนางด้วยความเขินอาย ฉีกยิ้มกว้างส่งให้นาง
เมื่อเห็นท่าทีทะเล้นเช่นนี้ของเขา ภรรยาของเขาหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา พูดว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
เมื่อเห็นว่านางหยุดร้องแล้ว เหวินเปียวก็โล่งใจ พูดว่า “ว่ามาเถิด”
“ซงเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว กลับมาครั้งนี้ข้าอยากให้นายหญิงหาคู่ให้เขา”
เหวินเปียวมองเหวินซงด้วยความตกใจ ถามย้ำว่า “จะให้นายหญิงหาคู่ให้อย่างนั้นหรือ”
ภรรยาของเหวินเปียวพยักหน้า “ซงเอ๋อร์ถูกใจแม่นางชิงหลวนของนายหญิง อยากจะสู่ขอนางมาร่วมชีวิต ไม่รู้ว่านายหญิงจะยอมหรือไม่”
เวลาหลายปีมานี้ ซงเอ๋อร์นับว่ารู้จักชิงหลวนและจูหลีพอสมควร ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย “ชิงหลวนมีสถานะเป็นองครักษ์เงา ข้าไม่แน่ใจว่านายหญิงจะยอมให้นางมีคู่หรือไม่”
ภรรยาเหวินเปียวเติบโตมาจากเมืองหลวง รู้ดีว่าในบ้านผู้ดีมีตระกูลนั้นจะเลี้ยงองครักษ์เอาไว้ ทั้งยังมีกฎที่เข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้พวกเขาแต่งงานมีครอบครัวเด็ดขาด เมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดร้อนใจขึ้น “อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ ซงเอ๋อร์คิดถึงนางตลอดเวลา ข้าจึงได้ปฏิเสธแม่สื่อแม่ชักไปหลายคนทีเดียว”
เหวินซงเองก็ร้อนใจ จะได้ตะโกนออกมา “เตี่ย!”
เหวินเปียวมองไปทางเขา พูดว่า “หากเป็นหญิงอื่น เตี่ยรับรองว่าจะไปสู่ขอมาให้เจ้าให้ได้ แต่ว่าสถานะของชิงหลวนไม่ธรรมดา เตี่ยไม่กล้ารับปากกับเจ้า เอาอย่างนี้ รอให้นายหญิงและนายท่านสะสางความเก่าเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปถามให้ หากนายหญิงตกลง เราก็จัดเตรียมสินสอดไปสู่ขอชิงหลวนอย่างเป็นทางการ แต่หากท่านไม่ตกลง เจ้าก็จงอย่ารั้น ตามแม่เจ้ากลับบ้านไป หาหญิงดีๆ สักคน แต่งงานกับนางเสีย”
“ขอบคุณขอรับเตี่ย” เหวินซงตอบรับด้วยความยินดี หลายปีมานี้ใช้ชีวิตในชนบท ได้แต่ติดตามนายหญิงรองไปทำการค้า เดินทางไปหลายที่ และก็ไม่พบกับหญิงสาวหลายคน แต่ไม่มีใครทำให้เขาสนใจได้เลย มีเพียงชิงหลวนเท่านั้น รอยยิ้มของนาง การกระทำของนางทุกอย่างต่างดึงดูดเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะกลับบ้านที่ชนบทไปแล้วก็ยังคงคำนึงถึงนางเสมอ เป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว แต่ในใจของเขาไม่เคนลืมชิงหลวนได้ลงเลย หากไม่ใช่เพราะนายหญิงหายตัวไปแปดเดือน เขาก็คงเขียนจดหมายไปขอร้องให้นางเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร เขาสาบานว่าชาตินี้หากไม่ได้คู่กับชิงหลวน เขาก็จะไม่แต่งงานกับใครอื่น
แน่นอนว่าเหวินเปียวไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ แม้ว่าจะรับปากเขาแล้วแต่ก็ยังไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะทำได้หรือไม่
ภรรยาเหวินเปียวก็ได้พูดขึ้นว่า “เหลียนเอ๋อร์ก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ท่านก็ไปถามนายหญิงด้วยว่าจะหาคู่ครองในนางด้วยได้หรือไม่”
ปีนี้เหวินเหลียนอายุครบยี่สิบปีแล้ว ไม่ว่าจะในเมืองหรือในชนบท คนที่อายุอานามเพียงนี้ปกติจะต้องมีลูกเต็มบ้านหมดแล้ว หลายปีมานี้เขาไม่ได้อยู่ข้างกายพวกนาง ลืมเรื่องเช่นนี้ไปเสียได้ เมื่อได้ยินดังนั้น จึงได้พูดกับเหวินเหลียนด้วยความรู้สึกผิด “เหลียนเอ๋อร์ เป็นความผิดของเตี่ยเอง ควรจะต้องจัดการเรื่องคู่ครองของเจ้าตั้งนานแล้ว”
เหวินเหลียนทำงานอยู่ที่ร้านแป้งมันฝรั่งในเมืองตลอด ถูกไอร้อนอบอยู่เป็นเวลานาน ทั้งยังไม่ค่อยได้ถูกแสงแดด ใบหน้าสีดำคล้ำก็ขาวขึ้นมาไม่น้อย เมื่อได้ยินคำของเหวินเปียวดังนั้น ใบหน้าขาวนวลก็ได้มีสีแดงระเรื่อขึ้นมา รีบพูดขึ้นว่า “เตี่ย ข้าไม่รีบเจ้าค่ะ อยู่กับเตี่ยและแม่ต่อไปเช่นนี้ดีอยู่แล้ว”
ตอนที่เกิดเรื่องโชคร้ายขึ้นนั้น เหวินเหลียนอายุเพียงสิบสี่ปี ก่อนหน้านั้นแม้ว่าจะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจ แต่ก็เป็นสาวน้อยที่ทุกคนรักและเอ็นดู แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นนางเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดโดยเฉพาะช่วงเวลาไม่กี่วันที่ต้องอยู่ในคุก ถูกคนในเมืองหลวงมองด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ หากไม่ใช่เพราะนางมีวิชาต่อสู้ ก็คงไม่มีโอกาสล้างมลทินให้ตัวเอง ทั้งหมดนี้ เป็นปมใหญ่ในใจของนาง นานแสนนานนางก็มิอาจลืมเลือนได้ จากที่มีนิสัยห้าวหาญและโลดโผน กลายเป็นสาวน้อยที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทำให้ผู้คนมักจะลืมการมีตัวตนอยู่ของนาง
แต่เหวินเหลียนไม่ได้ใส่ใจมากนัก จะมีคู่หรือไม่มีสำหรับนางแล้วก็ไม่ต่างกัน ขอเพียงแค่คนในครอบครัวปลอดภัย ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบนางก็พอใจแล้ว
แต่คนเป็นแม่เห็นลูกตัวเองเก็บตัวมากขึ้นทุกวัน รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก บัดนี้จึงได้ใช้โอกาสที่ต้องเดินทางมาหาเหวินเปียวพาทั้งสองมาด้วย หวังจะให้นายหญิงเห็นแก่ที่ครอบครัวนางทำงานด้วยความตั้งใจมาตลอดหลายปี หาคู่ครองให้ลูกๆ โดยเฉพาะเหวินเหลียนให้ได้
ติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาได้หลายปีแล้ว น้อยครั้งที่จะถามถึงคนที่บ้าน เหวินเปียวรู้สึกผิดกับลูกสาวและลูกชายของคนเป็นอย่างมาก เช้าของอีกวันเขาได้หาโอกาสไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดว่า “นายหญิง เหวินเปียวมีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน”
ติดตามตนมาหลายปีแล้ว เหวินเปียวไม่เคยเปิดปากของร้องนางเลยไม่ว่าเรื่องใด เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ยิ้มและถามว่า “มีอะไรพูดมาเถิด ไม่ถึงต้องขอร้องข้าหรอก”
เหวินเปียวกล่าวตามจริง “ซงเอ๋อร์ชอบใจแม่นางชิงหลวนของท่าน ท่านจะยอมยกชิงหลวนให้เขาได้หรือไม่”
ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปจริงๆ ครู่หนึ่งถึงได้หัวเราะออกมา เสียงนั้นสดใสเหลือเกิน
เหวินเปียวใจหายกว่าเดิม บนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา แต่ก็ยังคงขอร้องต่อไป “ข้ารู้ดีว่าองครักษ์เงานั้นจะไม่สามารถแต่งงานได้ตามอำเภอใจ แต่ซงเอ๋อร์หลงรักชิงหลวนผู้เดียว หวังว่านายหญิงจะเห็นใจด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดหัวเราะ ถามเขาว่า “เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
เขาเดาท่าทีนางไม่ออก เหงื่อบนหน้าผากผุดออกมามากกว่าเดิม น้ำเสียงร้อนรนมากขึ้น “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ เมื่อวานซงเอ๋อร์บอกกับข้า วันนี้ข้าจึงได้มาขอร้องท่าน ได้โปรดรับปากตกลงด้วยเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบเขา แต่กลับยิ้มและสั่งว่า “เจ้าไปเรียกเหวินซงมา ข้าจะถามเขาให้ชัดเจน”
เหวินเปียวจนปัญญา ทำได้เพียงหันหลังกลับไปยังห้องพักคนงาน เรียกเหวินซงให้ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
สองพ่อลูกมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้งด้วยท่าทีเกรงกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้มว่า “เหวินซง เจ้านี่ตาถึงเสียจริง ชิงหลวนเป็นสาวใช้ที่เก่งที่สุดของข้า เจ้าไปถูกใจนางตั้งแต่เมื่อใดกัน”