ใบหน้าดำคล้ำของเหวินซงเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นในทันที ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ปีก่อนตอนเกิดเรื่อง นางเพิ่งเข้ามา ท่าทางร่าเริงอารมณ์ดีของนางดึงดูดข้า ตอนนั้นข้าไม่กล้าพูดเรื่องแต่งงานกับเตี่ยและแม่ คิดว่าตนไม่เหมาะสมกับนาง แต่สองปีมานี้ แม้ว่าข้าจะอยู่ที่ชนบท แต่ก็ยังลืมนางไม่ลง จึงขอร้องนายหญิงช่วยข้าให้สมหวังด้วยขอรับ”
เหวินซงพูดถึงว่าครอบครัวของเขาอดไม่ได้ที่จะกลับไปยังค่ายองครักษ์ เป็นเหตุให้เมิ่งเชี่ยนโยวต้องถูกจับตัวไป ตอนนั้นเองที่พระชายามอบชิงหลวนและจูหลีให้นาง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบรับในทันที ยิ้มและพูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ของชิงหลวนข้าคงจะตอบตกลงเจ้าโดยง่ายไม่ได้ เอาอย่างนี้รอให้ข้ากลับไปถามความเห็นของชิงหลวนเสียก่อน หากนางยินดี ข้าก็จะไปสู่ขอให้ แต่หากนางไม่ยินดี เจ้าก็อย่าดึงดันเลย”
เหวินซงเห็นว่านายหญิงไม่ได้ขัดขวางจึงได้มีความหวังขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าเมิ่งเชียนโยวแล้วล่ะก็ เขาคงจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมาเพราะความดีใจเป็นแน่ กล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณขอรับนายหญิง ขอบคุณขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและตอบว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก พวกเจ้าถึงเวลาจะต้องมีเหย้ามีเรือนกันแล้ว ในฐานะนายหญิง ข้าควรจะจัดการให้ตั้งนานแล้ว”
เหวินเปียวเองก็กล่าวขอบคุณตามมาติดๆ ตนเองมีลูกชายคนเดียว หากว่าได้ตกล่องปล่องชิ้นกับคนในดวงใจ เขาก็สามารถติดตามนายหญิงอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่บ้านอีกแล้ว
เมื่อพูดเรื่องเหวินซงจบ เหวินเปียวกำลังจะเปิดปากถามเรื่องเหวินเหลียน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดขึ้นมาก่อน “เหวินเหลียนเองก็อายุไม่น้อยแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าและภรรยาไปตกลงกันว่าต้องการให้ข้าจัดการเรื่องคู่ครองให้หรือไม่”
เหวินเปียวพยักหน้า “นายหญิง ท่านพูดตรงประเด็นทีเดียว ข้าและแม่ของเด็กๆ เพิ่งจะคุยกันว่าอยากจะให้ท่านจัดการเรื่องคู่ครองของเหวินเหลียนให้ทีขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนับว่ารู้จักเหวินเหลียนดี เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “ได้ ข้าจะไปคุยกับอี้เซวียน ดูทีว่าเขามีลูกน้องที่เหมาะสมหรือไม่ ถ้าหากมี ข้าจะแจ้งเจ้าไป”
เหวินเปียวพยักหน้าด้วยความดีใจอีกครั้ง เดินกลับมายังที่พักคนงานกับเหวินซง นำข่าวดีบอกภรรยาของตน
เมื่อเห็นร่างเดินกระเผลกของเขาจากด้านหลัง ทำให้คิดถึงเรื่องหลายปีมานี้ เหวินเปียวและพรรคพวกหนักเอาเบาสู้ติดตามตนมาด้วยความจงรักภักดี จึงผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา คิดว่าอีกครู่เมื่อพบอี้เซวียนแล้วจะคุยกับเขา หากวันนี้ไม่มีอุปสรรคใดๆ เรื่องนี้คงทำได้ไม่ยาก
หวงฝู่อี้เซวียนที่ปกติแล้วจะตัวติดกับนาง ถูกเมิ่งต้าจินรั้งตัวไว้เพื่อถามเรื่องเกี่ยวกับการสอบจอหงวนของเมิ่งเหริน แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน แต่ก็ยังเคยได้ยินมาบ้าง จึงได้นำสิ่งที่ตนพอจะรู้ และสิ่งที่พวกเขาควรจะต้องระวัง บอกพวกเขาไปทั้งหมด
จากนั้นก็ได้อยู่พูดคุยกับสองพ่อลูกสักครู่ จึงได้เดินออกมา ก็พบกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังเดินเล่นอยู่ในจวน
เมื่อเห็นเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพร้อมโบกมือให้ เล่าเรื่องที่สองพ่อลูกเหวินเปียวมาหานางเมื่อครู่ให้เขาฟัง ยิ้มและพูดว่า “คาดไม่ถึงเสียจริงว่าโชคจะเข้าข้างเราเสียเพียงนี้ คราแรกพวกเราเพียงต้องการจะจัดการเรื่องจูหลีและกัวเฟยแท้ๆ ไม่คิดเลยว่าชิงหลวนก็มีดวงแต่งกับเขาด้วย”
แต่หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ดีใจเท่ากับนาง พูดเสียงต่ำว่า “ชิงหลวนและจูหลีเป็นคนข้างกายเจ้าที่รู้งานที่สุด หากทั้งสองออกเรือนไปพร้อมกันแล้ว อย่างนั้นข้างกายเจ้าก็ไม่มีคนคอยรับใช้แล้วหนา”
“เรื่องเท่านี้เอง บัดนี้เฮ่อจางถูกปลดไปแล้วรอบตัวข้าสงบสุขยิ่งนัก ชิงหลวนและจูหลีจะอยู่หรือไม่ก็มิเป็นไรหรอก อีกอย่าง ต่อให้พวกนางออกเรือนไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถอยู่ข้างกายข้าได้ดังเดิม”
แต่หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่เห็นด้วย เขาต้องการให้มีคนคอยดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างกายตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่านางไม่มีอันตรายใดๆ จึงได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “รอจนพวกนางออกเรือนไปแล้ว ให้ท่านแม่เลือกองครักษ์มาให้เจ้าใหม่สองคนเถิดนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพร้อมยิ้ม “ไม่ต้องหรอก ข้าคุ้นชินกับชิงหลวนและจูหลีเสียแล้ว เปลี่ยนเป็นคนอื่นข้าไม่ชิน”
หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวนางด้วยความเอ็นดูเป็นที่สุด ไม่พูดอะไรต่อ
ชิงหลวนเข้ามา รายงานทั้งสองว่า “ซื่อจื่อ นายหญิง ฮูหยินถามว่าวันนี้จะอยู่รับประทานอาหารกลางวันหรือไม่เจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ กวักมือให้นาง “ชิงหลวน เจ้ามานี่ที ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
ชิงหลวนเดินเข้ามา “นายหญิง มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“วันนั้นที่ข้าบอกให้เจ้าไปหาคนที่ถูกใจมา เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามีคนที่ถูกใจหรือไม่ บอกข้าที” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของชิงหลวนไม่เปลี่ยนไป ตอบว่า “ข้าน้อยไม่มีคนที่ถูกใจเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นให้ข้าแนะนำให้เจ้าเป็นอย่างไร”
ชิงหลวนลังเลเล็กน้อย “นายหญิง หน้าที่ของข้าน้อยก็คือดูแลความปลอดภัยของท่าน เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้ไม่ต้องไปพูดถึงดีหรือไม่เจ้าคะ ชิงหลวนไม่มีความคิดอยากออกเรือน”
น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความหนักแน่น “เรื่องนี้ไม่ได้ หากเจ้าไม่ออกเรือน ต่อไปก็ห้ามอยู่ข้างกายข้าอีก ข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้าแก่เฒ่าไปอย่างโดดเดี่ยว”
ชิงหลวนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “อย่างนั้นก็ตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ ข้าไม่มีความเห็น”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสดังเดิม ถามด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดว่าเหวินซงเป็นอย่างไร”
สีหน้าของชิงหลวนงุนงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านึกไม่ออกในทันทีว่าเหวินซงคือผู้ใด
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้ช่วยพูดให้นางนึกออก “ลูกชายของเหวินเปียวอย่างไรเล่า สองปีก่อนที่เจ้าเพิ่งจะมาอยู่กับข้า เขาได้รับบาดเจ็บพอดี พักฟื้นอยู่กับบ้าน จากนั้นก็กลับบ้านไป”
ชิงหลวนจึงนึกขึ้นได้ เป็นชายหนุ่มที่ต้องหน้าแดงทุกครั้งยามพูดคุยกับนาง ร่างสูงใหญ่ ดวงตาโต ผิวสีคล้ำ เมื่อยิ้มออกมา มักจะทำให้คนรู้สึกสบายใจ
“วันนี้เขามาขอร้องข้า บอกว่าสองปีก่อนก็ถูกใจเจ้าเข้าแล้ว อยากให้ข้าเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้ ข้าไม่ได้ตกลงในทันที อยากจะถามความเห็นเจ้าก่อน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่กำยำ ขี้อายผู้นั้น ชิงหลวนก็หน้าแดงขึ้นมา ตอบเสียงเบาว่า “ข้าน้อยไม่มีความเห็นเจ้าค่ะ ทั้งหมดตามแต่นายหญิงจะว่าควร”
เช่นนี้ถือเป็นการตอบรับแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ดี อีกครู่ข้าไปบอกพวกเขา รอให้พี่ข้าสอบจอหงวนเรียบร้อยแล้ว เราจะจัดการเรื่องคู่ครองของเจ้า”
ชิงหลวนฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดว่า “ข้าไม่อยากห่างจากนายหญิง”
เหวินซงอาศัยอยู่ในชนบท หากแต่งงานกันแล้ว ต้องกลับไปกับเขา และต้องจากนายหญิงไป นางยอมไม่แต่งดีกว่า
เมื่อได้ยินนดังนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและพูดว่า “วางใจเถิด ต่อให้เจ้ายอมจากข้าไป ข้าก็ไม่ยอมอยู่ดี เจ้าเตรียมตัวออกเรือนอย่างมีความสุขเถิด เรื่องที่เหลือให้ข้าจัดการเอง”
ชิงหลวนพูดว่า “ข้าน้อยตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีvะไรต้องเตรียมเจ้าค่ะ รอถึงเวลาไปสักการระฟ้าดินก็เพียงพอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ พูดว่า “เจ้าไปบอกแม่ข้า บอกว่าวันนี้จะอยู่กินอาหารกลางวันด้วย และข้าอย่างกินยำผักที่นางทำ”
ชิงหลวนตอบรับ เดินจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองตามหลังนาง พูดว่า “นับว่าจัดการไปได้แล้วคนหนึ่ง คนต่อไปก็คือจูหลี อย่างมากก็วันมะรืนนี้ ข้าและท่านแม่จะบังคับให้กัวเฟยไปสู่ขอนางให้ได้”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ “เจ้านี่หนา เป็นแม่สื่อแม่ชักเสียเพลิน เรื่องงานแต่งของอวี้เอ่อร์ยังไม่เรียบร้อยเลย ยังจะมากังวลเรื่องจูหลีและกัวเฟยอีกหรือ”
“เรื่องงานแต่งของอวี้เอ๋อร์ไม่ยากเจ้าค่ะ ข้าคิดได้ตั้งนานแล้ว อีกสองวันเจ้าสั่งคนให้ไปปล่อยตัวท่านชายคนนั้นออกมา ส่งเขาไปยังเมืองหลวงอย่างลับๆ ส่วนเรื่องต่อจากนั้น เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว รอดูได้เลย มีข้าและท่านแม่อยู่ตรงนี้ พวกเขาจะต้องสมหวังไปตามๆ กันแน่”
“ท่านราชเลขาหลินไม่ใช่คนที่จะต่อกรได้ง่าย หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง จวนอ๋องของเราคงจะถูกพวกเขาถอนหงอกเป็นแน่”
สายตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ตอนนั้นคิดแต่ว่าอยากจะรีบจัดการเรื่องของท่านและแม่นางหลิน พวกเราจึงต้องยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาอย่างเสียไม่ได้ บัดนี้ ฮื้ม…สิ่งใดที่ติดค้างกับพวกเราไว้ พวกเขาจะต้องชดใช้”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าพร้อมยิ้ม พร้อมกันนั้นก็เตือนนางด้วยเสียงอ่อนโยน “เรื่องที่เจ้าจะกังวลเรื่องพวกเขาข้าไม่ว่าอะไร แต่เจ้าอย่าหักโหมเกินไป เจ้าต้องดูแลลูกในท้องให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา…” พูดถึงตรงนี้ เสียงเขาลดต่ำลง กระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าเองก็รู้วิธีของข้า”
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาหักโหมสามวันสามคืนไม่พัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตัวสั่นขึ้นมา กอดแขนเขาไว้แน่น ยิ้มอย่างออดอ้อน “วางใจเถิด ข้ารู้จักประมาณตน อย่างไรก็ต้องเอาลูกเป็นหลัก”
นานๆ ทีนางถึงจะมีท่าทางเชื่อฟังเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนใจเต้น อาศัยช่วงที่รอบกายไม่มีคน รีบก้มลงจุมพิตริมฝีปากนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง กอดแขนของเขาเดินเข้ามายังห้องรับรองแขก
ฝั่งทางเหวินเปียวและเหวินซงกำลังคุยอะไรกันบางอย่างอย่างออกรส เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ทักทายทั้งสอง “ซื่อจื่อ นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มาถึงตั้งแต่เมื่อวาน มัวแต่คุยกับบ้านท่านป้าจนดึก ไม่มีเวลามาเยี่ยมพวกเจ้า”
ภรรยาเหวินเปียวรีบโบกมือ “นายหญิงพูดอะไรเช่นนี้ ข้าควรจะต้องพาลูกทั้งสองไปทักทายท่านจึงจะถูก แต่ว่าสามีข้าพูดว่า ครอบครัวท่านชายเพิ่งจะมาถึง พวกท่านคงจะมีเรื่องจะพูดคุยกันมากมาย ไม่ให้พวกข้าไปรบกวน ดังนั้น เราสามคนแม่ลูกจึงไม่ได้ไป ขอนายหญิงอภัยให้ด้วย”
ภรรยาเหวินเปียวเหมือนเหวินเปียวไม่มีผิด เป็นผู้ให้ความสำคัญกับมารยาท หลายปีมานี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นระเบียบเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพร้อมยิ้ม “คนบ้านเดียวกันแท้ๆ อย่าพูดอะไรเช่นนี้เลย ข้าและอี้เซวียนมาที่นี่ก็เพื่อจะมาบอกข่าวดีให้กับพวกเจ้า”
ภรรยาเหวิงเปียวยิ้มตาหยี ถามด้วยความยินดีว่า “นายหญิง ข่าวดีอะไรหรือคะ เป็นเรื่องที่แม่นางชิงหลวนตกลงแต่งงานกับเหวินซงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าเดาถูกแล้วล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยความดีใจ “ชิงหลวนเองก็พอใจตัวเหวินซงเช่นเดียวกัน บอกว่าทั้งหมดตามแต่ข้าจะเห็นควร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็เตรียมตัวได้เลย หลังจากพี่เมิ่งเหรินสอบจอหงวนเสร็จแล้ว ก็จัดงานแต่งให้พวกเขาได้”
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ภรรยาเหวินเปียวเสียอาการ รีบเดินเข้ามาจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ กล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้งว่า “จริงหรือเจ้าคะ ดีเหลือเกิน ขอบคุณนายหญิงมากเจ้าค่ะ”
พูดจบ ก็คิดได้ว่ากิริยาของตนไม่เหมาะสม จึงได้รีบปล่อยมือเมิ่งเชี่ยนโยว เดินถอยหลังออกไป พูดด้วยสีหน้าแดงก่ำว่า “ข้าดีใจเหลือเกิน จึงได้ล้ำเส้นไป นายหญิงโปรดอภัยด้วย”
เหวินซงและเหวินเหลียนอายุเข้ายี่สิบปีกันแล้ว ไม่ว่าจะในเมืองหลวง หรือต่อให้ในชนบท อายุเท่านี้ก็ต้องมีลูกคนคนหนึ่งหรือสองคนแล้ว แต่เรื่องงานแต่งของทั้งสองเพิ่งจะได้ลงตัววันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเองเข้าใจความรู้สึกของภรรยาเหวินเปียว ยิ้มและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
เหวินเปียวเองก็ดีใจไม่แพ้กัน ชายร่างสูงกำยำถูมือกันไปมาด้วยความตื่นเต้น
ครั้งนี้เหวินซงอดไม่ไหว ดีใจจนกระโดดขึ้นมา เมื่อเท้าตะพื้นจึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนเสียมารยาท รีบเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน โค้งคำนับทั้งสองจนลำตัวขนานไปกับพื้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจที่อดกลั้นไม่อยู่ “ขอบคุณขอรับซื่อจื่อ ขอบคุณขอรับนายหญิง”
เหวินเหลียนเองก็เม้มปากยิ้ม พี่ชายเป็นตั่วเฮียของบ้านเหวิน ในที่สุดก็ได้เป็นฝั่งฝาเสียที เป็นเรื่องที่นี่ยินดีที่สุดในรอบหลายปีมานี้เลย
เมิ่งเชี่ยนโยวสุงเกตสีหน้าของทุกคนในครอบครัวนี้ ในใจก็ยินดีไปกับเหวินซง ในสมัยนั้น เป็นการคลุมถุงชนเสียมาก ได้ครองคู่กับคนที่รักใคร่ชอบพอกันนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้ว่าการแต่งงานของเหวินซงและชิงหลวนนั้นจะเกิดจากความต้องการของเหวินซงเพียงผู้เดียว แต่ก็เพียงพอแล้ว ชิงหลวนเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เชื่อว่านางจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเหวินซงได้อย่างมีความสุขชั่วชีวิต
กลอกสายตาไป เห็นเหวินเหลียน เห็นนางยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังผู้คน ใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจจึงได้เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่ว่าไม่ได้พูดออกไป แต่กลับพูดว่า “เหวินเหลียน เรื่องแต่งงานของเหวินซงจัดการเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นเจ้า เจ้าอยากออกเรือนกับชายแบบใด”
เหวินเหลียนทำความเคารพนาง “ทั้งหมดตามแต่นายหญิงจะเห็นควรเจ้าค่ะ ข้าไม่มีความเห็นใด เพียงแต่ขออยากจะอยู่ข้างกายเตี่ยกับแม่”
“อย่างนั้นก็ยากเสียแล้ว เป็นหญิงมีแต่จะต้องแต่งออกเรือนไป เจ้าอยากอยู่ข้างกายพ่อกับแม่ เช่นนี้แล้วจะต้องหาลูกเขยที่แต่งเข้าอย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยรอยยิ้ม
เหวินเหลียนหน้าแดง แต่ก็ยังคงพูดต่อไปว่า “นายหญิงเข้าใจความหมายข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ที่บ้านมีพี่ใหญ่อยู่ทั้งคน ข้าเองก็คงไม่ต้องการแต่งลูกเขยเข้าบ้าน แต่ความหมายของข้าคืออยากหาชายที่อยู่ใกล้ๆ เตี่ยกับแม่ มาดูแลทั้งสองได้ตลอดเวลา”
“อย่างนั้นเจ้าจะหาคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือว่าในชนบทกันเล่า”