“ถ้าเพลงกระบี่พันของฉันถึงขั้นที่สี่แดนกระบี่เหินเวหา จะสามารถเหาะอยู่บนกระบี่ได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เพิ่งอยู่ขั้นที่สอง ดูเหมือนต้องรีบฝึกเพลงกระบี่พันแล้ว”

“ตอนนี้คงทำได้เพียงค่อยๆ หา”

เฉินโม่สีหน้าเรียบเฉย เดินเข้าไปในภูเขา

ในเวลาเดียวกัน ในห้องทำงานของประธานเหม่ยหวา กรุ๊ป ที่มณฑลฮ่านหยาง

หลี่ซู่เฟินเอามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก ยืนค้ำโต๊ะทำงานอยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

เวินฉิงยืนใบหน้ากังวลอยู่ข้างๆ มองหลี่ซู่เฟินเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่พูดออกมา

บรรยากาศในห้องดูกดดัน ทำให้คนหายใจไม่ค่อยออก

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ซู่เฟินมองเวินฉิง แล้วถามว่า “สามารถร่วมเงินทุนจากส่วนอื่นมาได้ไหม”

เวินฉิงส่ายหน้า “ไม่ได้แล้วค่ะ ถึงมีก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ!”

หลี่ซู่เฟินขมวดคิ้ว “ตอนนี้ช่องว่างทางการเงินในปัจจุบันของเราใหญ่แค่ไหนกันแน่”

เวินฉิงสูดหายใจลึก สีหน้าหนักใจ ราวกับว่าถ้าพูดออกมาจะทำให้หลี่ซู่เฟินตกใจ

แต่สุดท้ายเธอก็พูดออกมา “อย่างน้อยห้าหมื่นล้านค่ะ!”

หลี่ซู่เฟินตกใจ “ขาดเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

เวินฉิงพยักหน้า ใบหน้าสวยมีความโมโหผุดขึ้นมา “ครั้งนี้ตระกูลหลี่วางแผนมาเป็นเวลานาน จงใจล่อให้เราติดกับดัก ไม่งั้นช่องว่างทางการเงินของเราคงไม่ใหญ่ขนาดนี้หรอกค่ะ”

ความสิ้นหวังผุดขึ้นบนใบหน้าหลี่ซู่เฟิน “ห้าหมื่นล้านเลยนะ ครั้งนี้ตระกูลหลี่กะเอาให้ตาย ไม่มีโอกาสให้เราลุกเลย!”

เวินฉิงใบหน้าไม่พอใจ “ประธาน เราจะนั่งรอความตายไม่ได้นะคะ ครั้งนี้ตระกูลหลี่ใช้โปรเจค ‘อุทยานมังกร’ เอาเงินเราไปติดอยู่ในตลาดหุ้น แต่ถ้าเราอดทนผ่านช่วงนี้ไปได้ ไม่เพียงแต่จะเอาเงินกลับมาได้ ยังสามารถทำเงินได้ก้อนใหญ่ด้วย!”

“พวกเราต้องสู้สักครั้ง!”

สองสามปีมานี้ เวินฉิงกลายเป็นผู้ช่วยของหลี่ซู่เฟินไปแล้ว สายตาทางธุรกิจก็ไม่ต่างจากผู้มีประสบการณ์อย่างหลี่ซู่เฟินเท่าไรนัก ถึงกระทั่งที่บางเรื่อง ยังเหนือกว่าหลี่ซู่เฟินด้วยซ้ำ

ได้ยินเวินฉิงพูดว่าจะสู้สักครั้ง จู่ๆ หลี่ซู่เฟินมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนนี้เราขาดแคลนเงินทุน จะสู้ยังไงล่ะ”

ในแววตาเวินฉิงมีความบ้าคลั่งผุดขึ้นมา เธอมองหลี่ซู่เฟินแล้วพูดว่า “ประธาน เรายังสามารถใช้เงินกู้ธนาคารได้”

“ถ้าเอาเหม่ยหวา กรุ๊ปเป็นหลักประกัน ยื่นกู้กับธนาคาร ใช่ว่าจะสู้กับตระกูลหลี่ไม่ได้! ถ้าสามารถยื้อได้ถึงตอนโปรเจค ‘อุทยานมังกร’ สามารถจัดการทางการเงินได้ เราก็จะชนะ!”

หลี่ซู่เฟินตกใจทันที มองเวินฉิงด้วยแววตาตกตะลึง “เสี่ยวฉิง ความคิดของเธอบ้าบิ่นเกินไปแล้ว!”

“ถ้าเรายื้อไม่ถึงตอนที่จัดการทางการเงินได้ล่ะ เหม่ยหวา กรุ๊ปก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาได้อีกน่ะสิ!”

สีหน้าของหลี่ซู่เฟินหนักใจ วิธีนี้ของเวินฉิง เรียกได้ว่าทุบหม้อข้าวจมเรือ(หมายถึงว่ายอมสู้ตายไม่ถอย) ทุ่มสุดตัววัดดวงครั้งสุดท้าย

ถ้าแพ้ พวกเธอจะไม่เหลืออะไรเลย พยายามอย่างยากลำบากหลายปี จู่ๆ ก็สูญเสียทุกอย่าง ต้องกลับไปเริ่มใหม่งั้นเหรอ

เวินฉิงพูดด้วยใบหน้าจนปัญญา “ถือว่าสู้สักครั้ง ก็ดีกว่านั่งรอความตายอยู่แบบนี้! ตอนนี้เราขาดแคลนเงินทุน วิธีที่พอคิดได้ก็มีเท่านี้ สู้ทุ่มสุดตัวสู้สักครั้ง แม้สุดท้ายล้มเหลว ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ”

หลี่ซู่เฟินพยักหน้า แต่ไม่ได้ตัดสินใจทันที เธอพูดด้วยใบหน้าจริงจังว่า “ขอฉันคิดให้ดีก่อน!”

“อืม” เวินฉิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ การเดิมพันใหญ่ขนาดนี้ต้องมีความกล้าสูง เธอต้องให้เวลาหลี่ซู่เฟินครุ่นคิด

เวินฉิงเดินไปเทชาให้หลี่ซู่เฟิน ส่วนตัวเองก็นั่งเงียบๆ อยู่อีกด้าน สาวงามคนนี้รู้จักยับยั้งชั่งใจเป็นอย่างดี

ไอร้อนในแก้วชาลอยขึ้นมาเรื่อยๆ แต่หลี่ซู่เฟินไม่มีอารมณ์ดื่มเลย ใบหน้ามีความลังเลที่จะเลือกเป็นอย่างมาก

จนกระทั่งน้ำชาในแก้วไม่มีไอร้อนลอยขึ้นมาอีกแล้ว หลี่ซู่เฟินตบโต๊ะทันที “ถึงจะแพ้ ฉันก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาชนะแบบสบายเกินไป งั้นมาสู้กันสักตั้ง!”