จิ่งเหิงปัวถูกองครักษ์แปลกหน้าสองนายพาลงจากบนกำแพงเมือง มีดพาดทางซ้ายกระบี่พาดทางขวาบนคอของนาง

 

 

กงอิ้นลงจากกำแพงก่อนนางหนึ่งก้าว ยืนอยู่หน้าเส้นทางวังเพียงผู้เดียว เผชิญหน้ากับบรรดาขุนนางมากมายที่เข้าวังมา

 

 

สายลมหิมะค่อยๆ รุนแรงมากยิ่งขึ้น ทุกคนต่างสวมชุดคลุมยาวหนาหนัก มีเพียงเขาสวมอาภรณ์โปร่งบาง ท่วงท่าตรงแน่ว แขนเสื้อขาวราวหิมะโบกสะบัดท่ามกลางสายลม ดุจดั่งเงาลึกลับสีขาว มองจนในใจทุกคนเหน็บหนาวขึ้นมา

 

 

ทุกคนพลันนึกขึ้นมาได้ว่าพลังภายในของกงอิ้นจัดอยู่ในสายหิมะน้ำแข็ง ยามที่อากาศหนาวเหน็บอานุภาพยิ่งร้ายแรง

 

 

จุดสิ้นสุดของความมืดยามราตรี ผลึกน้ำแข็งหิมะของเขาลึกล้ำดุจมนุษย์เคลือบเงา แม้แต่ริมฝีปากยังไร้ซึ่งสีโลหิต

 

 

ทุกคนกับเขายืนนิ่งห่างกันหลายจั้ง เส้นทางในวังที่ยาวเหยียดค่อยๆ ปกคุลมด้วยหิมะ

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินมาตรงกลาง แหงนหน้าขึ้นหัวเราะเยาะ

 

 

“กงอิ้น” นางไม่มองกงอิ้น เพียงมองท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็โหดเ**้ยมนัก”

 

 

กงอิ้นนิ่งเงียบ เกล็ดหิมะพัดผ่านข้างใบหน้าของเขา จำแนกไม่ออกว่าผิวกายหรือสีของหิมะขาวยิ่งกว่ากัน ผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยว่า “สถานการณ์บีบบังคับ ขอฝ่าบาททรงอภัย”

 

 

“อย่าเรียกข้าว่าฝ่าบาท” จิ่งเหิงปัวขัดวาจาของเขาขึ้นอย่างเย็นชา ก่อนกล่าวว่า “เมื่อครู่ก่อนหน้า เจ้ายังเรียกข้าว่าเหิงปัว”

 

 

สายลมคำรามเฉียดผ่านจอนผมของกงอิ้น ผมสีดำปกคลุมนัยน์ตาที่ดำขลับเช่นเดียวกันไว้ ทำให้มองอารมณ์ในแววตาของเขาไม่ชัดเจน เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือว่าเหิงปัว ล้วนเป็นอดีตไปแล้วทั้งสิ้น”

 

 

“นั่นสินะ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะขึ้นอีกครั้ง นางยังคงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า น้ำเสียงเปล่าเปลี่ยวกล่าวขึ้นว่า “แต่ไหนแต่ไรมาความรักความเกลียดชังของผู้ที่อยู่เบื้องบนก็ช่างสั้นนัก แผ่นดินมักสำคัญกว่าสตรีเสมอ”

 

 

กงอิ้นไม่เอ่ยตอบอะไรอีก เขาหลุบตาลง ถอยหลังออกไปเล็กน้อย

 

 

เหล่าขุนนางฟังบทสนทนาที่กระชับเรียบง่ายของสองคนอยู่ กงอิ้นเอ่ยวาจาราบเรียบรุนแรงเช่นเคย ทว่าจิ่งเหิงปัวไม่ได้เย่อหยิ่งสง่างามเฉกเช่นปกติ แต่ละคำเรียบง่าย แต่ละคำเปี่ยมด้วยไอดุร้ายและความเกลียดชัง

 

 

คือชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งจำใจเดินสวนทางกัน ต่อหน้ากิจการงานยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน

 

 

“กระทำกันตรงนี้เถิด” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ

 

 

เขาเฝ้าปรารถนาให้การจบสิ้นของราชินีเกิดขึ้นจากการผลักดันด้วยเงื้อมมือของตนยิ่งนัก เช่นนี้ยามวางกลอุบายการเมืองภายภาคหน้า ตระกูลขุนนางเก่าแก่และตระกูลใหญ่โตจะได้รับความประทับใจและการสนับสนุนมากยิ่งขึ้น

 

 

ทว่าเฟยหลัวกลับจ้องมองกงอิ้นเขม็ง…นางไม่เชื่อว่ากงอิ้นจะเห็นด้วยกับการประหารราชินีอย่างง่ายดายเช่นนี้

 

 

แม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะไม่อยากรับปากก็ต้องรับปากโดยแท้ มิฉะนั้นย่อมสูญเสียใจคนทั่วทั้งราชสำนัก โดยเฉพาะสูญเสียคั่งหลง ทว่าขอเพียงฝ่ายตรงข้ามคือกงอิ้น นางย่อมไม่สบายใจ

 

 

“หม่อมฉันยินดีถวายยาอายุวัฒนะ” นางก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง ก่อนมอบยาเม็ดหนึ่งมาให้

 

 

ยาเม็ดสีดำคล้ำ เวียนวนด้วยแสงแปลกประหลาด

 

 

ยาที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะก็คือยาพิษ ความตายก็คืออายุวัฒนะอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน นี่คือวิธีเอ่ยถึงการสำเร็จโทษของผู้อยู่เบื้องบนทางอ้อม

 

 

เหล่าขุนนางก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว โค้งคำนับโดยพร้อมเพรียง

 

 

“โปรดใช้ยาอายุวัฒนะนี้”

 

 

กงอิ้นยกมือขึ้นแล้วชะงักเล็กน้อย สั่งให้หมอหลวงข้างกายที่ส่งยาขึ้นมาถอยลงไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

“ได้” เขาเอ่ย

 

 

ทุกคนดีใจจนออกนอกหน้า

 

 

กลัวว่าจะมีการหลอกลวง กลัวว่าจะเป็นกลอุบายสลับร่าง แกล้งตายด้วยยาที่ไม่มีพิษ ในเมื่อยอมใช้ยาที่พวกเขามอบให้ เช่นนั้นย่อมไม่มีความกังวลใดทั้งสิ้นแล้ว

 

 

ดูท่าทางกงอิ้นก็เตรียมพร้อมสำหรับวันนี้มานานแล้ว ซ้ำยังได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วด้วย

 

 

เขาคงไม่อาจเป็นศัตรูกับทั้งราชสำนัก ทหารคั่งหลง ทั้งชนชั้นตระกูลผู้ดีและทั้งหกแคว้นแปดชนเผ่าด้วยตัวคนเดียวได้ ต่อให้ใช้กำลังเข้าปราบปราม แล้วจะเป็นผู้โดดเดี่ยวเดียวดายนับแต่นี้หรือ?

 

 

ยาเม็ดสีดำขลับถูกยื่นมาเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว หว่างคิ้วนางขมวดเข้าหากัน ผุดเผยไอดุร้ายสามส่วน

 

 

“ข้าเรียกร้องการปรนนิบัติที่ควรมีต่อราชินี”

 

 

“มอบร่างสมบูรณ์หลังความตายให้เจ้าก็คือการปรนนิบัติต่อราชินี” แววตาของเฟยหลัวดุเดือดรุนแรง

 

 

“ข้าไม่อยากตายบนเส้นทางในวังที่เย็นยะเยือกแห่งนี้ ข้าชื่นชอบความสบาย ตายก็ต้องตายอย่างสบาย” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า

 

 

“ใกล้ตายอยู่แล้วยังพิถีพิถันเหลือเกินนะ” เฟยหลัวยิ้มเยาะ

 

 

เสนาพิธีการกลับเอ่ยว่า “ข้อเรียกร้องของราชินีมีเหตุผล นางควรสิ้นชีพอย่างมีเกียรติ”

 

 

“เจ้าจะตายที่ใด?” เซวียนหยวนจิ้งถามอย่างอดทน

 

 

ในใจของทุกคนต่างไม่อยากไปวังบรรทมยามนี้ของนาง ที่นั่นใกล้จิ้งถิงของกงอิ้นมากเกินไป จิ้งถิงในความคิดของทุกคนคือสถานที่อันตรายอันดับหนึ่งของตำหนักอวี้จ้าว องครักษ์นับไม่ถ้วน กับดักมากมาย ตำหนักบรรทมของราชินีอยู่ใกล้ที่นั่นมากเกินไป หากไปที่นั่นแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

“ข้าจะจบชีวิตที่นั่น” จิ่งเหิงปัวหันหน้ามองดูทางทิศใต้ แล้วกล่าวว่า “ข้าจะจากไป ณ วังบรรทมที่แท้จริงของตนเอง”

 

 

ทุกคนเงยหน้าขึ้น มองเห็นปลายชายคาเคลือบเงาสีแดงเข้มซึ่งมีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่กลางสายลมหิมะไกลโพ้น นั่นคือวังบรรทมเดิมของราชินี

 

 

ทุกคนเป่าปากออกมาอย่างโล่งอก เฉิงกูมั่วยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “ย่อมได้ แม้ตายเจ้ายังไม่อาจนั่งลงบนราชบัลลังก์อย่างแท้จริงได้ ยามนี้ให้เจ้าปลิดชีพตนเองในตำหนักบรรทมของราชินี นับว่าเติมเต็มความฝันงดงามชั่วชีวิตของเจ้าเช่นกัน”

 

 

“นั่นสิ” จิ่งเหิงปัวฟื้นคืนท่วงท่าเกียจคร้านของนางอีกครั้ง กล่าวว่า “สิ้นใจในพระราชวังของตนเองมีผู้บัญชาการคอยฝังศพให้ นั่นก็ดียิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากผู้บัญชาการสิ้นใจแล้ว ผู้ใดเล่าจะฝังศพให้เจ้า?”

 

 

“นังสารเลว!” เฉิงกูมั่วที่ถูกแทงใจดำมีสีหน้าเขียวคล้ำ ร้องขึ้นว่า “เจ้ายังมีหน้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกหรือ! หากมิใช่เพราะเจ้าสังหารบุตรของข้า วันนี้เจ้าจะสิ้นชีพสูญเสียตำแหน่งเช่นนี้หรือ?”

 

 

“ที่ข้าถูกบีบบังคับให้สิ้นชีพสูญเสียตำแหน่งก็ไม่ใช่เพราะข้าสังหารบุตรชายอันธพาลผู้นั้นของเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าขุดสุสานบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่ใช่เพราะข้าล่วงเกินผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่พวกเจ้า” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “แต่เป็นเพราะข้าเห็นราษฎรสำคัญกว่าพวกเจ้าเท่านั้น” นางเชิดมุมปากขึ้น รอยยิ้มเสียดสีเหลือล้น กล่าวว่า “หากวันนี้ผู้ที่ยืนข้างล่างกำแพงตำหนักอวี้จ้าวคือราษฎร ผู้ที่สิ้นชีพจะเป็นพวกเจ้า”

 

 

“อาจจะใช่” เฟยหลัวยิ้มพราวพลางเอ่ยว่า “แต่น่าเสียดาย หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ ราษฎรธรรมดาๆ ก็ไร้หนทางที่จะเข้าใกล้บริเวณพระราชวังระยะสามลี้ในยามราตรี ราษฎรที่เจ้าพึ่งพาอาศัยก็ไร้หนทางช่วยเหลือเจ้าในช่วงเวลาสำคัญ เพราะอย่างนั้นข้าจะสอนเจ้าเรื่องหนึ่งนะเด็กดี ยามที่ไปเกิดใหม่ชาติหน้า เจ้าจะต้องเลือกประจบสอพลอให้ถูกคนนะ”

 

 

“สอนเจ้าเรื่องหนึ่งนะเด็กดี” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองนางด้วยหางตาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “หากไม่มีฟันขาวราวหิมะ จงอย่าได้หัวเราะปากกว้าง หากไม่มีหน้าอกใหญ่โต จงอย่าได้เท้าเอว หากไม่มีไหล่ผึ่งผาย จงอย่าได้เอียงศีรษะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งยามที่ข้าเห็นเจ้ายิ้มพราวยืดอกเอียงศีรษะแสร้งทำเป็นงดงามนั้น ข้าก็แทบอยากจะรีบตายรีบไปเกิดใหม่เสียเลย?”

 

 

“จิ่งเหิงปัว!” รอยยิ้มของเฟยหลัวผลิแย้มเพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่าจะหุบยิ้มหรือยิงฟัน มือกำลังจะวางบนเอว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะวางหรือไม่วาง ศีรษะเอียงได้ครึ่งหนึ่งก็พลันหยุดชะงัก ในแววตามีไอดุร้ายผุดเผยออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนตวาดว่า “เอ่ยออกมาสิ! เร่งรีบเอ่ยให้มากหน่อย! นรกขุมสุดท้ายก็ไม่มีที่ให้เจ้าทำปากดีอวดเก่งหรอกนะ!”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วหันหลังเดินจากไป

 

 

องครักษ์กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งติดตามอยู่ข้างหลังนาง เหล่าขุนนางติดตามไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียวเช่นกัน กลัวว่านางจะพลันหลบหนีไปอีกครั้ง

 

 

กงอิ้นไม่ได้ขยับเขยื้อนตั้งแต่แรก เขายืนอยู่ท้ายสุดของฝูงชน มองฝีก้าววุ่นวายที่เหยียบย่ำน้ำค้างหิมะทั่วพื้นจนแหลกละเอียด มองคบเพลิงทะลุผ่านกลางสายลมหิมะ คดเคี้ยววกวนตามทางมุ่งสู่วังบรรทมของราชินีแล้ว

 

 

เกล็ดหิมะโปรยปรายดุจดอกเหมย ร่วงหล่นลงข้างริมฝีปากของเขา

 

 

ไม่ละลายหายไป

 

 

 

 

เงาคนหลายสายรีบร้อนเดินไปข้างหน้าตามเส้นทางลับ

 

 

“เร็วหน่อย เร็วหน่อย” จื่อหรุ่ยที่สวมหมวกบังลมเร่งเร้าชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยที่อุ้มเฟยเฟยและเจ้าหมาโง่อยู่ข้างหลังอย่างต่อเนื่อง เอ่ยว่า “เส้นทางนี้ไปถึงวังบรรทมของราชินีได้ก่อนก้าวหนึ่ง”

 

 

สตรีสามนางเลี้ยวออกมาจากเส้นทางลับสายเล็ก ก่อนจะเข้าสู่หน้าประตูวัง ก็มองเห็นจากไกลๆ ว่าข้างหน้ามีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ปรากฏตรงเส้นทางวังทางนั้นแล้ว

 

 

สามคนโฉบกายเข้าไปในประตู

 

 

“ข้าคือขุนนางหญิงข้างกายราชินี ประเดี๋ยวจำเป็นต้องอยู่ข้างกายนาง เรื่องราวต่อจากนี้ รบกวนพวกเจ้าแล้ว”

 

 

“ชุ่ยเจี่ย เจ้าตามข้ามา” ยงเสวี่ยจูงชุ่ยเจี่ยไป

 

 

“ประเดี๋ยวก่อน ก่อนหน้านี้พวกเจ้ามีผู้ใดมองเห็นจิ้งอวิ๋นหรือไม่?” ชุ่ยเจี่ยถามขึ้นมา

 

 

อีกสองคนต่างชะงักงัน จากนั้นจื่อหรุ่ยก็เอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “นางน่าจะนอนหลับอยู่ในห้องกระมัง? เห็นบอกว่าป่วยหนักไม่ใช่หรือ?”

 

 

“นางนอนอยู่ในห้องทุกวัน แต่เจ้าก็แน่ใจหรือว่าเมื่อครู่ยามที่พวกเราออกมา นางก็นอนหลับอยู่ในห้องจริง?”

 

 

สีหน้าของทั้งสามคนดูไม่สู้ดี เมื่อครู่ได้รับข่าวสารไม่คาดฝัน ไม่ทันได้คิดให้มากความก็เร่งรีบตามมาแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมไม่มีความคิดที่จะไปสนใจคนป่วยที่ไม่โผล่หน้าออกมานานว่าอยู่ในห้องหรือไม่กันแน่

 

 

ยามนี้ถึงแม้อยากจะกลับไปตรวจดูอีกก็คงไม่ทันแล้ว อย่างไรเสียเรื่องของที่นี่สำคัญยิ่งกว่า

 

 

“วังบรรทมของราชินีมีประตูหลักเพียงประตูเดียว นางไม่อาจแอบเข้ามาได้ วางใจเถิด” จื่อหรุ่ยปลอบโยนนางสองคน แล้วเอ่ยว่า “พวกเราระวังสักหน่อยก็พอ”

 

 

“อืม”

 

 

“ข้าจะรอคอยอยู่หน้าตำหนัก ยงเสวี่ย เจ้ากับชุ่ยเจี่ยไปตำหนักบรรทมของราชินี”

 

 

สตรีสามนางรีบร้อนแบ่งหน้าที่ ยงเสวี่ยจูงชุ่ยเจี่ยตรงไปยังตำหนักบรรทม

 

 

“ที่นี่มีกับดัก” นางเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาว่า “ข้าไม่รู้ว่าวันนี้ราชินีจำเป็นต้องใช้กับดักนี้หรือไม่ ทว่าพวกเราควรเฝ้าอยู่ที่นี่ อีกทั้งข้าจะบอกเจ้าว่ากับดักแห่งนี้ จิ้งอวิ๋นคล้าย…”

 

 

ข้างนอกพลันมีเสียงเพล้งดังขึ้นเสียงหนึ่ง คล้ายเสียงกระเบื้องที่ถูกขว้างมาบนผนัง ยงเสวี่ยตกใจจนหุบปาก

 

 

“ข้าไปดูเอง” ชุ่ยเจี่ยลุกขึ้น

 

 

“ข้าไปเอง ข้าร่างเล็กไม่สะดุดตา พวกเขาใกล้มาถึงแล้ว อย่าให้พวกเขามองเห็นพวกเราได้” ยงเสวี่ยจูงนางไว้ รีบร้อนออกไปแล้ว

 

 

ในตำหนักบรรทมอันหรูหราของราชินี เหลือเพียงชุ่ยเจี่ยกับเจ้าหมาโง่ตัวหนึ่ง