“ไม่” เขาเอ่ย 

 

 

น้ำเสียงเย็นยะเยือก นัยน์ตาดุจรัตติกาล 

 

 

นางหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น ให้พวกเขาเข้ามาเถิด” 

 

 

“เพราะเหตุใด?” 

 

 

“ทุกคนต่างรักตัวกลัวตาย” นางกล่าวว่า “ข้างล่างกำแพง มวลชนชุมนุมปลุกระดมซึ่งกันและกัน พาให้คนเดือดดาลพลุ่งพล่าน ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้นได้โดยง่าย ทว่าหากเหลือตัวคนเดียว ไม่แน่ว่าจะมีความกล้าหาญในการต่อต้านต่อหน้าเช่นนี้ได้” 

 

 

กงอิ้นมองนางอย่างชื่นชมปราดหนึ่ง 

 

 

ยามปกติที่นางกระทำตามใจตน ร้องตะโกนโหวกเหวก ทุกสิ่งนั้นเป็นเพียงการป้องกันตนเองของนาง 

 

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ในที่สุดนางก็ได้แสดงท่วงท่าสง่างามอย่างแท้จริงออกมาให้เห็น ไม่มุทะลุดุดันด้วยเพราะโกรธแค้น ไม่ร้อนรนลนลานด้วยเพราะสถานการณ์เป็นรอง สุขุมเยือกเย็นควบคุมตนเอง มองทะลุสถานการณ์และใจคนในปราดเดียว 

 

 

นางถึงเป็นคนที่มีสติปัญญาเลิศล้ำ จิตใจกว้างขวาง มองการณ์ไกลเป็นที่สุดอย่างแท้จริงในหมู่ทุกผู้คน 

 

 

ขอเวลาอีกไม่นาน นางจะเป็นราชินีที่เกรียงไกรที่สุด 

 

 

ขอเวลาอีกไม่นาน… 

 

 

ระหว่างดวงใจคือความเย็นยะเยือกกลุ่มหนึ่ง คล้ายถูกห่อหุ้มด้วยหิมะก่อนกำหนดในคืนนี้ 

 

 

“ที่เจ้าเอ่ยมาก็มีเหตุผลยิ่งนัก ทว่าไม่ได้” เขาเอ่ยว่า “ให้ผู้นำเหล่านี้เข้ามาก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ยามสุดท้ายเจ้ากลับจะถูกพวกเขาบีบบังคับมากยิ่งขึ้น” 

 

 

“เช่นนั้นทำให้พวกเขาเห็น” มุมปากของนางกระหวัดเพียงครั้ง กล่าวว่า “อยากสังหารข้ามิใช่หรือ? เจ้าก็จงสังหารข้าให้พวกเขาเห็นสิ” 

 

 

นิ้วมือของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย หันหน้าโดยพลัน 

 

 

… 

 

 

“ราชครู!” คนที่อยู่ข้างล่างกำแพงเห็นทั้งสองคนไม่มีความเคลื่อนไหวเนิ่นนาน ก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้น 

 

 

“ราชครู!” เฟยหลัวร้องตะโกนว่า “เจ้ากำลังอาลัยอาวรณ์อะไรกัน! เจ้าคงรู้นะว่าหากวันนี้เจ้าไม่ทอดทิ้งนาง เจ้าจะต้องถูกหกแคว้นทอดทิ้ง!” 

 

 

“ถูกแปดชนเผ่าทอดทิ้ง!” เสียงของทหารและราษฎรเผ่าฝูสุ่ยดังกึกก้อง 

 

 

“ถูกตระกูลสูงศักดิ์ในตี้เกอทอดทิ้ง!” เสียงของเซวียนหยวนจิ้งดุจเหล็กกล้า 

 

 

“ถูกขุนนางฝ่ายบุ๋นและปัญญาชนทั่วโลกหล้าทอดทิ้ง!” จ้าวซื่อจื๋อร้องเสียงแหบแห้ง 

 

 

“ถูกขุนนางในราชสำนักต้าฮวงทอดทิ้ง!” เสนาพิธีการสั่นเทิ้มน้ำตานองหน้า 

 

 

“ถูกทหารคั่งหลงทอดทิ้ง!” เฉิงกูมั่วชักกระบี่ชูขึ้นฟ้า 

 

 

เบื้องหน้าอาชาของเขา ทหารหกนายแถวหนึ่งพลันก้าวขึ้นมา 

 

 

“วันนี้ผู้บัญชาการจำเป็นต้องบีบบังคับราชครูกง ผู้บัญชาการมีความผิด พวกข้ายินยอมชดใช้ด้วยชีวิต!” หกคนตะโกนลั่นพร้อมกันว่า “ขอเพียงราชครูโปรดละเว้นความผิดของผู้บัญชาการ ละเว้นความผิดของคั่งหลง ฟังเสียงอันกึกก้องของมวลชน ณ จัตุรัสหวงเฉิงในวันนี้ สังหารราชินีปีศาจผู้ล้มล้างกฎเกณฑ์ราชสำนัก คืนท้องฟ้าสีครามอันสดใสสู่ราชสำนักต้าฮวง!” 

 

 

เมื่อสิ้นเสียงแล้วชูมีดขึ้น คมมีดและแสงหิมะร่วงลงพร้อมกัน พุ่งตรงสู่หน้าอก! 

 

 

“หยุดนะ!” กงอิ้นที่อยู่บนกำแพงสูงตวาดก้อง แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง แสงเงินหกสายเหินวูบลงไป 

 

 

สุดท้ายแล้วก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน แสงโลหิตยื้อแย่งลอยกระเซ็นก่อนที่แสงเงินจะเหินไปถึง พาให้พื้นขาวบริสุทธิ์ทั่วผืนเจิ่งนองด้วยสีแดงสด 

 

 

เสียงหนักทึบของศพทั้งหกร่างที่ล้มลงบนพื้นอย่างน่ารันทด ดั่งกระทบบนดวงใจของทุกผู้คน 

 

 

ขู่เข็ญทัดทานด้วยความตาย โลหิตไหลนองพระราชวัง! 

 

 

ทั้งข้างบนทั้งข้างล่างกำแพงกลายเป็นความเงียบสงัดผืนหนึ่ง 

 

 

“นังปีศาจ!” เซวียนหยวนจิ้งตวาดว่า “พลทหารต้าฮวงเราไม่ได้สู้จนตัวตายในสนามรบ ทว่าโลหิตสาดกระเซ็นทั่วหวงเฉิงด้วยเพราะเจ้า แล้วเจ้ายังมีหน้ายืนขอร้องให้ผู้อื่นปกป้องอยู่ตรงนั้นอีกหรือ? หากเจ้ามีเกียรติศักดิ์งดงามสักเสี้ยว ยามนี้เจ้าควรกระโดดลงมาจากกำแพงวังด้วยตนเอง!” 

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวเบนออกจากศพทั้งหกบนพื้นอย่างเชื่องช้า จ้องมองเซวียนหยวนจิ้งเขม็ง 

 

 

เซวียนหยวนจิ้งถูกแววตานางมองมาจนหายใจอึดอัด ก่อนจะเบนสายตาออกโดยสำนึก แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วไม่ถูกต้อง เขาจึงเร่งรีบเบนกลับมาถลึงตามองนางด้วยความโกรธแค้น 

 

 

ที่ข้างล่างกำแพงค่อยๆ เงียบสงบ มองดูราชินีที่อยู่ข้างบนกำแพงนั้น 

 

 

ยามนี้ราชินีผู้ปล่อยตนมีชีวิตชีวาในความทรงจำกลับสงบเงียบแตกต่างไปจากยามปกติ ไม่ได้โกรธแค้นร่ำไห้อย่างที่ทุกคนจินตนาการ ตรงกันข้าม นางกลับยืนตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่ ท่าทางสูงส่ง คล้ายกับกงอิ้นที่ยืนอยู่ข้างกายผู้ที่ควบคุมอำนาจทางการเมืองนานหลายปียิ่งนัก 

 

 

สองคนนั้นยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ดุจดั่งผู้ควบคุมโลกมนุษย์คู่หนึ่ง มองสถานการณ์จากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง 

 

 

ท่าทางเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนที่นี่ตัดสินใจที่จะขุดรากถอนโคนนางมากขึ้น 

 

 

แม้นางจะถูกทุกผู้คนในราชสำนักตีตัวออกหาก ทว่าได้รับชื่อเสียงยอดเยี่ยมและการสนับสนุนอย่างยิ่งในหมู่ราษฎร ราษฎรมีเพลงพื้นเมืองเกี่ยวกับนางแล้ว ทุกประโยคต่างสรรเสริญชื่นชม เพลงพื้นเมืองเหล่านี้ถูกถ่ายทอดกันปากต่อปากไปไกลถึงหกแคว้นแปดชนเผ่า 

 

 

มีสติปัญญา มีความกล้าหาญ ได้ใจราษฎร ขอเวลาอีกไม่นาน หากนางเติบโต ขอเวลาอีกไม่นาน หากนางครอบครองพละกำลังไร้เทียบเทียม โลกหล้านี้จะไม่มีผู้ใดควบคุมนางได้อีก ทุกผู้คนในที่แห่งนี้ย่อมสิ้นชีพโดยไร้ที่ฝังร่าง! 

 

 

ท่ามกลางความเงียบสงัด จิ่งเหิงปัวก็ปริปากออกมาในที่สุด มือของกงอิ้นกดข้างหลังนางไว้ ใช้พลังแท้ในการช่วยให้เสียงของนางแว่วออกไปไกล 

 

 

“เหตุใดเจิ้นต้องกระโดดลงไป?” วาจาประโยคหนึ่งของนางนี้คล้ายราดน้ำมันบนกองเพลิง 

 

 

ไม่รอให้เสียงสับสนปนไปด้วยความโกรธแค้นข้างล่างกำแพงดังขึ้น นางก็กล่าวอย่างเย็นชาออกมาทันทีว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็คือราชินีในอนาคตของต้าฮวง ที่ผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมาแล้ว ย่อมมีเกียรติศักดิ์ศรีของตนเอง ข้าตายได้ ทว่าตายอย่างอัปยศอดสูต่อหน้าผู้คนนับหมื่นไม่ได้ หากอยากให้ข้าตาย…” นางตะคอกต่อไปว่า “ก็เข้าวังมาเลย!” 

 

 

“เจ้าโกหก!” บุตรชายสมุหพระกลาโหมเฉิงพลันตะโกนลั่นว่า “เจ้าหลอกให้พวกเราเข้าไป จากนั้นจะได้สังหารพวกเรา!” 

 

 

“เช่นนั้นหรือ?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มขึ้นมาโดยพลัน 

 

 

รอยยิ้มนี้พลันปรากฏกลางหิมะโปรยปราย ทั้งงดงามเฉิดฉายดุจผลท้อผลพลัม ทั้งเหน็บหนาวดั่งผลึกน้ำแข็ง งดงามจนเปล่าเปลี่ยว 

 

 

ทุกคนจิตใจหวั่นไหว จากนั้นก็พลันพบว่าราชินีที่อยู่บนกำแพงเมืองได้หายไปแล้ว! 

 

 

พริบตาต่อมาจิ่งเหิงปัวก็พลันปรากฏกายตรงเบื้องหน้าของบุตรชายสมุหพระกลาโหมเฉิง กริชในมือสว่างราวหิมะ เข้าประชิดตรงหน้าอกของเขาอย่างเยือกเย็น 

 

 

เสียงร้องอุทานอย่างตื่นตะลึงดังขึ้น 

 

 

พอบุรุษผู้นั้นกะพริบตา เบื้องหน้าก็พลันมีราชินีเพิ่มมาด้วย ความรู้สึกหนาวเหน็บจากกริชทะลุผ่านในใจ พริบตาต่อมาจะทะลุถึงหัวใจของเขา 

 

 

เขาอยากจะถอยหลังทว่าไม่กล้าก้าวถอย เหน็บหนาวสั่นระริก ในใจรู้ว่าไร้โชค ก่อนหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง 

 

 

ความเจ็บปวดรุนแรงดั่งที่จินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงลมและเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง 

 

 

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เบื้องหน้ากลับว่างเปล่า มีเพียงสายลมที่ห่อหุ้มด้วยหิมะ 

 

 

พอเงยหน้าขึ้น ราชินียังคงยืนอยู่ตำแหน่งเดิมบนกำแพงเมืองคล้ายไม่เคยเคลื่อนไหวมาก่อน 

 

 

ประดุจพริบตาสะท้านวิญญาณเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน เป็นเพียงฝันร้าย 

 

 

ทว่าเขามองออกจากสีหน้าของพวกเฟยหลัวเซวียนหยวนจิ้งที่อยู่รอบด้าน นั่นมิใช่ความฝัน นั่นคือความจริง 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง มองราชินีที่แขนเสื้อพัดพลิ้วกลางสายลมหิมะบนกำแพง 

 

 

“มองเห็นหรือไม่” รอยยิ้มข้างริมฝีปากของจิ่งเหิงปัวดุจกุหลาบงาม กล่าวว่า “ข้าไม่ต้องหลอกพวกเจ้าก็สังหารพวกเจ้าได้เช่นเดียวกัน” 

 

 

ทุกคนข้างล่างกำแพงเงียบกริบเอ่ยวาจาไม่ออก 

 

 

นี่คือความจริง 

 

 

พริบตานั้น ทุกผู้คนไม่ทันได้รู้สึกตัว ขอเพียงกริชของราชินีพุ่งไปข้างหน้าแผ่วเบาเพียงครั้ง แม้บุตรชายสมุหพระกลาโหมเฉิงจะมีสักสิบชีวิตก็ย่อมต้องสิ้นลมแล้ว 

 

 

สิ่งที่ทุกคนรู้สึกมากขึ้นคือความหวาดกลัว…หากเมื่อครู่จุดมุ่งหมายของราชินีคือตนเองเล่า? ตนเองจะหลบพ้นหรือ? 

 

 

คำตอบคือหลบไม่พ้น 

 

 

“กล้าเพียงหลบอยู่ข้างหลังผู้อื่นเสี้ยมเขาควายให้ชนกันนับว่ามีความสามารถอะไร?” มุมปากของจิ่งเหิงปัวผลิแย้มรอยยิ้มเสียดสี กล่าวว่า “ในเมื่ออยากให้ข้าตายถึงเพียงนั้น เช่นนั้นก็จงเข้ามาเถิด ตามกฎเกณฑ์แล้ว ต่อให้ราชินีถูกสำเร็จโทษ ย่อมทำได้เพียงถวายสุราพิษปลิดชีพตนเองหรือถวายเชือกผูกคอตนเอง หากอยากเห็นข้าตายจงเข้ามาดู” 

 

 

“ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะยอมตายหรือไม่!” 

 

 

“นางยอมตาย” 

 

 

ผู้ที่เอ่ยตอบคือกงอิ้น เขายกมือเพียงครั้ง นิ้วมือเย็นยะเยือกวางอยู่บนลำคอของจิ่งเหิงปัว 

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเขาอย่างงงงัน 

 

 

แต่เขากลับไม่ได้มองนาง ส่ายศีรษะเพียงครั้ง องครักษ์นายหนึ่งก็เดินขึ้นมามัดจิ่งเหิงปัวเอาไว้ 

 

 

“มวลชนปรารถนาเช่นนี้ เปิ่นจั้วจะไม่สนใจมิได้” กงอิ้นเอ่ยกับข้างล่างกำแพงอย่างเฉื่อยเนือยว่า “พวกเจ้าต้องการสำเร็จโทษราชินี เปิ่นจั้วก็เห็นด้วย” 

 

 

ข้างล่างกำแพงไร้สรรพเสียง มองกงอิ้นยอมถอยอย่างไม่กล้าเชื่อในสายตาอยู่บ้าง 

 

 

“ทว่าเปิ่นจั้วก็เห็นด้วยกับวาจาของราชินีเช่นกัน ราชวงศ์ย่อมมีเกียรติศักดิ์ของราชวงศ์ ให้นางกระโดดกำแพงปลิดชีพตนเองที่หวงเฉิงต่อหน้าต่อตาราษฎร นับว่าเสียเกียรติภูมิของพระบรมวงศานุวงศ์” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเอ่ยกันเต็มปากเต็มคำว่าจะเคารพกฎระเบียบ เช่นนั้นจงกระทำตามกฎระเบียบ มอบร่างสมบูรณ์หลังความตายให้นาง รวมทั้งจัดงานพระบรมศพอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติตามพิธีการของราชินี” 

 

 

“ให้นางเชือดคอตนเองที่หวงเฉิงย่อมได้…” เฟยหลัวอดจะเปล่งเสียงไม่ได้ 

 

 

“เจ้าจะขึ้นมาชันสูตรศพหรือ?” นัยน์ตาของกงอิ้นมองปราดเดียว เฟยหลัวมีสีหน้าเขียวคล้ำ 

 

 

ให้นางขึ้นไปชันสูตรศพที่หวงเฉิงผู้เดียว? นางจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือ? 

 

 

“เช่นนั้น เจ้าหรือ?” กงอิ้นมองไปทางเซวียนหยวนจิ้ง 

 

 

เซวียนหยวนจิ้งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน 

 

 

“เจ้าหรือ?” กงอิ้นถามจ้าวซื่อจื๋อ 

 

 

จ้าวซื่อจื๋อคลานอยู่ในกองโคลนเลน บอกใบ้ว่าตนเองเป็นอัมพาตแล้ว ไร้หนทางขึ้นไปข้างบนกำแพง 

 

 

“แบบนี้ก็ไม่กล้า แบบนั้นก็ไม่ได้ พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าคือผู้ใดกัน นึกว่ามาเรียกร้องที่พระราชวังแล้ว ข้ากงอิ้นจะต้องเชื่อฟังเสียทุกเรื่องจริงหรือ?” น้ำเสียงของกงอิ้นเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น เอ่ยต่อว่า “อย่าคิดแต่ได้คืบจะเอาศอก! อย่าหลงลืมทหารข้างหวงเฉิง อวี้จ้าวหลงฉีพร้อมรบ!” 

 

 

ทุกคนบนจัตุรัสไร้สรรพเสียง ก้มหน้าเงียบกริบ 

 

 

“หากไม่ไสหัวกลับไปก็เข้ามาพร้อมกัน เอ่ยเต็มปากเต็มคำว่าเพื่อต้าฮวงเพื่อราชสำนัก ยามเรื่องราวเป็นเช่นนี้แม้แต่รวมกลุ่มกันเข้าวังยังไม่กล้า เห็นแก่ส่วนรวมหรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน พวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ!” 

 

 

“เข้าวังก็เข้าวังสิ!” เฉิงกูมั่วเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “มองเห็นนางปีศาจถูกสังหารด้วยตาของตนเอง สมความปรารถนาชั่วชีวิตข้า!” 

 

 

“เข้าวังก็เข้าวังสิ!” เซวียนหยวนจิ้งปรึกษากับทุกคนว่า “พวกเราต่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ที่แห่งนี้ยังมีผู้คนมากมายมองดูอยู่ กงอิ้นไม่อาจปิดประตูสังหารพวกเราได้เป็นแน่ มิฉะนั้นเขาย่อมไร้หนทางอธิบายกับคนทั่วโลกหล้าเช่นกัน!” 

 

 

ทุกคนทยอยพยักหน้า 

 

 

เซวียนหยวนจิ้งกลัวว่าพอทุกคนที่อยู่ที่นี่แยกย้ายกันแล้วพวกตนเองจะไม่มีกองกำลังเสริม จึงหันกายเอ่ยกับทุกคนกลางลานกว้างว่า “รบกวนทุกท่านรอคอยอยู่ที่นี่ แพ้ชนะขึ้นอยู่กับการกระทำนี้ ทุกท่านโปรดอย่าเพิ่งจากไป พวกข้าจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังเป็นแน่ ข้าจะนำข่าวนางปีศาจปลิดชีพตนเองออกมาบอกทุกคน!” 

 

 

“เหล่าขุนนางโปรดวางใจก้าวเข้าวัง!” ทุกคนขานรับดังก้อง 

 

 

“หากพวกเรามีอันตรายจะจุดดอกไม้ไฟส่งข่าว พอถึงเวลานั้นทหารคั่งหลงจะต้องต่อต้าน! พวกเราเชื่อใจราชครู ราชครูโปรดสังวรตนเช่นกัน!” เฉิงกูมั่วเปล่งเสียงดังกังวาน 

 

 

“เรื่องที่เปิ่นจั้วรับปาก ไม่เคยคืนคำ!” 

 

 

กงอิ้นที่อยู่บนกำแพงเมืองโบกมือเพียงครั้ง อวี้จ้าวหลงฉีค่อยๆ หายไปกลางความมืดมิดอย่างเงียบเชียบ รีบเร่งเคลื่อนทัพไปยังค่ายใหญ่คั่งหลงที่อยู่นอกเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์ 

 

 

ทุกคนที่อยู่บนลานกว้างยืนนิ่งเงียบกลางสายลมหิมะ มองประตูวังสีแดงเข้มเปิดออกดังครืน 

 

 

เซวียนหยวนจิ้ง เฟยหลัว ตัวแทนเผ่าฝูสุ่ย จ้าวซื่อจื๋อ เฉิงกูมั่ว เสนาพิธีการและขุนนางกองพิธีการขั้นสามขึ้นไปทุกคน รวมทั้งเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่ที่นี่เดินเป็นแถวยาวเหยียดเข้าวัง ประตูวังข้างหลังค่อยๆ ปิดสนิท กักขังโลหิตและสายลมหิมะคืนหนึ่งนี้ไว้ 

 

 

สายลมหิมะและโลหิตในค่ำคืนนี้ยังคงเหินว่อน