เหวินเหลียนไม่ทันได้ตอบ ก็มีสองเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

“ในเมืองหลวง!”

 

 

“ในชนบท!”

 

 

คนที่บอกว่าในเมืองหลวงคือภรรยาเหวินเปียว ส่วนคนที่บอกว่าในชนบทนั้นคือตัวเหวินเปียวเอง

 

 

สิ้นเสียงของคนทั้งสอง ภรรยาของเหวินเปียวก็รีบพูดว่า “นายหญิง อย่าไปฟังเขาเจ้าค่ะ ให้เหวินเหลียนอยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละ”

 

 

เหวินเหลียนเป็นเด็กผู้หญิง ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องขึ้นที่บ้าน เหวินเหลียนคงได้ครองคู่กับคนที่ดีไปนานแล้ว ไม่เป็นเหมือนเช่นวันนี้

 

 

อยู่ในชนบทมาทั้งชีวิต แม้ว่านายหญิงจะดีกับตระกูลของตนเองมาd แต่ภรรยาของเหวินเปียวก็หวังอยากจะให้เหวินเหลียนได้มีชีวิตเช่นเดียวกับเด็กสาวคนอื่น ได้คู่ครองที่ดี

 

 

สิ่งที่เหวินเปียวคิดไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ ตนเองอยู่ข้างกายนายหญิงมานานหลายปี ไม่ค่อยได้ดูแลครอบครัว ชิงหลวนเป็นคนข้างกายนายหญิงที่ได้เรื่องมากที่สุด หากเหวินซงแต่งงานกับนาง อย่างไรก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงต่อ หากเหวินเหลียนยังมาลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงอีก อย่างนั้นก็จะเหลือภรรยาของตนเองอยู่ที่ชนบทผู้เดียว อย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดาความคิดของทั้งสองออก พูดว่า “ให้เหวินเหลียนตัดสินใจเองเถิด ว่านางอยากจะอยู่ที่ใด”

 

 

อย่างไรเสียนางก็เติบโตมาในเมืองหลวง ทุกอย่างที่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่นางคุ้ยเคยและโหยหา แน่นอนว่าเหวินเหลียนอยากอยู่ในเมืองหลวง แต่หากนางอยู่ที่เมืองหลวง อย่างนั้นนานทีปีหนจึงจะได้พบหน้ากับแม่ของตน ในใจก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ เกิดความลำบากใจขึ้น นางเม้มปาก ไม่ได้ตอบอะไรในทันที

 

 

ลูกสาวที่ตนเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยกำลังคิดอะไรอยู่ มีหรือว่าคนเป็นแม่จะไม่รู้ เมื่อเห็นเหวินเหลียนลังเล จึงได้ร้อนใจ รีบบอกนางว่า “เหลียนเอ๋อร์ ไม่ต้องสนใจแม่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ของเจ้า จะสะเพร่าไม่ได้ รีบบอกนายหญิงไปสิว่าเจ้าอยากอยู่ที่เมืองหลวงต่อ”

 

 

เมื่อเห็นท่าทีร้อนใจของแม่ ริมฝีปากเหวินเหลียนขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

เหวินเปียวเปิดปาก แต่ภรรยาเหวินเปียวห้ามเอาไว้ “ชีวิตเรามันก็เท่านี้แหละ แต่เหลียนเอ๋อร์ยังเด็ก จะให้นางใช้ชีวิตอย่างเราอีกไม่ได้ เจ้าสัญญากับข้า ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเหลียนเอ๋อร์อีก”

 

 

ปากที่เปิดอ้าของเหวินเปียวปิดดังเดิม คำพูดที่กำลังจะออกมาก็ถูกกลืนลงไป

 

 

ภรรยาเหวินเปียวหันไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว ขอร้องนางว่า “นายหญิง ข้ารู้ว่าท่านดีกับพวกเรามาก แต่เรื่องของเหลียนเอ๋อร์ ข้ายอมแบกหน้ามาขอร้องท่าน ขอร้องให้ท่านหาคู่ให้นางที่เมืองหลวงนี้ด้วยเถิด ฐานะอย่างเราไม่ขอได้ตระกูลที่สูงส่ง ขอแค่พอมีก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ สายตามองมาที่เหวินเหลียน ถามว่า “ตัวเจ้าอยากอยู่ที่ใด”

 

 

คนเป็นแม่ใจร้อนกว่าเดิม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้อนวอน “เหลียนเอ๋อร์…”

 

 

เหวินเหลียนเม้มปากเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงเบาว่า “ตามความประสงค์ของแม่ข้า ข้าเลือกอยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ”

 

 

ภรรยาเหวินเปียวยินดียิ่ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้าใจแล้ว วันสองวันนี้รอข่าวจากข้าได้เลย”

 

 

เหวินเปียวและภรรยารีบกล่าวขอบคุณ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกจากที่พักบ่าวไพร่ ไปยังห้องนอนของเมิ่งชื่อ

 

 

เมิ่งชื่อเข้าครัวไปแล้ว ทั้งสองจึงได้เดินจูงมือกันไปยังห้องครัว ไม่เพียงเมิ่งชื่อแต่ภรรยาของเมิ่งต้าจินเองก็ช่วยงานอยู่ในครัวด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวให้หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่ด้านนอก เพิ่งเข้าไปในห้องครัวก็ถูกภรรยาเมิ่งต้าจินพบเข้า จึงได้รีบลุกขึ้นมาต้อนรับนาง “โยวเอ๋อร์ ในครัวควันโขมง ไม่ดีต่อลูกในท้องหนา”

 

 

“ท่านอาสะใภ้เจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ เมื่อก่อนท่านและแม่ของข้าก็…” พูดถึงตรงนี้นางก็มีความรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที จึงได้รีบใช้มือปิดปากเอาไว้ หันหลังเดินออกมาด้านนอก นางสาวเท้าเร็วไปเสียหน่อย ทำเอาภรรยาเมิ่งต้าจินตกใจแทบแย่ รีบเดินตามไปด้านหลัง “โยวเอ๋อร์ ค่อยๆ เดิน หากทนไม่ไหวอาเจียนออกมาตรงนี้เลยก็ได้ อีกครู่ป้าทำความสะอาดเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพุ่ ออกจากประตูไป นางทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงได้อาเจียนออกมาเสียงดัง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตกใจมาก รีบเดินไปหานาง ช่วยนางลูบแผ่นหลัง ถามด้วยความร้อนใจว่า “เป็นอะไรหรือ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

 

 

เมิ่งต้าจินเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้วย จึงได้หันหลังกลับไปในครัว หาน้ำเย็นออกมา หวังจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ล้างปาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในทั้งหมดไหลมากองรวมกันในลำคอแล้วตอนนี้ อยากจะอาเจียนออกมาเสียให้หมดให้ได้ นางอาเจียนอยู่นานทีเดียว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนร้อนใจจนมีเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก ถามนางว่า “หลายวันมานี้ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ แล้วเจ้าเป็นอะไรไปอีก”

 

 

เมิ่งชื่อได้ยินเสียงวุ่นวายจึงได้เดินออกมาจากครัว เห็นสภาพเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังอาเจียนออกมาก็รู้สึกสงสารจับใจ พูดว่า “อาการของโยวเอ๋อร์รุนแรงเสียจริง มีตรงไหนผิดปกติหรือไม่ ไปตามหมอมาตรวจดูอาการให้นางดีกว่า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้น จึงได้นำป้ายที่ติดเอวของตนออกมา โยนให้โจวอันทันที พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ไปลากตัวหมอหลวงเจียงมา”

 

 

เขาพูดเช่นนี้เพราะความร้อนรน แต่ลืมไปว่าโจวอันนี้ทำตามคำสั่งของเขาทุกประการ จึงได้ลากตัวหมอหลวงเจียงมาจริงๆ

 

 

หมอหลวงเจียงผู้น่าสงสาร อายุก็มิใช่น้อยๆ แล้ว หลังถูกโจวอันลากตัวมายังตำหนักนั้นไม่เพียงทำเอากระดูกแทบหลุดออกจากกัน และเขายังอาเจียนหนักกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเสียอีก

 

 

เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา อาการแพ้ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับดีขึ้น ยืนมองเขาครู่ใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะออกมา ถามอย่างล้อเล่นว่า “หมอหลวงเจียง ท่านเองก็ตั้งครรภ์เช่นกันหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงแพ้ท้องหนักกว่าข้าเสียอีก”

 

 

หมอหลวงเงยหน้าที่แดงก่ำเนื่องจากอาเจียนขึ้นมา โบกมือ ตอบด้วยความอ่อนแรงว่า “องค์หญิงอย่าล้อเล่นไปเลย ข้าเป็นชาย จะมีครรภ์ได้อย่างไร”

 

 

ทุกคนหัวเราะออกมา

 

 

แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่รู้สึกขำเลย พูดด้วยเสียงต่ำว่า “โยวเอ๋อร์อาเจียนหนักมาก แม่ข้าบอกว่านางผิดปกติที่ใดหรือไม่ รีบตรวจเข้า”

 

 

หมอหลวงเจียงรับปาก มองสำรวจรอบๆ ขมวดคิ้วลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจ จึงได้โน้มตัวลงอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยว สั่งว่า “เจ้ามากับข้า”

 

 

หมอหลวงเจียงสะพายกระเป๋ายาเดินตามมาด้านหลัง เมิ่งชื่อก็ไม่ทำอาหารต่อแล้ว เดินตามมาด้านหลังพร้อมภรรยาเมิ่งต้าจิน

 

 

ทั้งหมดมาถึงห้องรับรองแขก หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลงบนเก้าอย่างเบามือ หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนวางบนข้อมือนางที่พากอยู่บนโต๊ะ

 

 

หมอหลวงเจียงเดินเข้ามา โน้มตัวลงอีกด้าน พับแขนเสื้อขึ้น ก้มลงจับชีพจรให้นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “หมอหลวงเจียงนั่งลงเถิดเจ้าค่ะ ท่านทำเช่นนี้ข้าไม่คุ้นชิน”

 

 

หมอหลวงเจียงอยู่ในวังมานาน วันๆก็ต้องรับใช้เหล่าผู้ดีในวัง คุ้นเคยกับท่าทีต่ำกว่าผู้อื่นเสมอ เมื่อได้ยินคำเมิ่งเชี่ยนโยว รู้ได้ว่านางคำนึงถึงตัวเขา จึงรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก และยิ่งนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ขอบพระคุณองค์หญิง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนทำเสียงไม่พอใจในลำคอ

 

 

หมอหลวงเจียงนึกได้ จึงรีบเปลี่ยนคำ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากยิ้ม

 

 

หมอหลวงเจียงนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งด้วยความเรียบร้อย ตรวจชีพจรให้นางโดยละเอียด

 

 

คนในห้องล้วนแต่มองมาที่หมอหลวงด้วยสายตากังวล มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่มองเขาด้วยรอยยิ้ม

 

 

หมอหลวงเจียงขมวดคิ้วลง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต่างเห็นได้ชัด

 

 

สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา เผยรอยยิ้มปลอบใจออกมา

 

 

นานราวสิบกว่านาที หมอหลวงจึงได้เอามือออกจาแขนนาง พูดว่า “รบกวนซื่อจื่อเฟยยื่นมือด้านซ้ายมาด้วย”

 

 

ครานี้เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินรู้สึกว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว กังวลยิ่งกว่าเดิม

 

 

ครานี้นานกว่าเดิม กว่าที่หมอหลวงจะปล่อยมือเมิ่งเชี่ยนโยว มองคนในห้อง เตรียมจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

 

 

เมิ่งชื่อร้อนใจ จึงได้เร่ง “หมอหลวง มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด โยวเอ๋อร์ผิดปกติที่ใดหรือ”

 

 

“ท่านแม่” เมิ่งเชี่นโยวดดึงมือกลับ ยิ้มและพูดกับนางว่า “ข้ารู้วิชาแพทย์ ตัวข้าผิดปกติที่ใด มีหรือข้าจะไม่รู้ คงเป็นเพราะเมื่อวานข้าตื่นเต้น นอนดึกไปเสียหน่อย วันนี้จึงค่อนข้างเพลีย ทำให้เป็นเช่นนี้ได้”

 

 

เมื่อนางพูดเช่นนี้ หมอหลวงเจียงก็เข้าใจความหมาย จึงได้พยักหน้าเสริม พูดตามน้ำว่า “ไม่มีปัญหาอะไรมากขอรับ นอนพักให้มากก็ดีขึ้น”

 

 

ในสายตาของคนในชนบท หมอหลวงเจียงเป็นดั่งหมอเทวดา ในเมื่อหมอเทวดาบอกว่าไม่เป็นอะไร ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินจึงได้โล่งใจ ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าว “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เป็นความผิดพวกเราเองที่รั้งตัวเจ้าเอาไว้ ไปเร็ว รีบกลับห้องไปนอนพักผ่อนเสีย รออาหารเสร็จแล้ว พวกเราจะไปส่งให้”

 

 

เมิ่งชื่อเห็นด้วย “ใช่ ใช่ ใช่ รีบไปพักผ่อนเร็ว และอีกอย่าง ต่อจากนี้อย่าเข้าไปในครัวอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ พูดว่า “ท่านแม่ ท่านป้าใหญ่ พวกท่านไปทำอาหารเถิดเจ้าค่ะ บัดนี้ข้าหิวกว่าเดิมแล้ว”

 

 

“ได้ ได้ ได้ เจ้านั่งรอ แม่และป้าของเข้าจะรีบไปทำ ไม่นานก็เสร็จแล้ว”

 

 

พูดจบทั้งสองก็เดินออกจากห้องไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหาร

 

 

มองดูร่างของพวกนางหายไปจากหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดกับหมอหลวงว่า “มีอะไรก็พูดมาเถิด”

 

 

หมอหลวงมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

“แผลของข้ามีผลกระทบต่อลูกใช่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างใจเย็น

 

 

หมอหลวงไม่ทันเก็บสีหน้าก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นเข้า สิ่งที่ตนกังวลเกิดขึ้นจนได้ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ยิ้มและพูดว่า “มีผลอย่างไรหรือ”

 

 

หมอหลวงเจียงอ้าปาก เตรียมจะพูด เสียงที่เต็มไปด้วยความตะหนกของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้า…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไป พาเขาเข้ามาใกล้กว่าเดิม เงยหน้า “ไม่ต้องกังวลไป ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันหน้าไปหาหมอหลวงเจียง สายตาดุดัน

 

 

ร่างของหมอหลวงเจียงสั่นเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงอย่างใจเสาะ พูดว่า “แผลของซื่อจื่อเฟยตื้นเกินไป ทั้งยังทำร้ายลูกแฝด ดังนั้น…”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกตัวเขาขึ้นมา น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ดังนั้นอะไร”

 

 

ร่างของหมอหลวงเจียงสั่นมากกว่าเดิม “ดังนั้นอายุครรภ์ยิ่งมาก อันตรายกับตัวของซื่อจื่อเฟยก็ยิ่งมากขึ้นด้วย คาดว่าอายุครรภ์ไม่ถึงกำหนดก็ต้อง…”

 

 

มือของหวงฝู่อี้เซวียนกำแน่นมากขึ้น ดวงตาเริ่มแดงก่ำ “จะเป็นอย่างไร”

 

 

หมอหลวงเจียงรู้สึกว่าตรงที่ถูกเขาจับนั้นเจ็บเหลือเกิน แต่ก็ไม่กล้าร้องออกไป “ก็…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ยิ้มและพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อี้เซวียน เจ้าทำให้หมอท่านตกใจมากแล้ว วางมือลงก่อนเถิด ให้เขาอธิบายให้จบ”

 

 

เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้นจึงวางมือลง

 

 

ร่างของหมอหลวงเจียงสั่นเล็กน้อย เกือบทรงตัวไว้ไม่อยู่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกดหวงฝู่อี้เซวียนให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่ง มองตาเขา พูดว่า “อี้เซวียน ไม่เป็นไรหรอก อย่ากลัวไปเลย ข้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ”

 

 

คำพูดของนางเป็นดั่งการปลอบประโลมใจ จิตใจของหวงฝู่อี้เซวียนสงบขึ้นมา พูดกับหมอหลวงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “รีบพูดมาให้จบ”

 

 

หมอเจียงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พูดอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “จะมีผลสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ ซื่อจื่อเฟยรับเด็กสองคนนี้ไม่ไหว เมื่อถึงตอนหลัง แผลอาจจะเปิดออก ถึงตอนนั้นต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกำหมัดแน่น พูดว่า “อีกอย่างเล่า”

 

 

“อีกอย่างคือ เมื่อถึงช่วงหลังแล้ว เด็กไม่สามารถทนอยู่ในร่างของแม่ได้ อาจจะออกมาเร็ว ซึ่งก็คือการคลอดก่อนกำหนด เมื่อถึงตอนนั้น ซื่อจื่อเฟยและลูกต่างมีอันตรายด้วยกัน”

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ทุ้มต่ำอีกต่อไป ถามด้วยอารมณ์เครียดว่า “มีทางแก้หรือไม่”

 

 

หมอกลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากสั่น จากนั้นจึงได้แข็งใจตอบกลับไปว่า “มีขอรับ”

 

 

“พูดมาสิ!”

 

 

“ในตอนที่ทารกยังอายุไม่มาก ให้ซื่อจื่อเฟยเอาเด็กออกมาก่อน รอเวลาผ่านไป จนร่างกายของซื่อจื่อเฟยแข็งแรงขึ้น จากนั้นค่อยมีลูกใหม่ก็ยังไม่สายขอรับ”

 

 

สิ้นคำเขา ในห้องก็เงียบราวกับป่าช้า

 

 

หมอหลวงเจียงกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง อยากจะหดตัวลงเข้าด้วยกัน อยากทำให้ตัวเองหายไป

 

 

“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่” ผ่านไปครู่ใหญ่ หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

 

หมอหลวงเจียงส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”

 

 

“ไม่มี?” หวงฝู่อี้เซวียนผุดลุกขึ้นทันที ยกตัวเขาขึ้นอีกครั้งราวกับสิงโตคำราม เสียงของความโกรธแทบจะทำให้แก้วหูของหมอหลวงเจียงแตก “เจ้าหมอจอมลวงโลก ตอนนั้นใครกันที่บอกว่าโยวเอ๋อร์จะมีบุตรยาก แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้นางตั้งท้องลูกแฝด เจ้ายังมาบอกว่านางมีอันตราย เจ้ารู้หรือไม่คำพูดไร้ความรับผิดชอบของเจ้าจะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นไร”

 

 

หมอหลวงเจียงหายใจแทบไม่ออก สีหน้าซีดขาว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น จึงรีบเข้ามาปรามว่า “อี้เซวียน เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เจ้าวางหมอหลวงเจียงลงก่อน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคลายมือลง ครานี้หมอหลวงล้มลงไปบนพื้นจริงๆ รีบหายใจหอบ เขาควรลาเกษียณกลับบ้านได้แล้วหรือไม่ หากยังอยู่ต่อให้อ๋องฉีสองพ่อลูกทรมานอยู่เช่นนี้ เขาอาจตายในมือของพวกเขาได้

 

 

ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนกลายเป็นสีแดงก่ำ แม้ว่าจะปล่อยหมอหลวงเจียงไปแล้ว แต่ก็ยังมองเขาด้วยสายตาโหดร้าย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าออกไปพร้อมรอยยิ้ม ขวางไว้ด้านหน้าของหมอเจียง พูดว่า “อี้เซวียน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีวิชาแพทย์ เรื่องนี้ข้าพอจะเดาได้นานแล้ว และข้าก็คิดหาทางออกแล้วด้วย เจ้าอย่ากังวลไปเลย”

 

 

ดวงตาสีแดงก่ำของหวงฝู่อี้เซวียนหายไป ทั้งตกใจและดีใจ รีบถามนางว่า “จริงหรือ เจ้ามีทางออกจริงหรือ”

 

 

หมอหลวงเจียงลืมเรื่องที่จะลากลับบ้านไป เงยหน้ามองนางด้วยความยินดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จริงสิ ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อใดกัน”

 

 

หมอหลวงเจียงลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างง่ายดาย ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ซื่อจื่อเฟย ท่านมีวิธีอย่างไรหรือ”

 

 

เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “โจวอัน ลากตัวออกไป!”

 

 

ดังนั้น หมอหลวงผู้หน้าสงสารจึงได้ถูกโจวอันลากออกไปอย่างไม่เกรงใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรีบถามด้วยความร้อนใจว่า “เจ้ามีวิธีใดหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป กอดคอของเขา สบตาของเขาไว้ ยิ้มและพูดว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าก็รู้เอง ข้ารับรองว่าจะให้ลูกของพวกเราคลอดออกมาอย่างปลอดภัย และรับรองว่าจะให้ตัวข้าเองปลอดภัยแน่นอน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสบตานาง หวังจะหาแววตาน่าสงสัยจากสายตานาง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวมั่นใจ สายตาแน่วแน่ ไม่มีสายตาลังเลแม้แต่น้อย จึงได้มั่นใจขึ้นมา แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงได้ข่มขู่ว่า “จำคำของข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา ชาตินี้ ไม่ ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้าหรือชาติไหน ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกอดเขาแน่นกว่าเดิม บังคับให้หวงฝู่อี้เซวียนจำต้องก้มหัวลง จากนั้นก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา จากนั้นจึงได้ยิ้มและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าข้ามภพมาหลายพันปี ก็เพื่อจะมาครองคู่กับเจ้า แล้วจะยอมตายไปง่ายๆ ได้อย่างไร วางใจเถิด ข้าสัญญาว่าจะคลอดเด็กดื้อสองคนที่ทั้งอ้วนทั้งขาวมาให้เจ้า”

 

 

คำสุดท้ายทำให้หวงฝู่อี้เซวียนมีความสุขขึ้นมา เขายิ้มออกมา “ใช่ เด็กดื้อสองคน ยังไม่คลอดออกมาก็ทรมานแม่ของตนเช่นนี้ เห็นทีหลังคลอดออกมาแล้วข้าจะต้องตีก้นพวกเขาให้”

 

 

บัดนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีทางรู้ได้เลยว่า หลังจากเด็กทั้งสองคลอดออกมาแล้ว เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้โอบอุ้ม ทำได้เพียงเดินตามหลังอ๋องฉีและพระชายา และไม่หยุดที่จะคิดหาวิธีขโมยลูกๆ มากอดเอาไว้สักพัก

 

 

หลังจากหมอหลวงเจียงถูกลากตัวออกไปแล้วนั้น ก็ยังไม่ท้อใจ ยอมเจ้าเล่ห์นั่งลงกับพื้น ใช้มารยาคนแก่ พูดว่า “ดูทีว่าใครกล้าแตะต้องข้า ข้าจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”

 

 

คำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนคือลากเขาไปไว้ด้านนอก แต่ไม่ได้บอกว่าให้ลากไปไกลเท่าใด โจวอันจึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้เขานั่งอยู่บนพื้น ไม่ได้ไล่เขาไปไหน

 

 

จิตใจของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสงบลงแล้ว จึงได้เดินออกมาจากห้องรับรองแขก เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นทั้งสอง จึงได้รีบลุกขึ้นยืน และรีบผุดไปยังหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ฉีกยิ้มออก ทำสีหน้าออดอ้อน “ซื่อจื่อเฟย ท่านมีวิธีอะไรหรือ”